บทที่ 5 - งงแล้วงงอีก
ผ่านมาสองอาทิตย์จากวันนั้นที่บ้านของเขาในห้องน้ำ จนตื่นมาตอนเช้าที่อีกห้อง เธอไม่รู้เลยว่าวันนั้นเขาอุ้มเธอมาส่งตอนไหนและเขาจากไปตอนไหน จนตอนนี้เธอมองหาอาจารย์หมอตลอดเวลา มองหาเขาทุกครั้งยามเผลอ จนไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ในใจตัวเองนั้นแอบแบ่งปันพื้นที่ให้คนหน้าตายเสียแล้ว
“เป็นอะไรเจเจ” นภิสาถามเพื่อนรัก เพราะระยะหลังๆ มานี้ใจลอยบ่อยๆ
“ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่หลินเถอะ แม่โทรมาหามีเรื่องอะไรเหรอ” เธอถามเพื่อนที่เพิ่งคุยโทรศัพท์กับแม่เสร็จ
“ก็โทรมาบอกว่าโอนเงินเดือนเดือนนี้ให้นั่นแหละ เราไปดูคนป่วยห้อง...ก่อนนะ”
“ไปเถอะ เราเองก็จะไปดูคนไข้ของเราเหมือนกัน”
“เนี่ยไม่รู้ช่วงนี้อาจารย์หมอยุ่งอะไร ไม่ค่อยมาสอนเราเลย เห็นแต่หมอกามาสอนเรา”
นภิสาถาม เพราะก่อนหน้านี้เหมือนเพื่อนและอาจารย์หมอจะสนิทกัน แต่ตอนนี้เหมือนว่าทั้งสองจะห่างๆ กันไป จากเคยเรียกจงกลนีไปหาที่ห้องทำงานส่วนตัวบ่อยๆ ก็ไม่เคยเรียกอีกเลย นี่ก็งงเหมือนกันว่าเพื่อนและอาจารย์หมอเป็นอะไรกันรึเปล่า เซนส์ของหล่อนบอกแบบนั้น และบอกอีกว่าทั้งสองต้องมีอะไรที่ตัวเธอยังไม่รู้แน่นอน
“ไม่รู้สิ คงยุ่งมั้ง” พูดแล้วก็เม้มปากแน่น เขาหลบหน้าเธอแน่ แล้วเพราะอะไร ทำไมต้องหลบหน้า หายเงียบไปดื้อๆ แบบนี้ ขนาดเดินสวนกันเขาก็ทำมองเมินเธอไม่สนใจ ทั้งๆ ที่เธอแอบส่งยิ้มให้เขา ให้ตายสิ เธอเป็นอะไร ทำไมต้องสนใจคนหน้านิ่งหน้าตายไร้อารมณ์คนนั้นด้วยล่ะ
“น่าจะทั้งผ่าตัด ทั้งต้องบริหารโรงพยาบาลอีก งั้นไปทำงานกันเถอะเจเจ” แล้วสองสาวก็เดินแยกกันไปคนละทางเพื่อไปดูผู้ป่วยของตัวเอง
พอเดินห่างมาจากเพื่อน จงกลนีก็มองเห็นคนที่ตัวเองอยากถาม อยากรู้ว่าเขาเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้เฉยเมยเย็นชาเหมือนหน้าตาแบบนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นพยายามเข้าหาและบอกย้ำเธอตลอดว่าเธอเป็นของเขา พอได้ทะเบียนสมรสและบังคับเธอเปลี่ยนนามสกุลแล้วก็เปลี่ยนไป เป็นงงขนาด เขาเป็นอะไรของเขา หรือเขาจะเบื่อเธอแล้ว ไม่มีวันหรอก ในเมื่อเขาบอกเองว่าอยากรับผิดชอบ และบอกเองว่าไม่ใช่เรื่องผิดพลาด เมื่อคิดได้ดังนั้นก็สาวเท้าเดินไปหาเขาเร็วๆ พร้อมร้องเรียกรั้งเขาไว้
“อาจารย์หมอคะ อาจารย์ หมอเข้ม”
เธอเรียกเท่าไหร่เขาก็ไม่หยุด อะไรของเขา ตั้งแต่หลอกเธอเซ็นใบทะเบียนสมรสวันนั้น เขาก็ยังคงนิ่งขรึม ไม่อธิบายอะไร ขนาดพาเธอไปถ่ายบัตรประชาชนเปลี่ยนนามสกุลแล้วด้วย คือเธอถูกเขาบังคับนั่นแหละเขาทำเพราะอยากรับผิดชอบงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่ต้องแต่เขาก็บอกว่า ‘อย่ามาคิดแทนพี่’ นั่นมันหมายความว่ายังไง
“เจเจเรียกอาจารย์หมอทำไม” เสียงทุ้มของเพื่อนร่วมรุ่นที่เรียนแพทย์ด้วยกันเอ่ยถามพร้อมคว้าข้อมือเธอดึงรั้งไว้ ส่วนคนที่เดินหนีไม่สนใจก่อนหน้าก็รีบหมุนตัวเดินมาหาทั้งสองคนทันที พอมาถึงก็พูดขึ้น...
“คุณเป็นแฟนเธอเหรอถึงจับเธอแบบนั้น” เขาพูดหน้านิ่ง แต่สายตาเอาเรื่องน่าดูจนคนที่จับข้อมือของสาวเจ้ารีบปล่อยทันที
“ไม่ครับอาจารย์หมอ” ปภพงงกับคำถาม แต่ก็ตอบแม้จะงงก็เถอะ
“จำไว้...ไม่ใช่แฟนกัน อย่าเที่ยวจับมือผู้หญิงแบบนี้อีก คนอื่นจะเข้าใจผิดได้”
เขาสั่งแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ส่วนสาวหน้าหวานคนเดียวที่ตกเป็นประเด็นถึงกับงง อะไรของอาจารย์หมอ เขาเป็นอะไร ไม่แม้แต่จะมองหน้าเธอและพูดกับเธอ เนี่ยนะคนที่เธอจดทะเบียนสมรสด้วย เนี่ยนะคนที่บอกว่าเป็นสามีเธอในวันนั้น เนี่ยนะคือคนคนเดียวกัน ทำไมเขาถึงเป็นคนอ่านยากแบบนี้ แล้วนี่หึงหรืออะไรกันแน่
“เจเจ...เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมมองอาจารย์หมอขนาดนั้น” สติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้งเมื่อมองร่างสูงใหญ่ที่เดินห่างออกไปแล้ว
“ฮะ! ว่าไงนะเอ็ม”
“เป็นอะไรรึเปล่าเจเจ ทำไมมองอาจารย์หมอขนาดนั้น”
“อือ...ไม่มีอะไรหรอก เอ็มจะไปไหนเหรอ”
“จะไปหาหมอกาน่ะ”
“อ้อ...งั้นไปเถอะ เราก็จะไปดูคนไข้ของเราเหมือนกัน เย็นนี้กินข้าวร้านเดิมนะ เดี๋ยวเอ็มก็ไลน์บอกหลินด้วย เมื่อกี้เราลืมบอกหลิน”
“ไม่อยู่เวรเหรอคืนนี้”
“อยู่นะ แต่ไปกินข้าวด้วยแล้วค่อยกลับมาอยู่เวรต่อ”
“โอเค งั้นแยกย้ายกัน” แล้วทั้งสองก็เดินแยกจากกันไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
ว้าย!
เดินมาพ้นมุมไม่ทันไรก็ถูกคว้าดึงเข้ามาในห้องเก็บเอกสาร พอจะร้องให้คนช่วยก็ต้องปิดปากเงียบเมื่อเห็นคนที่ดึงตัวเองเข้ามา
“ทำอะไรอาจารย์หมอ”
“ทำไมให้หมอนั่นจับมือ” เขาไม่ตอบ แต่ถามเสียงเข้มแทน
“ก็แค่จับแบบเพื่อน”
“แบบเพื่อน?”
“ใช่...ก็จับมือโอบไหล่กันปกติ เจเจเห็นว่ามันไม่มีอะไรเสียหายนี่คะ”
“แต่เจเจเป็นเมียฉัน ห้ามให้ใครจับมืออีกจำไว้ โอบไหล่ก็ไม่ได้ ห้ามยิ้มห้ามหัวเราะให้ผู้ชายคนอื่นด้วย ฉันไม่ชอบ”
“เดี๋ยวนะ แค่จดทะเบียนสมรสกัน มันทำให้หมอเข้มเป็นเจ้าของขนาดนี้ก็หย่าเถอะค่ะ โลกแคบ คิดเยอะ อีกอย่างรักก็ไม่ได้รักยังมาบังคับนั่นนี่อีก แล้วหลายวันทำไม่สนใจ ทีวันนี้มาสนใจ ชิ! หมอแก่”
“จดแล้วหย่าไม่ได้ อีกอย่างแก่งั้นเหรอ?”
“ก็แก่กว่าตั้งสิบเอ็ดปี ไม่เรียกว่าแก่ให้เรียกว่าหนุ่มน้อยเหรอ และนี่ปล่อยได้แล้ว จะไปทำงาน”
“ไปสิ จำไว้ว่าเจเจเป็นเมียพี่หมอเข้ม ห้ามให้ใครแตะต้องอีก มือที่มันจับเมื่อกี้นี้เช็ดออกซะ” เขารู้สึกน้อยใจเล็กน้อยเมื่อถูกยกเรื่องอายุมาเป็นข้อโต้เถียงกัน แต่ไม่ลืมส่งผ้าเย็นที่เตรียมมาให้เธอเช็ดข้อมือและมือเล็กที่ถูกหมอฝึกหัดจับมาก่อนหน้านี้
“ทำไมต้องเช็ด”
“ฉันไม่อยากให้ขี้มือมันติดตัวเธอ เช็ดซะ!” เขาสั่งเสียงดุจนหล่อนต้องรับผ้าเย็นมาเช็ดมือ
“พอใจรึยัง” เธอเช็ดเสร็จก็ส่งผ้าคืนให้เขา
“อือ” เขาหยักยิ้มมุมปาก ก่อนจะเปิดประตูห้องเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรต่ออีก
“อิหยังวะ!” จงกลนียังมือขึ้นเกาหัวตัวเองด้วยความมึนงงและไม่เข้าใจ เหมือนจะหึงจะหวง แต่ก็ทำเหมือนไม่ใช่ ผู้ชายคนนี้เดายากจริงๆ
“หึงชั่นติ” เธอพึมพำเป็นภาษาถิ่นของตัวเองแล้วก็เดินออกจากห้องเก็บเอกสาร พอออกมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว เขาไปไหนแล้ว แล้วนี่เขาเป็นอะไรไป ทำเหมือนหึงเหมือนหวง แต่ก็ไม่ได้หึงไม่ได้หวง และใบหน้าที่เคร่งขรึมนั้นอีก เขาคิดอะไรอยู่กันแน่
ส่วนคนที่เดินจากมาก็ยิ้มพึงพอใจกับท่าทางของคนตัวเล็ก เขาไม่อยากรุกหล่อนมากตอนนี้จึงถอยห่างออกมา อยากรู้ว่ายามที่เขาไม่ตามตอแยเธอจะเป็นยังไง และเท่าที่แอบดูอยู่ห่างๆ เธอใจลอยบ่อยเหลือเกินตอนนี้ และเขาก็แอบยิ้มขำในใจยามที่เดินสวนกัน เธอจะเรียกและยิ้มให้เขาบ่อยครั้ง แต่ถูกเขาเมิน ได้แกล้งจงกลนีแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถือว่าเป็นสีสันของชีวิต
“รุ่นพี่ยิ้มอารมณ์ดีอะไรคะ” วรณิกาถามรุ่นพี่ของตัวเองเมื่อเห็นว่าเขาเดินยิ้มมา ส่วนคนถูกทักก็ตกใจที่ตัวเองเผลอยิ้มนานขนาดนี้จนต้องหุบยิ้มเปลี่ยนเป็นหน้าตายเหมือนเดิม
“ไม่มีอะไรหรอกหมอกา ว่าแต่หมอกาไปหาผมที่ห้องทำงานมาเหรอ” เขาถามเมื่อเห็นว่าเธอเดินมาจากทางห้องทำงานของตัวเอง
“ค่ะ พอดีจะปรึกษารุ่นพี่ถึงเคสที่เพิ่งผ่าตัดไปเมื่อตอนเช้าค่ะ”
“งั้นก็ไปที่ห้องทำงานกันเลย ว่าแต่ช่วงนี้แพทย์ฝึกหัดเป็นยังไงบ้าง”
“ทั้งสามคนฉลาดและหัวไวมากรุ่นพี่ ถือว่าเป็นหมอรุ่นใหม่ไฟแรงเลย ตอนนี้เห็นจะไม่ได้ค่ะ พอดีนัดหมอเอ็มมาหาที่ห้องทำงาน”
“อือ...งั้นตอนเย็นก็ได้”
“งั้นเจอกันตอนเย็นค่ะรุ่นพี่”
แล้วทั้งสองก็แยกจากกันไปทำงานของตัวเอง สำหรับวรณิกาแล้วก็ยังคงเหมือนเดิม พยายามตัดใจจากรุ่นพี่แล้วแต่ก็ทำไม่ได้ จนตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าภรรยาของเขาคือใคร เพราะไม่เคยเห็นเขาพามาที่โรงพยาบาลด้วยสักครั้ง แถมสาวๆ พยาบาลก็ยังไม่มีคนรู้ว่าเขาแต่งงานแล้ว ทุกคนยังคิดว่าเขาโสด และเธอก็ยังไม่อยากเชื่อว่าเขาแต่งงานเหมือนกัน แต่เขาเป็นคนบอกเอง คนจริงจังกับชีวิตอย่างเขมณัฏฐ์ไม่มีทางโกหกแน่ แต่ก็ยากจะเชื่อเหลือเกินว่าเขามีเจ้าของแล้ว
จากที่นัดกันทานข้าวร้านประจำก็ต้องมานั่งทานที่โรงอาหารของโรงพยาบาล เพราะวันนี้ร้านที่เคยไปนั่งทานปิด สามคนก็นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องคนไข้ของตัวเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลการรักษากัน ในส่วนของนภิสาดูแลผู้ป่วยวัยเจ็ดสิบปี ปภพนั้นรักษาผู้ป่วยวัยสิบแปดปี ที่ประสบอุบัติเหตุเลือดคั่งในสมอง ส่วนจงกลนีนั้นดูแลผู้ป่วยเส้นเลือดในสมองแตกและเธอก็ได้เข้าทำการผ่าตัดพร้อมกับแพทย์หญิงวรณิกา และหลังผ่าตัดเสร็จเธอก็ได้รับหน้าที่คอยเฝ้าระวังอาการของผู้ป่วย เพราะตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตรายแม้จะผ่าตัดไปแล้วสองครั้งก็ตาม
“วันนี้เจเจอยู่เวรถึงกี่โมง” นภิสาถามเพื่อนพร้อมตักข้าวเข้าปาก
“ถึงเที่ยงคืน”
“ดึกเลย งั้นต้องกินเยอะๆ ตุนไว้จะได้ไม่หิวตอนดึก” ปภพตักเนื้อหมูในจานของตัวเองให้หญิงสาว
ปึก!
แล้วจานข้าวปริศนาก็วางกระแทกลงข้างๆ จานของจงกลนี ทั้งสามจึงพากันมองเจ้าของจานข้าวปริศนาทันที
“อาจารย์หมอ” สามเสียงประสานเสียงกันเรียกผู้มาใหม่
“อิ่มแล้วเหรอถึงตักเนื้อให้คนอื่น” เขาถามปภพพร้อมนั่งลงข้างๆ จงกลนีแล้วตักเนื้อในจานของจงกลนีที่ปภพตักให้ก่อนหน้านี้กลับไปยังจานเดิมของมันแล้วพูดต่อ
“ถ้ายังไม่อิ่ม อย่าตักให้คนอื่น แล้วเราอยากได้เนื้อหมูเหรอ” เขาพูดพร้อมตักเนื้อหมูในจานของตัวเองให้จงกลนีโดยไม่สนใจว่าตอนนี้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าแพทย์และพยาบาล
“ขอบคุณค่ะ” จงกลนีขอบคุณแล้วก็หันไปส่งยิ้มแหยๆ ให้เพื่อนทั้งสอง
“เอ่อ...พวกเราขอตัวก่อนนะคะอาจารย์หมอ” นภิสากระทุ้งศอกใส่ปภพที่นั่งข้างๆ เพื่อให้ออกจากตรงนี้ ส่วนปภพนั้นไม่อยากลุกหนี แต่ก็ต้องลุกเมื่อถูกฉุดดึงให้ลุกหนีพร้อมกับจานข้าวที่เพิ่งทานได้ไม่กี่คำ
“ขอตัวนะครับอาจารย์หมอ” แล้วก็ต้องจำใจจากไปทิ้งให้จงกลนีและอาจารย์หมออยู่ด้วยกันสองคน
“อือ” เขาพยักหน้าตอบรับแล้วเท้าคางมองหน้าของคนตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้ามองจานข้าวของตัวเอง
“กินสิ วันนี้พี่ก็อยู่เวรดึกเหมือนกัน” เขาบอกเธอพร้อมยกมือเกี่ยวเส้นผมที่ติดแก้มออกจากแก้มของเธอออกให้ และการกระทำของเขาก็ทำให้เป็นเป้าสายตาของคนในโรงอาหาร
‘เขายิ้มอีกแล้ว ยิ้มแบบนี้ใครจะทนไหว’ หล่อนพึมพำหลบสายตาอ่อนโยนที่ส่งมาให้ เขากำลังยิ้ม เขายิ้มให้เธอคนเดียวใช่ไหม
“หรือให้ป้อนดี” เมื่อเห็นว่าน้องน้อยยังนิ่งไม่ยอมตักข้าวทานก็เอ่ยขึ้นอีก
“มะ...ไม่ต้องค่ะ อายหมอและพยาบาลที่เดินผ่านไปมา และก็ขยับออกไปได้ไหมคะ นั่งเบียดแบบนี้อึดอัด” เธอดันไหล่เขาเบาๆ
“อึดอัดหรือเขินเอาให้แน่” เขมณัฏฐ์กระตุกยิ้มโปรยเสน่ห์แล้วยืดตัวนั่งตรงหันมาสนใจข้าวราดแกงของตัวเองต่อ
“บ้า! ไม่คุยด้วยแล้ว จะกินข้าว”
“ก็กินสิ หรือลีลาเพราะอยากให้ป้อน”
“ไม่ใช่สักหน่อย กินของตัวเองไปเลยนะ และอย่าทำแบบนี้เดี๋ยวคนก็เอาไปนินทาหรอก”
“ถ้าไม่ทำแบบนี้กับเมียจะให้ทำกับใคร และรู้ไหมว่าหมอเอ็มคิดไม่ซื่อน่ะ อย่าสนิทให้มากนัก หวง ไม่ชอบ และอย่ายิ้มบ่อยๆ พี่หวง”
เขายื่นมือมาหยิกแก้มนวลหยอกเย้าจนพยาบาลที่เดินผ่านไปมาพากันอมยิ้มกับภาพของผู้อำนวยการหนุ่มหยอกเย้าแพทย์ฝึกหัด และแพทย์สาวๆ พยาบาลสาวๆ หลายคนต่างพากันอกหักไปตามๆ กันเมื่อได้เห็นภาพของเขมณัฏฐ์กับจงกลนีในตอนนี้
“รู้ค่ะ แต่หมอเอ็มกับเจเจรู้จักกันมานาน”
“นานแค่ไหนกันเชียว พี่รู้จักเราทั้งชีวิตเลยนะเจเจ แล้วนี่คืนนี้ถ้าหิวก็โทรมานะ พี่จะไปซื้อข้าวมาให้ หรือถ้าง่วงก็โทรคุยกับพี่ได้” เขาพูดเหมือนกับว่าเขาคุยเก่งงั้นแหละ ดูตอนนี้สิยิ้มได้แป๊บเดียวก็กลับมาหน้านิ่งไร้อารมณ์อีกแล้ว สรุปเขาเป็นคนยังไงกันแน่ แล้วที่เขาเงียบหายไปคืออะไร และตอนนี้เข้ามาหามาทำให้ใจเต้นแรงทำไม และทำให้เธออายผู้คนด้วย
“รู้แล้วค่ะว่ารู้จักเจเจมาตั้งแต่เกิด แล้วไม่อายคนอื่นเหรอคะที่ทำแบบนี้ ไม่กลัวคนเอาไปนินทาเหรอคะ”
“ไม่มีใครไม่ถูกนินทา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ยกมานินทาได้ เราเถอะ อายเหรอที่ถูกนินทากับพี่”
“ไม่พูดด้วยแล้ว กินข้าวแล้วค่ะ ต้องรีบกลับไปอยู่เวร”
“กินสิ จานของพี่ก็กินด้วยนะ พี่ไม่หิว” เขาขยับจานข้าวของตัวเองให้เธอ เขาสั่งผัดเปรี้ยวหวานหมูกรอบซึ่งเป็นของโปรดของน้องน้อย เขาจำได้ดีว่าเธอชอบทานอะไร แพ้อะไร และไม่ชอบอะไร เรื่องไหนที่เกี่ยวกับเธอ เขาจำได้ทุกอย่าง
“ขอบคุณค่ะ ไม่กินจริงๆ นะ”
“ไม่กิน พี่สั่งมาให้เรานั่นแหละ”
แล้วคนที่หิวจนตาลายก็ไม่รอช้าจะทานข้าวให้อิ่มท้องและจานของเขาด้วย ส่วนคนที่อยากเอาใจอย่างเขมณัฏฐ์ก็นั่งอมยิ้มมองภรรยาตัวน้อยที่กำลังทานข้าวอยู่อย่างเอ็นดู เธอทานข้าวติดเปื้อนตามแก้มเขาก็เช็ดออกให้
“ขอบคุณค่ะ”
“หน้าที่ของสามีที่ต้องดูแลภรรยา” เขาตอบยิ้มๆ แล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้เต็มความสูง
“จะไปไหนคะ”
“ไปซื้อน้ำมะพร้าวมาให้” เขาบอกแค่นั้นแล้วเดินจากไป ส่วนเธอก็ได้แต่ใจพองกับการเอาใจใส่ของเขา ตอนนี้จงกลนีไม่แน่ใจแล้วว่ารู้สึกกับคนตัวโตเช่นไร รู้แต่ว่าคิดถึงเขาตลอดสองอาทิตย์ที่เขาห่างเหิน น้อยใจเสียใจในตัวเขา แต่พอตอนนี้เขามาเอาใจก็ลืมเรื่องที่ไม่พอใจไปทันที ก็นะ เธอชอบน้ำมะพร้าวที่สุด
“รุ่นพี่มาทำอะไรที่โรงอาหารคะ” แพทย์หญิงวรณิกาเอ่ยทักเมื่อเห็นเขามาซื้อน้ำร้านเดียวกับตัวเอง
“มาทานข้าวน่ะ”
“ปกติไม่เห็นมาทานข้าวที่โรงอาหารเลย ทำไมวันนี้มาทานที่นี่คะ”
“มาดูแลภรรยาน่ะ และนี่ก็มาซื้อน้ำมะพร้าวให้เธอสักหน่อย เดี๋ยวจะงอน” เขาพูดแค่นั้นก็หยิบแก้วน้ำมะพร้าวที่แม่ค้าส่งให้พร้อมจ่ายเงินแล้วเดินจากไป ส่วนวรณิกาก็มองตามไปจนเห็นเขานั่งลงข้างๆ จงกลนี และก็นึกแปลกใจสงสัยอยากรู้ว่าทั้งสองเป็นอะไรกัน อย่าบอกนะว่าภรรยาที่พูดถึงคือนักศึกษาแพทย์คนนั้น
“หมอกาคะ น้ำได้แล้วค่ะ” แม่ค้าเอยเรียกเตือนสติเธอ เธอจึงหันมารับแก้วน้ำส้มปั่นแล้วจ่ายเงินแม่ค้าแล้วเดินไปหาทั้งสองที่โต๊ะด้วยความอยากรู้
“นั่งด้วยคนนะคะ” ไม่รอให้ทั้งสองอนุญาต เธอก็นั่งลงตรงข้ามกับทั้งสองทันที
“หมอกา” จงกลนีขยับตัวถอยห่างจากอาจารย์หมอทันที ส่วนเขาก็ขยับตามไปติดๆ
“ไม่ต้องอายหมอกาหรอก นี่ภรรยาผมเอง” เขาโอบไหล่เธอเข้ามาซบอกตัวเองพร้อมแนะนำให้หญิงสาวรู้จัก ที่ทำแบบนี้เพราะอยากให้รุ่นน้องตัดใจจากตัวเอง
“คะ...ค่ะ” วรณิกาตกใจมากที่ถูกเขาแนะนำแบบนี้ ส่วนคนถูกโอบกอดก็พยายามขืนตัวเองและดันเขาออกห่าง
“มะ...ไม่ใช่แบบนั้นนะคะหมอกา คือ...” กำลังจะปฏิเสธ แต่ถูกคนตัวโตพูดแทรกขึ้นมาอีก
“ไม่ต้องอายหรอก พี่กับหมอกาเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน เจเจเป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ผมและเรารู้จักกันมานานแล้ว และผมก็รักเธอตั้งนานแล้วครับ ตอนนี้เราก็จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ส่วนงานแต่งงานก็เร็วๆ นี้แหละครับ” เขมณัฏฐ์ไม่สนใจหรอกว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดแค่ไหน เขาสนใจแค่คนตัวเล็กข้างๆ นี้เท่านั้น และไม่สนใจด้วยว่าเธอจะโกรธตัวเองที่พูดออกมาแบบนี้ ซึ่งที่เขาพูดออกมามันคือความจริงใจของเขาที่มีต่อน้องน้อย
“รีบกินข้าวเถอะ จะได้ไปอยู่เวร หมอกาจะปรึกษาผมเรื่องผู้ป่วยไม่ใช่เหรอ เชิญที่ห้องทำงานเลยครับ ตอนนี้ผมว่างแล้ว” เขมณัฏฐ์พูดจบก็ปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระแล้วลุกขึ้นเดินจากไป และไม่คิดจะหันมามองคนที่ตัวเองบอกว่าเป็นภรรยาเลยสักนิด เป็นเหตุให้จงกลนีน้อยใจเขาอีกครั้ง เขาเป็นอะไรของเขา ยิ้มให้สักนิดก็ไม่มีทั้งๆ ที่บอกว่าเธอคือภรรยาแท้ๆ
“ขอตัวนะคะ” วรณิกาเอ่ยขอตัวพร้อมกับหยิบแก้วน้ำของตัวเองตามรุ่นพี่ตัวเองไป ส่วนจงกลนีก็คว้าแก้วน้ำมะพร้าวมาดูดแรงๆ พร้อมบ่นไปด้วย
“อิหยังอีกวะ เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวเย็นชา”
จู๊ด!
เสียงดูดน้ำของเธอดังขึ้นอีกครั้งด้วยอารมณ์โกรธเขมณัฏฐ์จนทำให้ทานข้าวต่อไม่ลง