3
ลมหายใจชองธีรัชสะดุดยามได้สบประสานสายตากับคนตรงหน้าเลือดลมของเขาสูบฉีดพลุ่งพล่านอยู่ในกายอย่างรุนแรง อาการของลูกชาย ทำเอาคนเป็นแม่หันไปมองสบตากับคนเป็นพ่อแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณยาย” เสียงของเธอหวานประดุจดั่งระฆังแก้ว เขาหลุดจากภวังค์ก็ตอนที่มารดาสะกิด
“ไหว้คุณลุงคุณป้าและพี่เขาสิลดา” คุณยายพูดขึ้น ลดายกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย
“พ่อธีคงจำลดาได้ ตอนเด็กๆ เล่นด้วยกันทุกวัน ยายลดาก็ตามพ่อแม่เขาไปอยู่ทางเหนือ เราก็ตามพ่อแม่ไปอยู่ทางใต้ไม่ได้เจอกันนานแล้วสินะ” คุณยายพูดขึ้นแล้วผายมือไปที่โต๊ะอาหาร
“ครับ” ธีรัชเอ่ยตอบ เขามองหญิงสาวที่ประคองหญิงชราผู้เป็นยายไปนั่งตรงหัวโต๊ะก่อนจะมานั่งใกล้ๆ กับเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวกายผุดผ่องทำเอาเขาเผลอสูดดมเข้าปอดลึกๆ กลิ่นหอมละมุนนั้นเหมือนกลิ่นมะลิจางๆ ที่ให้ความรู้สึกสดชื่นยามได้สูดดม
“ย้ายกลับมาอยู่ที่นี่คงได้เจอกันบ่อยๆ” คุณธาริกาพูดยิ้มๆ ธีรัชมองเสี้ยวหน้าหวานละมุนแล้วกะพริบตา เขาจำเธอแทบไม่ได้ แต่พอมองดีๆ เค้าโครงหน้าของเธอก็ยังคงเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงคือรูปลักษณ์ภายนอก
“แม่ลดาเขาเรียนจบทางด้านอาหารมา พ่อแม่เขาอยากอยู่ที่โน่นต่อทางโน้นมียายหม่อนช่วยดูแลเลยส่งยายลดาให้มาอยู่เป็นเพื่อนยาย เขาหาว่ายายแก่แล้ว” คุณยายเล่ายิ้มๆ
หม่อนที่คุณยายพูดถึงคือใบหม่อนหรืออิงจันทร์ น้องสาวคนเดียวของลดา ซึ่งตอนนั้นยังเป็นแค่เด็กน้อยเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา สองพี่น้องอายุห่างกันถึงแปดปี
“เราล่ะเห็นว่าเป็นช่างภาพรึ” คุณยายเอ่ยถาม
“ครับ”
“ดีสิ เห็นแม่ลดาบ่นว่าอยากได้คนมาช่วยถ่ายภาพขนมและอาหารที่เขาทำลงขายที่เพจอะไรของเขา เขาถ่ายออกมาไม่สวย ให้พ่อธีเขาช่วยสิลูก”
คุณยายหันไปพูดกับหลานสาว
“ค่ะ” เธอรับคำเสียงนุ่ม
“ดีแล้ว อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน ต้องช่วยเหลือกัน”
“ครับ” ธีรัชรับคำ เขาลอบมองเสี้ยวหน้าของเธอ ก่อนจะหันไปรับประทานอาหารเงียบๆ รสชาติอาหารที่เขาได้รับประทานทำให้ต้องเผลอยิ้มออกมา ทั้งอร่อยทั้งหอมละมุน จัดจานได้น่ารับประทานเสียเหลือเกิน
หลังมื้ออาหารบิดามารดายังปักหลักนั่งคุยกับหญิงชราไม่ยอมไปไหน เขาเองก็นั่งฟังพวกท่านอยู่ไม่ไกลกันนัก ในขณะที่หญิงสาวที่เขาแอบมองกำลังนั่งพับดอกบัวเพื่อนำไปถวายพระในวันพรุ่ง
“พับดอกบัวเสร็จแล้วคงจะเมื่อย นั่งนานๆ ไปยืดเส้นยืดสายเถอะ พาพี่เขาไปชมจันทร์สิลูก พระจันทร์คืนนี้คงสวยไม่แพ้คืนพรุ่งนี้” คุณยายเอ่ยปากเช่นนั้นเธอเลยต้องเหลือบสายตามองหน้าธีรัชเล็กน้อย
“ก็ดีเหมือนกันครับ” ธีรัชเห็นท่าทีของเธอเขาก็รีบพูดขึ้น ทำให้เธอเลยจำต้องเอ่ยขอตัวเดินนำเขาออกมาที่ระเบียงหน้าบ้าน
“พระจันทร์คืนนี้สวยเหมือนที่คุณยายว่าจริงๆ ด้วย แม้ไม่ใช่คืนเดือนเพ็ญ”
เขาเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น ขณะเดินมาหยุดยืนใกล้ๆ กับเธอ ลดาขยับถอยห่างเล็กน้อยเพราะรู้สึกว่าใกล้เกินไป
“ค่ะ” เธอรับคำเสียงนิ่ง ธีรัชหัวใจเต้นแรงยามพิศมองหญิงสาวตรงหน้า อายุของเธอห่างจากเขาสามปี ปีนี้เธอสามสิบแล้วเขาจำได้
“ลดาเปลี่ยนไปมากนะ” เขาหลุดประโยคที่คิดออกมา
“ค่ะ” เธอรับคำ คำว่าค่ะของเธอทำให้เขาต้องลูบท้ายทอยไปมา ท่าทีไว้ตัวและห่างเหินทำให้เขารู้สึกใจแป้วไปมาก
“ทำไมถึงพูดน้อยจังครับ ไม่อยากคุยกับพี่เหรอ” ธีรัชคิดว่าตัวเองไม่น่าถามคำถามนั้นออกไปเลย เพราะจริงๆ เธอเองก็เป็นคนพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
“ลดาคุยไม่เก่งค่ะ เกรงว่าจะทำให้พี่ธีเบื่อหน่าย” เธอหันมาหาเขาก้มศีรษะให้เล็กน้อยเหมือนกล่าวขอโทษ
“พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นเลยครับ” เขารีบพูด มองใบหน้าหวานละมุนของเธอภายใต้แสงจันทร์
“ค่ะ” ประโยคสั้นๆ ง่ายๆ ที่เหมือนกำแพงกั้นเขากับเธอเอาไว้
“ผู้ใหญ่อยากให้เรา เอ่อ... สานสัมพันธ์ต่อกัน น้องลดาคงรู้ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” เป็นประโยคที่เขาถึงกับไปไม่เป็น ค่ะของเธอคืออยากจะสานสัมพันธ์กับเขา หรือแค่รับรู้เฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายกันนะ
“แล้วลดาคิดว่าไงครับ” เขาเอ่ยถาม แทบกลั้นใจรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“ไม่คิดยังไงคะ พี่ธีอายุขนาดนี้แล้วคงมีคนคบหาดูใจหรือชอบอยู่แล้ว ส่วนลดาคิดว่าจะไม่แต่งงานค่ะ” เธอตอบเขาเสียงนิ่งจนคงฟังใจแป้ว