4
“มิวไม่มีวันยอมทำตามที่มันเสนอมาเด็ดขาด มิวเกลียดมันจะตายคุณแม่ก็รู้ คุณแม่ทน ๆ เอาหน่อยนะคะ ตอนนี้มิวกำลังจะจับลูกเศรษฐีที่นี่ได้ และถ้าสำเร็จ มิวจะเอาเงินห้าสิบล้านให้แม่ไปไถ่บ้านกลับคืนเลย ส่วนอีกยี่สิบห้าล้าน ให้คุณพ่อเอาลูกเมียน้อยทั้งหลายไปแทนมิวเอาเอง ฝากบอกคุณพ่อด้วยนะคะคุณแม่ ว่าถ้าไม่รักมิวและอยากจะยกมิวให้ไปบำเรอไอ้บ้านั่น มิวก็จะไม่รักคุณพ่อเหมือนกัน”
เสียงผ่านลำโพงมานั้น ดังและฟังชัดจนไม่มีใครสงสัยอีกแล้ว แต่จากข้อความประชดประชันนี้ ทำให้เสาวรสคิดอะไรดี ๆ ขึ้นได้ จึงรีบยื่นข้อเสนอไปหาสามีทันที
“ได้ยินแล้วใช่ไหม ทีนี้ถ้าคุณยังคิดจะเอาลูกไปประเคนให้มันอีก คุณก็มีเพียงสองทางให้เลือกเท่านั้นค่ะ หนึ่งคือฆ่าฉันให้ตายซะ กับสองคือคุณต้องไปเอาลูก ๆ จากแม่เมียเก็บเมียน้องทั้งหลาย ที่คุณไข่ไว้มาแทนตามที่ยัยมิวบอกมาซะ ไม่อย่างนั้นอย่ามาอ้าปากพูดกับฉันอีก”
“โธ่!!! คุณก็รู้ว่าผมทำหมันตั้งแต่ได้เจ้านิวแล้ว ผมจะไปไข่ไว้ที่ไหนหรือกับใครได้อีกล่ะ”
“ก็กับคนใช้ชั้นต่ำอย่างนังกันยานั่นไงล่ะ แกลืมแล้วเหรอ หรือว่าผู้หญิงที่แกเอา มันมากจนจำไม่หวาดไม่ไหว”
แม่ด่าเสริมอีก
“โธ่!!! คุณแม่ก็ เรื่องมันผ่านมาตั้งยี่สิบปีแล้ว ป่านนี้ไม่รู้อยู่ไหนผมจะไปตามหาได้ยังไง”
“เรื่องนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันกับแม่รสเอง ส่วนแกคอยไปนั่งทำหน้าเศร้า ๆ น่าสงสาร ๆ ให้ลูกคนใช้ของแกเห็นเถอะ มันจะได้ใจอ่อนยอมมาช่วยกู้สถานะการณ์ให้”
“มาแล้วเหรอนิ่ม อาการยายเป็นยังไงบ้าง”
“ยังไม่ฟื้นเลยค่ะพี่ฝน แล้วนี่ประชุมเสร็จแล้วเหรอคะ” ฝนทิพย์พยักหน้าเซ็ง ๆ ให้
“มีเรื่องอะไรบ้างคะ”
กัณหาอดสงสัยไม่ได้ แม้พอจะเดาออกอยู่บ้าง
“ก็เรื่องยอดขายตกนั่นล่ะ พี่เต้เลยบอกว่า จะลงมาดูงานทุกฝ่ายให้ใกล้ชิดกว่าเดิม ไม่งั้นรายได้จะไม่พอค่าใช้จ่าย ตอนบ่ายก็ต้องประชุมอีกรอบเพื่อช่วยกันหาทางแก้ไขสถานะการณ์อีก”
ความคิดที่จะขอยืมเงินไปเป็นค่ารักษายายจากเจ้านาย เป็นอันถูกพับเก็บลงทันที เมื่อได้ยินเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่เล่าให้ฟัง
“อ้อ! นิ่มจ้ะ พี่เต้บอกว่าถ้ามาแล้วให้เข้าไปหาด่วน”
ร่างสมส่วนกับกางเกงเดฟสีดำเสื้อเชิ้ตขาวมีเข็มขัดคาดเอวคอดจึงเดินเชื่องช้าไปหาเจ้านายทันที
“ไม่มีอะไรมากหรอกนิ่ม พี่แค่อยากจะให้ช่วยออกแบบปกเนี๊ยบขึ้นกว่าเดิม เผื่อจะดึงยอดขายได้บ้าง แล้วเวลานักเขียนส่งรายละเอียดเรื่องปกมาก็อ่านให้ละเอียด ถ้าไม่เข้าใจยังไงพี่อนุญาตให้โทรถามนักเขียนได้ แต่อย่าคุยนานนะพี่เกรงใจ เดี๋ยวจะรบกวนเวลาทำงานนักเขียน แล้วก็...”
ดวงหน้าเหงาจดตามคำเจ้านายไปเรื่อย ๆ
“ไม่มีอะไรแล้ว ขอบคุณมากนะจ้ะนิ่ม” บ.ก. หนุ่มหน้าสวยยิ้มให้ลูกน้องอย่างเคย
“อ้อ! นิ่ม”
ร่างบางที่กำลังจะเปิดประตูหยุดกึกแล้วหันกลับทันที
“คะพี่เต้”
“เกือบลืมไปเลยจ้ะ นี่เป็นเงินที่เพื่อน ๆ ลงขันช่วยค่ารักษายายนิ่มนะ ส่วนเช็คนี่ก็เป็นน้ำใจจากพี่ในนามสำนักพิมพ์ ใจจริงพี่อยากจะช่วยมากกว่านี้ แต่ก็อย่างที่นิ่มรู้ว่าสถานะการณ์ไม่ดีเท่าไหร่”
กัณหาจ้องมองเช็คหนึ่งแสนบาท กับเงินในซองสีขาว มีทั้งแบงค์ยี่สิบไปถึงพันด้วยความซาบซึ้งใจ จนต้องเดินอ้อมไปนั่งคุกเข่าก้มลงกราบแทบตักเจ้านายผู้ใจดีอย่างไม่ลังเลพร้อมทั้งน้ำตา ทำเอาเพื่อนร่วมงานที่มองผ่านกระจกห้องเจ้านายมาต่างน้ำตารื้นไปตาม ๆ กัน
“พี่ขอให้ยายหายไว ๆ นะ ถ้านิ่มต้องไปเยี่ยมหรือเฝ้ายายจะเอางานไปนั่งทำที่บ้านก็ได้พี่ไม่ว่า ขอให้งานเดินและออกมาดีเท่านั้นจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะพี่เต้ นิ่มจะไม่มีวันลืมในน้ำใจพี่เต้กับพี่ ๆ ทุกคนเลยค่ะ”
ความปลาบปลื้มใจนี้ ถูกถ่ายทอดให้คนรอบกายได้รับรู้ทั่วกันในเย็นวันนั้น แต่เมื่อเข้าไปถามยอดจากพยาบาลค่ารักษาก็ดีดขึ้นเป็นแปดแสนกว่าแล้ว แม้จะได้เงินจากทุกคนรวมทั้งเงินเก็บของตัวเอง ก็ยังได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
“คงต้องรบกวนญาติให้ชำระบางส่วนก่อนนะคะ” เช็คหนึ่งแสนกับเงินสดอีกสองแสนจึงถูกไปกดมา
“หมอไม่แนะนำให้ย้ายคนไข้ตอนนี้นะครับ รอให้ฟื้นก่อนดีกว่า จะได้มั่นใจว่าพ้นขีดอันตราย ถ้าถึงเวลานั้นหมอจะสั่งย้ายไปอยู่โรงพยาบาลรัฐบาลที่หมอประจำอยู่ให้เองครับ”
แพทย์เจ้าของไข้ให้ความกระจ่าง เมื่อทุกคนอยากจะย้ายยายจำปาไปโรงพยาบาลรัฐ เพราะรู้ดีว่าจะไม่มีทางหาเงินมาจ่ายได้อีกเป็นแน่ กระนั้นก่อนจะย้ายยายไปก็ต้องดิ้นรนหามาจ่ายส่วนที่เหลือก่อนอยู่ดี
“ทำใจดี ๆ ไว้นะนิ่ม เราต้องมีทางออก งั้นวันนี้กลับไปพักก่อนนะ นิ่มเครียดมากไปแล้ว เอาเป็นว่าเราแยกกันตรงนี้เพราะเราต้องกลับไปประชุมต่อ”
เพราะธีระนัยกับชลธิชาทำงานที่เดียวกัน จึงแยกกับกัณหาตรงป้ายรถเมล์ เจ้าของสายตาคู่เศร้า กำลังนั่งเบียดกับคนอื่นในสองแถวนั้น เฝ้าแต่ครุ่นคิดหาหนทางที่จะให้ได้เงินมาเป็นค่ารักษายายเพียงเท่านั้น และเมื่อไม่แน่ใจจึงหันไปขอความเห็นจากน้อง
“หนุ่มว่าพี่ควรจะไปหาบ้านโน้นหรือเปล่า เพราะมันเป็นความหวังเดียวของเรา”
“ไม่รู้สิพี่นิ่ม แต่ถ้าไม่มีทางเลือก มันก็คงจะต้องลองล่ะนะ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
สองพี่น้องเดินลัดเลาะตามซอยไป พลางก็ปรึกษากันไปตลอดทางกระทั่งถึง มีคนไม่คุ้นเคยนั่งรออยู่ตรงระเบียงด้วยใบหน้าไม่ใคร่จะชอบใจนัก มือก็ตบยุงเปาะแปะ ๆ ควบคู่ไปด้วย
“มากันแล้วเหรอ ฉันคิดว่าจะต้องนั่งรอเธอถึงเช้าแล้วซะอีก”
ยุพาพรนั่งหน้านิ่วทักทายด้วยน้ำเสียงห้วน มีสะใภ้นั่งใช้พัดโบกไปมาเพื่อไล่ยุงให้อย่างมีความอดทน วิโรจน์ที่เบื่อกับการรอไม่แพ้กันพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
เพราะรู้ดีว่าหน้าที่คือจะต้องพาลูกที่เขาไม่เคยได้เห็นหน้าเลยไปช่วยกู้สถานะการณ์ให้จงได้ แต่ต้องเปิดโอกาสให้แม่ออกโรงไปก่อน เพราะถูกสั่งมาแบบนี้