บทที่ 3 - ทะเบียนสมรส
เขมณัฏฐ์ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวพร้อมไปทำงานแต่เช้า และในมือก็มีแก้วกาแฟดำหนึ่งแก้วถืออยู่ วันนี้เขามีเวรเช้า เขมณัฏฐ์มองเอกสารในมืออีกข้างที่เพิ่งแกะออกจากซองสีน้ำตาลที่วางไว้ที่หัวเตียงเมื่อกี้ ใบหน้าเรียบเฉยเย็นชาที่ยากจะคาดเดามองไปยังข้างนอกระเบียงห้องแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง นำแก้วกาแฟในมือไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ครัวของห้อง ก่อนจะถือเอกสารในมือพร้อมกับหยิบปากกาที่โต๊ะทำงานข้างนอกเข้ามาด้วย พอเข้ามาแล้วก็มองหน้าของคนที่หลับสนิทบนเตียงนุ่มของตัวเอง เขาหลุดยิ้มออกมากับภาพที่เห็น จงกลนีนอนน้ำลายไหล และพอไหลจะถึงหมอนก็ยกมือขึ้นมาเช็ดแก้มพร้อมแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง
“เด็กน้อยของพี่” เขาพึมพำกับตัวเองแล้วดึงลากเก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลมานั่งลงข้างเตียงที่เธอนอนอยู่ ก่อนจะเขย่าปลุกเธอ เขาต้องฉวยโอกาสนี้เพื่อให้เธอเซ็นเอกสารในมือ และหลังจากนี้เธอก็จะเป็นสิทธิ์ขาดของเขาเพียงคนเดียว และไม่รู้หรอกว่าพอตื่นมา เธอจะโวยวายไล่ฆ่าตัวเองไหม แต่ก็อยากปลุกมาเพื่อเธอจะยอมเซ็นเอกสารในมือให้
“ตื่นมาเซ็นเอกสารให้ฉันหน่อย” มือหนาเขย่าปลุกสาวน้อยไร้เดียงสาที่เขาตักตวงความหวานตลอดคืนให้ตื่นในตอนเช้า
อือ
หล่อนครางพึมพำลืมตาตื่นขึ้น แต่ก็ยังไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่
“เอ้า...ปากกา เซ็นเอกสารแล้วค่อยนอนต่อก็ได้”
“ค่ะ” เธอรับปากกาที่เขายื่นให้พร้อมกับเซ็นชื่อตรงที่เขาชี้มือ
“เรียบร้อย ตอนนี้เธอเป็นเมียฉันแล้วนะ”
“ยังไงคะ?” ถามทั้งๆ ที่นั่งหลับ
“ก็เราจดทะเบียนสมรสกันแล้ว” พูดแค่นั้นหมอหนุ่มก็ขยับแว่นลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปทันที พร้อมกับเสียงกรีดร้องของภรรยาตีทะเบียนของตัวเองที่เพิ่งหลอกให้เซ็นไปเมื่อกี้
กรี๊ด!
เธอตื่นเต็มตาทันทีเมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูดทิ้งท้าย พอจะลุกขึ้นไปตามก็ตกใจ เพราะเจ็บกลางหว่างขา แถมยังเปลือยอีก นั่นทำให้หล่อนร้องกรี๊ดอีกรอบ
กรี๊ด!
“หมอเข้ม! อาจารย์หมอกลับมาคุยกันเดี๋ยวนี้นะ คนเจ้าเล่ห์” เธอเป็นลูกศิษย์ของเขาและเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทของแม่เขาด้วย เขาทำแบบนี้ได้ยังไง มอมเหล้าเธอจนเมาไม่พอยังข่มเหงเธออีก เขามันร้าย...ร้ายหน้าตายด้วย เธอมองสำรวจร่างกายของตัวเองที่เต็มไปด้วยร่องรอยของคนตัวโตที่เดินจากไป แล้วก็ต้องมุดหน้าเข้าไปในผ้าห่ม เมื่อประตูห้องเปิดเข้ามาอีกรอบพร้อมกับเขา
“ไหวรึเปล่า ถ้าไหวอาบน้ำแต่งตัวไปทำธุระกัน” เขาบอกเธอแล้วปิดประตูห้องออกไปอีกครั้ง
“สั่งๆ สั่งอยู่นั่นแหละ แล้วเขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่” หน้าของเขามันไร้อารมณ์เหลือเกิน จนเธอไม่รู้เลยว่าเขาทำแบบนี้ทำไมกัน ทำไมต้องหลอกให้เธอจดทะเบียนสมรสด้วย แล้วเรื่องเมื่อคืนล่ะ ภาพทุกอย่างมันเหมือนฝัน แต่มันไม่ใช่ฝัน เธอรู้ดีว่าตอนนี้ร่างกายตัวเองไม่เหมือนเดิมแล้ว
“คนเลว...” เธอตัดพ้อเขาแล้วล้มตัวลงนอน ไม่ยอมทำตามที่เขาบอก
เวลาผ่านไปนานเกือบยี่สิบนาที คนตัวเล็กก็ไม่ยอมออกมาจากห้องนอนสักที เขาจึงเปิดประตูเข้ามาอีกครั้งก็เห็นเธอนอนหลับอยู่ แล้วก็ต้องอมยิ้มกับภาพตรงหน้า แล้วก็ปิดประตูเบาๆ ด้วยกลัวว่าเธอจะตื่น ในเมื่อร่างกายเธออ่อนเพลีย เขาจึงจะปล่อยให้เธอได้พักผ่อน ค่อยพาไปทำบัตรประชาชนเปลี่ยนนามสกุลวันหลังก็ได้ แถมตอนนี้ก็เริ่มสายแล้ว เขาจึงรีบไปทำงาน เพราะวันนี้มีผ่าตัดด้วย
วรณิกามองรุ่นพี่ของตัวเองที่กำลังเดินออกมาจากห้องตรวจแล้วก็รีบสาวเท้าเดินตามอีกฝ่ายไปทันที ตลอดเวลาหลายปีที่มาทำงานที่โรงพยาบาลของเขา เธอทำเรื่องย้ายมาจากโรงพยาบาลเดิมเพื่อมาอยู่ใกล้ชิดคนที่ตัวเองแอบรัก เท้าเล็กก้าวสาวเท้าเร็วๆ มาจนถึงตัวของอีกฝ่ายพร้อมเอ่ยทักทาย
“สวัสดีค่ะอาจารย์หมอ”
“อือ...เรียกปกติก็ได้หมอกา มีอะไรรึเปล่าครับ” เขาถามกลับพร้อมกับก้มมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเอง เขมณัฏฐ์รู้ว่าแพทย์สาวรุ่นน้องคิดอย่างไรกับตนเอง เขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงหล่อนตลอดเวลา แต่บางครั้งก็จนทางไปเหมือนตอนนี้
“ค่ะรุ่นพี่ เย็นนี้ว่างไหมคะ”
“เย็นนี้ต้องกลับไปกินข้าวเย็นกับเมียน่ะ” เขาตอบหน้าตายเหมือนกับว่าเรื่องที่พูดเป็นเรื่องปกติ และทำให้คนฟังอย่างวรณิกาถึงกับอึ้งและไม่อยากเชื่อหูตัวเองจนต้องถามซ้ำ
“รุ่นพี่แต่งงานแล้วเหรอคะ ทำไมกาไม่รู้เลย” ใช่...เธอไม่รู้เลย เพราะเธอไม่เคยเห็นเขามีแฟนที่ไหนและควงผู้หญิงที่ไหนเลย แม้จะรู้ว่าเขมณัฏฐ์ไปดูตัวบ่อยๆ ก็ตาม
“แต่งเมื่อคืนน่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วขอตัวนะหมอกา ต้องไปเตรียมตัวผ่าตัดน่ะ” เขาพูดตัดประโยคความแล้วเดินจากไปทันที โดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้ซักถามตัวเอง และพอเดินพ้นสาวเจ้ามาก็กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความตลกตัวเอง ส่วนวรณิกาก็หน้าเศร้าหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิมและในหัวก็เต็มไปด้วยความสงสัย
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
เสียงสั่นเตือนของโทรศัพท์ของนภิสาดังขึ้น เมื่อคืนกลับมาถึงห้องยังไงยังงงอยู่ แต่พอมองเห็นคนที่นอนกลิ้งอยู่ใต้เตียงก็รู้ทันทีว่าตัวเองถูกปภพหิ้วกลับมา และปภพคงเมาจนเผลอหลับไปหลังจากที่ส่งเธอไว้บนเตียง มือน้อยคลำหาโทรศัพท์ที่ดังสั่นเตือนอยู่ พอเจอสายก็ตัดไปแล้ว
“ตายแล้ว บ่ายโมงแล้วเหรอ” เธอมองดูเวลาตาโต ดีนะที่วันนี้เป็นวันหยุด จึงใช้เท้าเขี่ยร่างใหญ่ของปภพที่ยังนอนหลับอยู่ใต้เตียงตัวเองให้ตื่น
“เอ็มๆ ตื่นได้แล้ว นี่บ่ายโมงแล้วนะ”
อือ
“ตื่นได้แล้ว ถ้าจะนอนก็ไปนอนห้องนายนู่น”
“อือ...เช้าแล้วเหรอหลิน” พึมพำถามพร้อมพลิกตัวคว่ำหน้านอนหลับต่อ
“บ่ายโมงแล้วเอ็ม”
“บ่ายโมง” ปภพตื่นเต็มตาทันทีแล้วดีดตัวลุกขึ้นพร้อมส่ายหัวแรงๆ ไล่ความปวดหนึบออกจากหัวตัวเอง
“ใช่...บ่ายโมงแล้ว กลับได้แล้ว แล้วนี่ไม่รู้ว่าเจเจตื่นรึยัง”
“โอเคๆ งั้นเรากลับแล้วนะหลิน เมื่อคืนเราไม่ไหวเลยเผลอหลับไปใต้เตียงเธอ ขอโทษด้วยนะ”
“อือ...ไม่เป็นไรหรอก” เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก
“อือ...งั้นเจอกันตอนเย็นนะ ขอกลับไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อน”
“ไม่ส่งล่ะ เดี๋ยวเราจะโทรกลับหาแม่ ไม่รู้แม่โทรมาทำไม”
“ได้ๆ แล้วเจเจไม่ได้กลับห้องเหรอหลิน” ใช่...ทั้งสองเพิ่งนึกได้ว่าจงกลนีไม่ได้นอนอยู่ด้วยในห้อง
“ตั้งแต่ตื่นมาก็เห็นแค่นาย ไม่เห็นเจเจเลยนะ”
“แล้วเจเจไปไหน” ปภพลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูห้องน้ำดู เพราะสองสาวพักห้องเดียวกัน
“เห็นไหมเอ็ม”
“ไม่เห็นเจเจ สงสัยจะตื่นออกไปทำธุระมั้ง งั้นเรากลับห้องแล้ว ไม่ไหวปวดหัวมากต้องหายาแก้เมากินสักหน่อย” เพราะทุกครั้งจงกลนีจะตื่นก่อนใครตลอดยามที่ไปดื่มกัน ฉะนั้นเลยไม่สงสัยว่าเมื่อคืนหล่อนไม่ได้กลับห้อง
“อือ...นายไปเถอะ เราเองก็ไม่ไหว แต่ตอนนี้ต้องโทรหาแม่ก่อน ไม่งั้นโดนดุแน่” ว่าแล้วก็กดต่อสายกลับไปยังเบอร์ที่ไม่ได้รับสายก่อนหน้านี้ทันที ส่วนปภพก็เสยผมเดินหาวออกจากห้องไปพร้อมกับปิดล็อกประตูห้องให้เจ้าของห้องเรียบร้อย
จงกลนีตื่นมาในตอนบ่าย ร่างกายของเธอยังอ่อนเพลียและปวดเมื่อย แต่เธออยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว เธอมองหาเสื้อผ้าของตัวเองแล้วเก็บมาสวมใส่ให้เรียบร้อย ก่อนจะมองหากระเป๋าสะพายของตัวเอง แต่เดินหาทั่วห้องก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจออกไปจากที่นี้ในสภาพแบบนี้ พอออกมาจากตัวตึกคอนโดหรูก็มองไปเห็นตึกของโรงพยาบาลที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก จึงเรียกวินมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ห่างไม่ไกลมารับและมาส่งตัวเองที่หอพักที่พักอยู่ และบอกเขารอข้างล่างจะขึ้นไปเอาเงินค่ารถมาให้ เมื่อจัดการกับค่ารถตัวเองเสร็จก็กลับขึ้นไปบนห้องพัก ไปตอบคำถามของเพื่อนรักที่รออยู่บนห้อง
“ไปไหนมาเจเจ แล้วทำไมยังใส่ชุดเดิม อย่าบอกนะเมื่อคืนไม่ได้กลับมานอนที่ห้อง”
“อือ...ไปนอนที่บ้านของป้าขวัญมาน่ะ” นี่เป็นเรื่องโกหกที่คิดได้ตอนอยู่ในลิฟต์
“ป้าขวัญ...ใคร? แต่เมื่อคืนเธอไปกับอาจารย์หมอนะ” นภิสาซักถาม
“ใช่ อาจารย์หมอเป็นลูกชายของเพื่อนแม่เราเอง และเมื่อคืนอาจารย์หมอก็พาไปนอนที่บ้านของเขา”
“ที่แท้ก็รู้จักกันนี่เอง ถึงว่าทำไมอาจารย์หมอเรียกเจเจไปพบตลอดเลย แล้วนี่แสดงว่าเจเจก็รู้จักอาจารย์หมอตั้งแต่เด็กเลยสิ เขาหน้านิ่งแบบนี้ตลอดเลยเหรอ เคยเห็นตอนเขายิ้มบ้างไหม” นภิสาเริ่มอยากรู้เรื่องของอาจารย์หมอหน้าเดียวขึ้นมาทันที และยิ่งรู้ว่าครอบครัวของเพื่อนและครอบครัวของอาจารย์หมอสนิทกันก็ยิ่งอยากรู้
“รู้จักตั้งแต่เด็กเลยแหละ ตั้งแต่จำความได้ก็เจอเขาแล้ว และเขาก็ไปที่ขอนแก่นบ้านเราบ่อยมากเมื่อก่อน ยิ้มเหรอก็เคยนะ แต่น้อยครั้งจะเห็นอาจารย์หมอยิ้ม คือเขามีหน้าเดียวแบบนี้มาตลอด เสียใจ ดีใจก็หน้าไร้อารมณ์เหมือนที่เห็นแหละ ตอนนี้เราง่วงมากหลิน ขออาบน้ำนอนก่อนนะ ไม่ไหวแล้วตอนนี้” พูดพร้อมปิดปากหาวแล้วเดินไปยังห้องน้ำ ส่วนนภิสาก็ยอมแพ้ไม่ถามต่อ เพราะดูท่าทางเพลียๆ ของเพื่อนแล้วคงง่วงจริงๆ แหละ
“แล้วกระเป๋าสะพายของเจเจล่ะ ทำไมไม่มีมาด้วย”
“ติดรถของอาจารย์หมอไปน่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปขอคืน มือถือก็อยู่ในนั้น”
“อือ...งั้นไม่ถามแล้ว ไปอาบน้ำเถอะ” หากว่าเธอสังเกตสักนิดจะเห็นว่าตามลำคอของเพื่อนนั้นมีรอยแดงช้ำเต็มไปหมด
จงกลนียิ้มแห้งให้เพื่อนแล้วเดินไปยังห้องน้ำพร้อมปิดประตูห้องน้ำแล้วถอดเสื้อผ้าโยนทิ้งในตะกร้า ก่อนจะเดินไปยืนหน้ากระจกแล้วหมุนตัวเองไปมาอย่างสำรวจ ซึ่งทุกส่วนของร่างกายเต็มไปด้วยร่องรอยของคนตัวโตจนต้องเผลอกำมือแน่น
“ไอ้อาจารย์หมอหื่น” เธอทุบตีมือตัวเองกับอ่างล้างหน้าแรงๆ แล้วเดินไปเปิดฝักบัวให้ชะล้างร่องรอยของเขาให้ออกจากร่างกาย แม้จะอาบน้ำให้สะอาดแค่ไหน แต่เธอก็ลบสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ดีในตอนนี้ น้ำใสๆ ไหลอาบสองแก้มพร้อมกับน้ำในฝักบัวไหลอาบร่างกายของเธอด้วย
สองวันแล้วที่ไม่ได้เจอจงกลนี เขมณัฏฐ์สอบถามเพื่อนทั้งสองของเธอก็ได้ความว่าเธอก็มาทำงาน แต่ตอนนี้ไปเข้าห้องน้ำบ้างล่ะ ไปข้างล่างตึกบ้างล่ะ ไปตรวจคนไข้บ้างล่ะ เขารู้ว่าจงกลนีพยายามจะหลบหน้าเขา แม้แต่โทรศัพท์และกระเป๋าสะพาย เธอก็ยังไม่ได้มาเอาเลยจนตอนนี้ ไม่รู้ว่าเอาเงินที่ไหนใช้และติดต่อที่บ้านยังไง
“ทำไมต้องหลบหน้าพี่” เขามายืนดักรอเธอที่หน้าห้องน้ำได้สักพักแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เห็นเธอเดินมากับปภพและนภิสา แต่เธอเห็นเขาแล้วแยกตัวมาเข้าห้องน้ำ เขาจึงตามมารอท่าที่หน้าห้องน้ำ
“อาจารย์หมอ”
“ใช่...พี่เอง หลบหน้าพี่ทำไม ทำไมไม่ไปเอากระเป๋าสะพายและมือถือที่ห้องทำงานพี่ แล้วเนี่ยจะหลบหน้าพี่ทำไม เราไม่ใช่คนอื่นต่อกันนะเจเจ”
“เราเป็นอะไรกันเหรอคะ อย่าบอกนะคะว่าเป็นสามีภรรยากัน ตอนที่เซ็นเอกสาร ดิฉันสติไม่ค่อยเต็มด้วย คุณก็ยังหลอกให้ฉันเซ็นเอกสาร”
“เจเจเต็มใจเซ็นเอง พี่ไม่ได้บังคับ ว่างใช่ไหม ไม่ต้องตอบพี่หรอก พี่ถามมาแล้วว่าเราว่างตอนบ่าย ไปสำนักงานเขตกัน ไปจัดการเรื่องเปลี่ยนนามสกุลของเจเจมาใช้นามสกุลพี่”
“ไม่ไป ดิฉันต้องการหย่า”
“พี่ไม่หย่า ตอนนี้เจเจเป็นของพี่แล้ว” แม้จะมีน้ำโหมากแค่ไหนในตอนนี้ แต่หน้าของเขมณัฏฐ์ก็ยังคงไร้อารมณ์ยิ่งขรึมเหมือนเดิม แต่ว่าสันกรามของเขานั้นปูดโปนขึ้นเห็นได้ชัดเจน
“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“ไปกับพี่ อย่าให้พี่ต้องใช้กำลัง” พูดแค่นั้นเขาก็เดินจากตรงนี้ไปทันที ส่วนจงกลนีได้แต่ยืนเม้มปากกัดฟันแน่น แต่ก็ยอมเดินตามเขาไป ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้ เขาไม่เหมือนพี่ชายในความทรงจำเลยสักนิด เขาน่านับถือมาตลอด แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้เป็นคนเห็นแก่ตัวแบบนี้
จงกลนีไม่เคยต้องยอมให้ใครมาก่อนเลย แต่ต้องมายอมให้คนหน้าเดียวคนนี้ เธอแอบมองเขาตลอดทางที่เขาขับรถออกมาจากสำนักงานเขต ตั้งแต่ตอนนี้เขายังไม่แม้แต่จะยิ้ม ยิ้มให้เธอสักครั้งก็ไม่มีทั้งๆ ที่ตอนนี้เธอเป็นภรรยาเขาแล้ว สรุปเขาเต็มใจมีเธอเป็นภรรยาหรือเปล่า หรือที่ทำเพราะอยากรับผิดชอบกันแน่
“กลับบ้านกัน แม่พี่รออยู่” เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
“ป้าขวัญคงยังไม่รู้เรื่อง...”
“ยังไม่รู้ เรื่องนี้มีแค่เราสองคนที่รู้ แต่แม่ขวัญอยากเจอเจเจน่ะ พี่เลยบอกว่าจะพาเจเจไปหาวันนี้”
เฮ้อ!
เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจที่เรื่องนี้ยังคงเป็นความลับอยู่
“เป็นอะไร เสียใจ ดีใจหรือยังไง”
“ดีใจค่ะ ที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องของดิฉันกับอาจารย์หมอ”
“ทำไมพูดห่างเหิน ตอนนี้เราก็ไม่ใช่คนอื่นต่อกันแล้วนะเจเจ”
“คือ...”
“ถ้าคิดจะหย่า พี่บอกเลยไม่มีวันนั้นหรอก” เขาพูดแทรกขึ้นเหมือนมานั่งในใจเธออย่างไรอย่างนั้นแหละ
“มันแค่ความผิดพลาด อาจารย์หมอไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ก็ได้ค่ะ”
“ทำมาเป็นรู้ดีว่าพี่คิดยังไง อะไรที่พี่ตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีคำว่าพลาด เงียบซะ พี่รำคาญ” น้ำเสียงเข้มของเขาทำให้เธอกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอทันที คำที่จะเถียงกลับก็จำเป็นต้องเก็บไว้ในใจทันที เพราะตอนนี้สายตาของเขามันน่ากลัวเหลือเกิน
“อย่ามาคิดแทนพี่”
นั่นคือคำที่เขาพูดออกมาอีกครั้งเพื่อเป็นการย้ำให้เธอรู้ว่าไม่ควรคิดไปเองคนเดียว
“ค่ะ” แล้วทุกอย่างในรถก็เงียบสงบเหมือนเดิม มีเพียงเสียงลมหายใจของเขาและเธอที่ดังออกมาให้ได้ยินเท่านั้นในตอนนี้
ขวัญตาดีใจที่ได้เจอจงกลนีสักที ก็ตั้งแต่ที่เธอเรียนมหาวิทยาลัย นางก็ไม่ค่อยได้เจอหลานสาวอีกเลย เวลาไปขอนแก่นไปเยี่ยมแม่และพ่อของเธอทีไร เธอก็ติดเรียนไม่ได้กลับบ้าน วันนี้นางสั่งให้เด็กทำมื้อเย็นไว้รอต้อนรับหลานสาวคนดีของตัวเอง
“มาแล้วเหรอลูก” ขวัญตาลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปหาคนที่เดินเข้ามาหาตัวเองในห้องนั่งเล่น
“ค่ะป้าขวัญ สวัสดีนะคะ และขอโทษที่หนูเพิ่งจะมาหาป้าขวัญ” จงกลนียกมือไหว้ท่านพร้อมกับโอบประคองท่านเดินกลับไปนั่งที่เดิม ส่วนคนที่เดินตามหลังเธอมาก็มองภาพตรงหน้ายิ้มๆ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นสีหน้านิ่งปกติดังเดิมแล้วเดินตามทั้งสองไปนั่งโซฟาอีกตัวที่อยู่ติดกัน
“เป็นยังไงมั่งลูก พี่เขาบอกว่าหนูมาเป็นลูกศิษย์พี่เขาเหรอ” นางถามหลานสาวพร้อมมองไปยังลูกชายที่นั่งหน้าขรึมอยู่ด้วย
“ค่ะป้าขวัญ อาจารย์หมอเป็นอาจารย์ของเจเจ”
“ยังเรียกอาจารย์หมออีก ที่นี่บ้านนะ เจเจเรียกพี่หมอเข้มเหมือนที่เคยเรียกสิลูก”
“คะ...ค่ะ”
“ว่าแต่เรียนจบแล้วมาทำงานที่โรงพยาบาลเรานะลูก มาอยู่ที่นี่และย้ายมาอยู่ที่บ้านกับป้าก็ได้ ป้าจะได้มีเพื่อนบ้าง ป้าเหงามาก พี่หมอของเราน่ะทำแต่งาน ไม่รู้เมื่อไหร่จะแต่งงานมีหลานให้ป้าสักที ป้าก็แก่ขึ้นทุกวันแล้วเจเจ” นางพูดพร้อมมองไปยังลูกชายที่กำลังก้มหน้าดูหน้าจอโทรศัพท์อยู่
“แม่ขวัญก็พูดไปนั่น แม่ขวัญยังไม่แก่สักหน่อย เดี๋ยวพอถึงเวลาก็มีเองแหละครับ” เขาเงยหน้าจากหน้าจอมาเอ่ยตอบ พร้อมกับส่งยิ้มให้ท่านครู่หนึ่งแล้วปรับเป็นหน้านิ่งเหมือนเดิม
“ให้มันจริงเถอะ แม่ล่ะกลัวแต่ว่าลูกชายของแม่จะอยู่เป็นโสดน่ะสิ เจเจรู้ไหม ป้านะนัดดูตัวให้พี่หมอตั้งหลายรอบ แต่ก็ทำเสียเรื่องทุกทีเลย จนตอนนี้ลูกสาวบ้านไหนก็ไม่กล้านัดรับดูตัวกับพี่เขาแล้ว” นางฟ้องหลานสาว ส่วนคนถูกฟ้องก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ พูดไม่ออกว่าตอนนี้ท่านน่ะมีลูกสะใภ้แล้ว ซึ่งลูกสะใภ้ของท่านก็คือเธอเนี่ยแหละ และเป็นแบบงงๆ ด้วย
“ค่ะป้าขวัญ เรียนจบก่อนค่ะ ตอนนี้ยังไม่ได้คิดเลยว่าจบแล้วจะไปเป็นหมอประจำที่โรงพยาบาลไหน อีกอย่างหนูก็อยากอยู่ขอนแก่นกับแม่ยาและพ่อทศค่ะ ไม่อยากห่างพ่อกับแม่”
“งั้นรอให้เรียนจบก่อน ว่าแต่เจเจหิวรึยังลูก ป้าจะได้ให้เด็กตั้งโต๊ะทานข้าว”
“ดีเหมือนกันค่ะ เพราะเจเจไม่อยากกลับดึก”
“งั้นก็นอนค้างที่นี่สิลูก”
“คือ...”
“แม่ขวัญไปสั่งเด็กตั้งโต๊ะเถอะครับ” เขมณัฏฐ์เอ่ยแทรกขึ้นพร้อมกับเก็บโทรศัพท์ในมือไว้ในกระเป๋ากางเกง
“งั้นทั้งสองอยู่คุยกันไปก่อนนะลูก เจเจถ้ามีเพื่อนสวยๆ ก็แนะนำพี่เขาได้เลยนะลูก” ขวัญตาช่างไม่รู้อะไรเลยว่าในสายตาของลูกชายตัวเองนั้นมีแค่น้องน้อยตรงหน้าคนเดียว
จงกลนีได้แต่ฝืนยิ้มพยักหน้าตอบรับคำของผู้เป็นป้า และพอท่านเดินหายลับออกไปจากห้องนั่งเล่นแล้ว เธอก็ไม่รู้จะทำอะไรเปิดกระเป๋าสะพายตัวเองที่เพิ่งได้มาวันนี้หยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นระหว่างรอให้ตั้งโต๊ะทานอาหารเสร็จ แต่แล้วก็ต้องเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอที่กำลังจ้องอยู่ขึ้นมามองคนที่นั่งโซฟาอีกตัวเมื่อเขาพูดขึ้นว่า...
“ค้างที่นี่คืนนี้” นั่นคือคำสั่งของเขาไม่ใช่คำขอร้อง
“ทำไมต้องค้าง”
“อย่าถามมาก บอกให้ค้างที่นี่ก็ค้างไปเถอะ”
“แต่...”
“พี่ไม่ชอบคนดื้อนะเจเจ”
“ก็ไม่ได้ให้ชอบสักหน่อย และดิฉันก็ไม่ได้ชอบอาจารย์หมอด้วย”
ปัง!
มือใหญ่ทุบโต๊ะตรงหน้าทันทีด้วยความโกรธ ส่วนคนที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรผิดก็ลุกขึ้นจะเดินหนี
“จะไปไหน”
“ไปจากตรงนี้”
“นั่งลง และอย่าพูดแบบนี้อีก พี่ไม่ชอบ ได้ยินไหม” พูดจบก็ลุกเดินกำมือแน่นออกไปสงบอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองทันที ส่วนอีกมือก็ยกถอดแว่นสายตาของตัวเองออกแล้วนวดคลึงขมับไปด้วยขณะเดินจากไป
“อิหยังวะ ผีเข้าผีออก” เธอไม่เข้าใจอีกแล้ว เขาเป็นอะไรของเขา และเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อกี้ตัวเองพูดอะไรผิด และเรื่องอะไรจะทำตามคำสั่งของเขาให้เขาได้ใจล่ะ