ตอนที่ 1
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวระหว่างเธอกับเขา เกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน เมื่อครั้งที่เธอตัดสินใจสอบเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโทในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ เธอเลือกที่จะเรียนต่อในไทยแทนที่จะสอบไปเรียนต่อเมืองนอก เพราะโดยส่วนตัวไม่ใคร่จะชอบกับการต้องเดินทางไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองเสียสักเท่าไหร่ จากประสบการณ์ที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนเมื่อครั้งมัธยม ทำให้เธอค้นพบว่ามันไม่ได้สนุกสุดหรรษาเหมือนที่จินตนาการไว้เลยสักนิด อาหารก็ไม่ถูกปาก แถมไกลจากอกพ่อแม่ คิดถึงก็ไปหาไม่ได้ ดังนั้น เมื่อจบปริญญาตรี แทนที่จะสอบเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศตามคำแนะนำของคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่จบมา เธอจึงเลือกมาสอบเข้าที่มหาวิทยาลัยใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่พ่อกับแม่ของเธอเคยเป็นอาจารย์สอน เพียงแต่คนละคณะกับที่เธอเลือกเรียนเท่านั้น
และที่นี่เอง ที่ทำให้เธอได้พบกับเขา...อาจารย์หนุ่มที่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เขาก็แทบไม่มีเค้าของความเป็นอาจารย์เลยสักนิด ด้วยเครื่องหน้าที่หล่อเหลาผสมผสานระหว่างเชื้อไทย อังกฤษและจีนได้อย่างลงตัว บวกกับร่างสูงสมาร์ทที่ไม่ว่าจะอยู่ในชุดใด เขาก็ดูดีอยู่เสมอ และเธอก็เชื่อว่า ต่อให้เขาใส่เสื้อยืดตัวละร้อยกว่าบาท ไม้แขวนเสื้อชั้นดีอย่างเขา ก็จะทำให้เสื้อดูมีราคาขึ้นมาหลายพันบาทเลยทีเดียว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กรกันต์ ดี. โจว คือชื่อของบุรุษผู้นั้น อาจารย์ประจำภาควิชาวรรณคดีของคณะอักษรศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญในด้านวรรณกรรมสมัยใหม่ และนักวิจารณ์วรรณกรรมมือฉมัง อัจฉริยะด้านวรรณคดีที่สามารถเรียนจบปริญญาโทควบคู่ไปพร้อมกับปริญญาเอกได้ภายในไม่กี่ปี แม้แต่สถาบันในต่างประเทศยังเชิญเขาไปบรรยาย พูดง่ายๆ ว่า เขาคืออาจารย์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากคนหนึ่ง แม้ว่าอายุจะเพียงแค่สามสิบกว่าปีเท่านั้น
อันที่จริง เธอกับเขาก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกันมากมายอะไรนักหรอก การรู้จักกันก็เป็นเพียงแค่สถานะอาจารย์กับลูกศิษย์ เผลอๆ จะออกไปทางแอบนินทาเขาเสียด้วยซ้ำว่า
“อาจารย์กรกันต์น่ะ สอนก็โหด ออกข้อสอบก็โหด แถมยังให้เกรดโหดอีกต่างหาก”
แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะสอนโหด ออกข้อสอบยาก และกดเกรดอย่างไร ทว่า อาจารย์กรกันต์ก็ยังถือว่าเป็นอาจารย์ที่นิสิตสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าอาจารย์คนอื่น อย่างน้อยๆ ก็ไม่ทำให้เธอกับเพื่อนๆ เกร็งจนเหงื่อตกทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับเขา เพราะอาจารย์บางท่าน เพียงแค่เห็นเงา พวกเธอก็อกสั่นขวัญแขวนกันแล้ว กระนั้น ความเป็นกันเองของเขาก็ไม่ได้ทำให้เธอพูดคุยกับเขามากไปกว่าทักทายทั่วไปตามประสาลูกศิษย์ จนกระทั่งวันหนึ่ง...
วันนั้น อยู่ในช่วงฤดูร้อนแต่ท้องฟ้ากลับอึมครึมเหมือนเมฆกำลังอุ้มน้ำไว้เตรียมจะเทลงมาบนพื้นโลก แล้วในที่สุด ฝนก็ล่วงพรูลงมาจากฟ้า ถล่มหนักจนเธอติดอยู่ใต้โถงคณะอักษรฯ นึกสบถด่าฟ้าฝนอยู่ในใจถึงการหลงฤดูทั้งที่ไม่ควรจะเป็น แต่ประเทศไทยก็เป็นอย่างนี้ไม่ใช่หรือ หน้าร้อนนอกจากแดดเปรี้ยง บางวันก็ดันฝนตก แต่พอหน้าฝนดันร้อนแดดจ้า ครั้นถึงหน้าหนาว กลับรู้สึกว่า เครื่องปรับอากาศยังให้ความหนาวเสียกว่าอากาศจากภายนอก
“คุณกมลชนก...คุณกมลชนก” เสียงหนึ่งดังแว่วๆ คล้ายว่าจะเป็นชื่อของเธอ เมื่อแรกเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก ด้วยสายตาภายใต้กรอบแว่นสีดำหนาเตอะเพราะสายตาสั้นกว่าแปดร้อยกำลังเพ่งมองอยู่แต่กับเม็ดฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะซาลง จวบจนเมื่อเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาอีกครั้งนั่นแหละ “คุณกมลชนก”
“อาจารย์กรกันต์” อาจารย์กรกันต์ ที่เดาว่าเขาคงกำลังจะกลับบ้านเหมือนกัน เพราะนี่ก็เป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว แต่ที่ทำให้กมลชนกนึกแปลกใจก็คงเป็น ร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนเดินดิ่งมาจากทางหน้าคณะที่โปรยปรายไปด้วยเม็ดฝน มือหนึ่งกางร่มสีดำคันใหญ่แล้วมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ
“จะไปรถใต้ดินใช่มั้ย ขึ้นรถผมเถอะ เดี๋ยวแวะไปส่ง” เสียงห้าวที่กล่าวกับเธอพยายามจะตะเบ็งเสียงแข่งกับห่าฝน พอให้ได้ยินชัดเจน แต่สาวเจ้ากลับปฏิเสธด้วยความเกรงใจ
“ไม่เป็นไรค่ะอาจารย์ เดี๋ยวนารอฝนซาก่อนค่อยไปก็ได้ อย่าลำบากเลยค่ะ” เวลาพูดกับผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะกลับใครก็ตาม กมลชนกจะเรียกแทนตัวเองว่า ‘นา’ ซึ่งย่อมาจาก ‘หนูนา’ อันเป็นชื่อเล่นของเธอ
“ดูท่าคงไม่หยุดตกง่ายๆ แน่ อีกอย่างผมจะต้องผ่านทางรถไฟใต้ดินอยู่แล้ว ไม่ลำบากอะไรหรอก ไปเถอะ...เร็ว” ชายหนุ่มเร่งเร้า จนในที่สุดกมลชนกก็ยอมทำตามคำของเขา หญิงสาวก้าวเข้ามาในร่มคันที่เขาถือและก้าวเท้าออกจากตัวอาคารสูงไปยังรถยนต์คันหรูของเขาที่จอดหลบมุมอยู่ใต้มุมหนึ่งของถนน และแม้ว่าเธอพยายามจะแย่งร่มคันนั้นมาถือให้ แต่เขาก็ปฏิเสธ ทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่งอีกต่างหาก
รถเบนซ์คันหรูทรงสวยที่เธอเคยได้ยินบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ของคณะ โดยเฉพาะในภาควิชาของเธอต่างใฝ่ฝันอยากจะลองนั่งสักครั้ง วันนี้กลายเป็นเธอที่ได้เข้าไปนั่งสัมผัสเบาะนุ่ม...นี่ถ้าไปเล่าให้ยัยพุดน้ำบุษย์เพื่อนร่วมชั้นฟัง ยัยนั่นคงได้กรี๊ดปรอทแตกแน่
“ทำไมวันนี้กลับเย็นล่ะ มีเรียนคาบเช้าวิชาเดียวไม่ใช่หรือ” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อเข้ามานั่งในรถเตรียมพร้อมจะเหยียบคันเร่งออกสู่ถนนนอกมหาวิทยาลัย พลางเลิกคิ้วสูงน้อยๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอเป็นเชิงถามย้ำให้ตอบ ขณะที่คนถูกถามกะพริบตาปริบๆ ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามอยู่ในตาคู่คมหลังแว่นหนา
รู้ได้ยังไงกันว่าเธอมีเรียนแค่ช่วงเช้าวิชาเดียว...แต่คงไม่แปลกหรอกกระมัง เพราะปกตินิสิต ป.โท จะมีเรียนแค่เทอมละสองหรือสามวิชาเท่านั้น แถมเมื่อเช้าเธอยังสวัสดีเขาก่อนเข้าไปเรียนในห้องประชุมเล็กในวิชาของอาจารย์อาวุโสอีกท่านอยู่เลย
“พอดีนาหาข้อมูลเขียนเปเปอร์อยู่ที่ห้องสมุดน่ะค่ะ เงยหน้าขึ้นอีกทีก็ฟ้าครึ้มแล้ว พอจะออกจากคณะฝนก็เทจนกลับไม่ได้” หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้มสดใสตามนิสัยของตัวเอง เพราะถึงแม้ว่าบุคลิกภายนอก การแต่งตัวของเธอจะค่อนข้าง ‘ล้าสมัย’ ในสายตาของคนอื่น เสื้อผ้าที่เป็นชุดเดรสชีฟองจับจีบสุ่มยาวถึงตาตุ่มคือชุดประจำตัวของเธอ บวกกับผมสั้นที่ไม่เคยไว้ยาวและชอบใช้กิ๊บดำติดไว้กับแว่นตาหนาๆ ทำให้เธอมักจะได้รับฉายาจากเพื่อนๆ มาตั้งแต่มัธยมว่า คุณป้าบ้าง ยัยเฉิ่มบ้าง หนักเข้าก็เป็น ‘คุณยาย’ ไปเลย หากแต่เธอก็ไม่เคยน้อยอกน้อยใจ เพราะบิดาของเธอเคยบอกไว้ว่า
“ลูกพ่ออาจไม่ใช่ผู้หญิงสวย แต่ลูกพ่อเป็นผู้หญิงที่ดีมาก ความดีต่างหากที่จะทำให้เรามีคุณค่าไม่ใช่ความสวยที่มีวันโรยรา”