ตอนที่4(เมียเก็บ)
บ้านส่วนตัวของเจ้าสัว จักรภัทร
17:00น.
เวียงพิงค์.....
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครอ่ะเธอ?”
“ไม่รู้สิเห็นท่านเจ้าสัวพามาเมื่อคืนนี้น่ะ”
“เมียน้อยของท่านรึเปล่า?”
“เธอจะบ้าเหรอยะ ท่านเจ้าสัวของฉันเนี่ยยังโสด ยังไม่ได้แต่งงาน”
“ท่านเจ้าสัว?คือใครกันนะ หรือเขาจะคือผู้ชายคนนั้นเหรอ?” ฉันที่นั่งแอบอยู่ตรงบันไดทางขึ้นชั้นสองเอ่ยพึมพำกับตัวเองเบาๆที่ฉันกำลังแอบฟังผู้หญิงสองคนที่กำลังจัดโต๊ะอาหารอยู่พูดคุยกัน ฉันไม่กล้าออกไปพบใครทั้งนั้น ที่จริงฉันมาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าที่ฉันกำลังใส่อยู่นี้ก็ดูดีและมองมีราคามากเกินไปที่คนอย่างฉันจะได้ใส่มันซะด้วยซำ้
“เสร็จรึยังอีกสิบนาทีท่านเจ้าสัวจะถึงบ้านหลังนี้!!” เสียงทรงอำนาจของหญิงวัยกลางคนเอ่ยขึ้นทำให้ฉันรีบนั่งกอดเข่าตัวเองตัวของฉันสั่นสะท้านด้วยความกลัว คนพวกนี้ต้องการอะไรจากฉันอย่างนั้นเหรอ เมื่อวานหลังจากที่ฉันกับพี่พลชนรถยนต์คันนั้นฉันก็หลับไม่ได้สติแต่ฉันจำได้รางๆว่าฉันมีอะไรกับผู้ชายคนนั้นเขาคือคนคนเดียวกับคนที่ฉันเห็นเขาเดินลงมาจากรถคันสีดำและเดินเข้าไปในคาสิโน่ที่พ่อฉันเข้าไปเล่นการพนันอยู่ในนั้น
“เสร็จแล้วค่ะมาดาม” ผู้หญิงคนหนึ่งในสองคนเอ่ยขึ้นและรีบพากันก้มหัวให้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวสง่าหลังยืดตรงมือทั้งสองข้างกุมกันไว้ตรงหน้าท้องและค่อยๆหันไปมองโต๊ะอาหารเหมือนตรวจดูความเรียบร้อยอย่างไงอย่างนั้นเลย
“คุณหนูตื่นรึยัง?”เสียงของหญิงวัยกลางคนที่ผู้หญิงสองคนนั้นเรียกว่ามาดามเอ่ยถามขึ้น
“เอ่อน่าจะยังนะคะ คนอะไรนอนกินบ้านกินเมือง”
“เอ่อใช่ๆๆเด็กแบบนั้นคงคิดที่จะจับท่านเจ้าสัวแน่ๆ เลย”เสียงผู้หญิงสองคนพูดคุยกัน เปล่านะฉันไม่ได้คิดจะจับท่านเจ้าสัวอะไรนั้นเลยนะ
“พวกเธอพูดอะไรหัดให้เกียรติผู้หญิงคนนั้นบ้าง พวกเธอเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกับเธอ จะพูดจะจาอะไรกรุณาดูตัวเองบ้างน่ะจ๊ะ!!” มาดามพูดขึ้นด้วยนำ้เสียงเสียงดังและเต็มไปด้วยความน่ากลัว ฉันกระพริบตาปริบๆแอบมองมาดามอยู่และคนพวกนั้น จนไม่ได้ทันสังเกตุว่ามีคนมายืนอยู่ข้างหลังฉัน
“อะแฮ่ม สาวน้อย^_^” นำ้เสียงนุ่มเอ่ยกระแอมกระไอขึ้นข้างหลังฉัน ฉันจึงค่อยๆหันกลับไปมองข้างหลังก็ต้องเบิกตาโตขึ้นด้วยความตกใจที่ตอนนี้มีร่างสูงของชายหนุ่มรูปงามกำลังยืนขยิบตาให้ฉันอยู่ ในมือของเขาถือกระเป๋าสี่เหลี่ยมหนังสีดำ
“คะคุณ!!”ฉันยกมือชี้ไปที่เขาและเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ
“ป๋า เรียกฉันว่าป๋า เข้าใจไหมหนูผิง^_^” เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มมาให้ฉัน ฉันก็พยักหน้าหงึกๆด้วยความเข้าใจและเขาก็ยื่นมือมาขยี้ผมฉันเล่นอย่างแผ่วเบาด้วยท่าทางใจดี
“ดีมาก พูดง่ายๆแบบนี้ค่อยดีหน่อย ฉันไม่ชอบเด็กพูดไม่รู้เรื่อง มันน่ารำคาญน่าเบื่อเข้าใจไหม” เขาบอกฉันและเดินผ่านฉันไปยังโต๊ะอาหาร ผู้หญิงทั้งสามคนต่างพากันรีบก้มหัวทำความเคารพให้เขาอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะท่าน”
“สวัสดี” ท่านเจ้าสัวมั่งเอ่ยทักทายทั้งสามคนและเริ่มนั่งลงบนหัวโต๊ะของโต๊ะทานอาหารทันที
“วันนี้มีเมนูอะไร?” ท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นทั้งๆที่สายตาของเขายังคงจับจ้องเอกสารอะไรสักอย่างที่เขาเพิ่งหยิบขึ้นมาจากกระเป๋าสีดำของเขา
“วันนี้มีแต่เมนูที่ท่านชอบทั้งนั้นเลยค่ะ” มาดามเอ่ยขึ้น ท่านเจ้าสัวจึงดีดนิ้วเพื่อแสดงออกถึงความพอใจมาดามก็ก้มหัวลาท่านและเดินหายเข้าไปในครัวตามด้วยผู้หญิงสองคนนั้นที่เดินตามแผ่นหลังของมาดามไปอย่างเว้นระยะห่าง
“นี่เวียงพิงค์ เธอจะยืนอยู่อีกนานไหม มานั่งได้แล้ว!!” เสียงทุ่มตำ่ของท่านเจ้าสัวทำให้ฉันตกใจรีบลนลานกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปนั่งบนโต๊ะข้างๆกับท่านเจ้าสัวอย่างไว ฉันแอบชำเลืองตามองใบหน้าคมหล่อละมุนหวานไปในตัวของเขาด้วยความหลงใหล ผู้ชายอะไรริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ มันทำให้ฉันคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ฉันจำได้มั่งไม่ได้มั่งแต่ฉันจำได้ว่าเป็นคงเขาคนนี้แน่นอนที่ฉันมอบความสาวให้เขา
“จะมองฉันอีกนานไหม?”ท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นพร้อมๆ กับดวงตาคู่คมค่อยๆเคลื่อนขึ้นมองมาที่ฉัน
“ขอโทษค่ะ” ฉันก้มหัวขอโทษเขาอย่างไว ฉันกุมมือตัวเองทั้งสองข้างแน่นด้วยความอึดอัดและทำตัวไม่ถูกฉันไม่รู้ว่าจะวางมือยังไงไม่รู้จะวางตรงไหนฉันตื่นเต้นไปหมด
“หน้าที่ของเธอเวลาที่อยู่บ้านหลังนี้ อ่ะเอาไปอ่านและคืนนี้ฉันไม่ได้กลับมานอนที่นี้ ฉันต้องไปนอนกับคุณหญิงผกามาศ” ท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นพลางยื่นเอกสารแผ่นหนึ่งมาตรงหน้าฉัน ฉันจึงยื่นมือไปรับเอกสารแผ่นนั้นมาจากเขา
“และที่สำคัญ เธอห้ามออกไปจากบ้านหลังนี้ก่อนได้รับคำอนุญาตจากฉันเข้าใจไหมเวียงพิงค์!” นำ้เสียงทรงอำนาจของท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นทำให้ฉันรีบก้มหน้าหงึกๆๆ พยักหน้าเข้าใจอย่างไว เป็นจังหวะเดียวกับที่มาดามเดินนำผู้หญิงสองคนนั้นออกมาจากครัวพร้อมกับถาดอาหารมากมายถูกจัดเรียงลงบนโต๊ะอาหารดีๆที่ฉันไม่เคยได้กิน กำลังถูกนำมาวางเรียงกันตรงหน้าของฉัน
“ทานสิ ทานได้รึเปล่า?” ท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นในจังหวะที่เขาถือช้อนกับส้อมไว้ในมือเป็นที่เรียบร้อย ฉันจึงกลืนนำ้ลายดังอึกใหญ่และหันไปมองหน้าเขาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่จานอาหารทั้งหมดบนโต๊ะทำให้ท่านเจ้าสัวเลิกคิ้วขึ้น
“หนูผิงทานได้เหรอคะ?”
“อืม ปากเธอว่างป่ะล่ะ ถ้าปากเธอว่างก็ทานได้^_^” ท่านเจ้าสัวพูดขึ้นด้วยนำ้เสียงกวนๆ ฉันจึงแอบย่นจมูกใส่เขาและหันกลับไปมองอาหารตรงหน้าของฉันต่อ ท่านเจ้าสัวก็เริ่มลงมือทานข้าว มาดามแอบมองฉันฉันจึงเงยหน้าขึ้นไปมองเธอและส่งยิ้มให้เธอผิดกับเธอที่มองฉันด้วยสายตาดุๆ ฉันจึงก้มหน้าลงและค่อยๆตักอาหารทีละน้อยๆ เพื่อให้ดูดีนิดนึง เดี๋ยวใครๆเขาจะหาว่าฉันตะกละตะกลามน่ะ และฉันก็แอบชำเลืองท่าทางที่สุภาพเวลาทานข้าวของท่านเจ้าสัวที่เรียบร้อยดังถูกอบรมมาดี นี้แหละเนอะคนรวยเขาก็ต้องเป็นแบบนี้ทุกคนไม่ได้อดมื้อกินมื้อเหมือนคนจนๆแบบพวกฉัน
“ท่านคะ” เสียงมาดามเอ่ยขึ้นในขณะที่ท่านเจ้าสัวกำลังจะเดินออกไปจากประตูบ้านหลังนี้โดยมีฉันเดินก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังท่านเจ้าสัวมาเพราะเขาบอกให้ฉันเดินไปส่งเขา
“มีอะไรมาดาม?”ท่านเจ้าสัวหยุดเดินและหันมาถามมาดาม ฉันเบรกเท้าแทบไม่ทันเมื่อท่านเจ้าสัวคิดจะหยุดก็หยุดซะงั้น
“ท่านจะมาที่เรือนหลังเล็กนี้อีกเมื่อไหร่คะ?” นำ้เสียงสุภาพของมาดามเอ่ยขึ้น ฉันจึงรีบก้มหน้าหลบสายตาท่านเจ้าสัวที่จ้องมองมาที่ฉันแทบจะทันที
“หึ ช่วงนี้ฉันจะมาบ่อยนะ เผลอๆ อาจจะมาค้างบ้าง ต้องดูงานและดูคุณหญิงก่อนน่ะ ฉันวานมาดามช่วยดูแลหนูผิงด้วยนะ ดูแลเธอเหมือนที่ดูแลฉัน เข้าใจไหม” ตรงประโยคสุดท้ายท่านเจ้าสัวชายตามองไปที่ผู้หญิงสองคนนั้น พวกเธอรีบก้มหน้าลงทันที
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” มาดามพูดขึ้นและก้มศีรษะรับคำสั่งจากท่านเจ้าสัว
“ฉันขอบใจมาดามมาก” ท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นและเขาก็คว้าแขนฉันให้เดินตามเขาไปอย่างไว
พรึบ
“อ่ะ ท่านคะ!” ฉันร้องขึ้นด้วยความตกใจที่อยู่ดีๆ ท่านเจ้าสัวก็ผลักร่างของฉันให้แนบชิดไปกับรถสปอร์ตคันสีดำของเขาและเขาก็ใช้แขนทั้งสองข้างยันกับรถไว้เพื่อปิดกั้นไม่ให้ฉันขยับหนีเขา
“อยู่บ้านฉันอย่าดื้อ อย่าซน อ่านรายละเอีอดงานที่เธอจะต้องทำให้ฉันและทำตามทุกข้อเข้าใจไหมเวียงพิงค์” ท่านเจ้าสัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉันจนปลายจมูกของเราแตะกัน
“ขะเข้าใจค่ะ” ฉันพยักหน้ารัวๆพลางเอ่ยเสียงสั่นๆท่านเจ้าสัวจึงอมยิ้มขึ้นมา
“ไม่เห็นยั่วยวนเหมือนเมื่อคืนนี้เลย” นำ้เสียงเจ้าเล่ห์ของท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้น แต่กลับทำให้ฉันหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาด้วยความเขินอาย
“แต่ไม่เป็นไร ไปศึกษาข้อมูลมาปรนนิบัติฉันก็แล้วกันและวันมะรืนฉันจะเข้ามาทดสอบงานกับเธอ เข้าใจไหม สาวน้อย งั๊บ” ท่านเจ้าสัวพูดเสร็จก็ขบฟันลงมาบนปลายติ่งหูฉันเบาๆ ฉันรีบหลับตาปี๋และหดคอลงอย่างไว
“เหอะ ลูกเจี๊ยบเวียงพิงค์ของฉันช่างน่ารัก น่าขย้ำอะไรอย่างนี้นะ” ท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นและยันตัวเอาแขนทั้งสองข้างของเขาออกไปจากฉันและกลับไปยืนตัวตรงดังเดิม
“ฉันต้องไปแหละเวียงพิงค์ หมดเวลาเมียเก็บอย่างเธอแล้ว^_^” ท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นและผลักไหล่ฉันเบาๆ ให้ถอยออกไปจากประตูรถสปอร์ตคันหรูของเขา ฉันทำตาปริบๆงงกับสิ่งที่เขาพูด ผิดกับเขาที่เดินอ้อมไปฝั่งคนขับและขับรถสปอร์ตออกไปจากบ้านหลังนี้อย่างไว จนสายลมพัดเข้ากระทบกับร่างกายฉัน
“เมียเก็บกับเมียน้อยก็ไม่ต่างกันหรอก เด็กๆแบบพวกเธอน่ะมันก็เป็นได้แค่นี้แหละยะ!!” นำ้เสียงดูถูกเหยียดหยามของผู้หญิงที่ทำงานรับใช้อยู่ที่บ้านของท่านเจ้าสัวเอ่ยขึ้นจากทางข้างฉัน ฉันจึงหันขวับกลับไปมองพวกเธอทันที ฉันนึกว่าพวกเธอจะเป็นมิตรกับฉันซะอีก ฉันคิดผิดไปอย่างนั้นเหรอ
“ไร้ยางอาย!”
“หน้าด้าน!!”
“ไม่มีจิตสำนึก!!”
“อึก ฮืฮ” ฉันยืนร้องไห้เมื่อฟังคำที่พวกเธอว่าฉัน ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อยนะฉันไม่อยากแย่งสามีของใคร ไหนพวกเธอบอกว่าท่านเจ้าสัวยังไม่ได้แต่งงานยังไงล่ะ
“เวียงพิงค์ เข้าบ้านได้แล้ว หมดเวลาอยู่ข้างนอกของเธอแล้ว!!!” เสียงมาดามเอ่ยเรียกฉันจากทางหน้าประตูบ้าน ทำให้ฉันรีบเอามือปาดนำ้ตาและมองไปที่มาดาม
“ค่ะ” ฉันขานรับเธอและหันกลับไปมองที่ผู้หญิงสองคนนั้นแต่ก็ไม่พบพวกเธอแล้ว ฉันจึงรีบเดินเข้าไปหามาดาม
“ขึ้นห้องนอนซะ!!” เสียงมาดามสั่ง ฉันจึงพยักหน้าและก้มหัวให้เธอและเดินขึ้นบันไดไปอย่างไว มาดามก็ปิดประตูบ้านทันที ทำไมนะทำไมพวกเขาต้องขังฉันไว้แบบนี้ด้วยล่ะ ทำไมกันนะ
“แม่คะ พ่อคะ หนูอยู่ที่ไหนเหรอคะ ชีวิตของหนูต่อจากนี้ไปจะเป็นยังไงต่อไปเหรอคะ?” ฉันเอ่ยขึ้นทันทีที่เปิดประตูห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีเฟอร์นิเจอร์ครบครันทุกอย่างในห้องนี้ ฉันเดินไปยังบนที่นอนนุ่มนิ่มขนาดใหญ่และก้มหน้านอนร้องไห้กับหมอนใบใหญ่ ทำไมชีวิตของฉันต้องมาเจออะไรแบบนี้กันนะ เมื่อไรฉันจะได้ใช้ชีวิตอิสระแบบคนอื่นๆเขาบ้างสักที