บทที่ 3 ก้าวแรกเล็กๆ
หร่วนอิ๋งซุยมองชายหนุ่มตรงหน้า อ้าปากด้วยความตะลึง ความตกใจเกือบทำให้ไข้แดดที่เพิ่งหายกลับมาเล่นงานอีก
ก่อนเดินทางมายังพรรคงูใหญ่สาขาย่อยตามเวลานัดหมาย นางพยายามดื่มยา พักผ่อนจนอาการป่วยหายดี เพราะคิดว่าไม่อยากเป็นภาระของซุ่นเหยากวาน ทว่ายิ่งมองคนตรงหน้า อาการไข้ที่เตลิดออกจากตัวแล้วคล้ายจะย้อนกลับมาอีก
“ท่าน...” นางหลุดปากอย่างไม่รู้ตัว
จะว่าไป สามสี่วันมานี้ นางยุ่งวุ่นวายกับอะไรหลายๆ อย่างจนเกือบลืมผู้ชายคนนั้นแล้ว ทว่าพอเห็นประมุขฉางซุนจึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งที่มีพระคุณกับนางและซุ่นเหยากวาน
หลังจากชายหนุ่มตรงหน้าเลิกคิ้ว ต่อมา เขาก็มองนางคล้ายเข้าใจ สายตานั้นมีชั่วแวบหนึ่งที่แสดงออกถึงความเดียวดายตัดพ้อ ด้วยเหตุนี้ หร่วนอิ๋งซุยจึงพบว่าตนเผลอกระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องออกมา
เด็กสาวหุบปาก รีบแก้ความเข้าใจผิดด้วยการปั้นสีหน้าให้เป็นปกติ
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจผิดไปเอง”
ถึงแม้นางจะวางตัวให้มีมารยาทต่อคู่สนทนา หากนั่นกลับไม่สามารถกลบความหยิ่งทะนงของคุณหนูใหญ่จากเมืองหลวงลงแม้แต่น้อย
ฉางซุนไท่หยางยิ้มละมุนให้หญิงสาว ก่อนจะเชื้อเชิญให้นางและซุ่นเหยากวานนั่งลงตรงตำแหน่งผู้มาเยือน แต่ถึงกระนั้น หร่วนอิ๋งซุยกลับไม่วายสงสัย จ้องมองเขาทุกครั้งที่มีโอกาส
มาดแม้นว่าประมุขพรรคงูใหญ่คนนี้ไม่ได้มีผมปอยหน้าเป็นสีขาว ซ้ำยังสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา ไม่ใช่มอซอ เครื่องหน้าก็ไม่ได้แฝงความทุกข์ตรม หรือมีกระไอดิบเถื่อนแผ่กำจายรอบตัว แต่เค้าโครงหน้าและรูปร่างของเขากลับคล้ายกับบุรุษที่ช่วยเหลือนางกับซุ่นเหยากวานจนน่าสงสัย
ทำไมพวกเขาถึงคล้ายกันมากขนาดนี้...
“เจ้าคือคุณหนูหร่วน?” ฉางซุนไท่หยางเอ่ยถาม
หร่วนอิ๋งซุยได้สติ เชิดหน้าอย่างเป็นธรรมชาติและตอบกลับ
“เจ้าค่ะ ข้าหร่วนอิ๋งซุย เถ้าแก่เนี้ยร้านผ้ามั่งมี”
“ยังเด็กอยู่เลยนะ” เขาพูดพร้อมพิจารณานาง ไม่ได้จาบจ้วง เพียงแค่สงสัยเท่านั้น
พูดกันตามตรง ส่วนใหญ่เด็กสาวที่อยู่ในวัยสิบเจ็ดสิบแปดเช่นเดียวกับหร่วนอิ๋งซุยล้วนเลือกแต่งงานออกเรือน น้อยนักจะเริ่มต้นด้วยการเป็นเถ้าแก่เนี้ย ไม่ต้องพูดถึงว่านางมีความคิดในเชิงอคติทำนองว่า ไม่อยากฝากชีวิตไว้กับบุรุษ เนื่องจากเห็นมารดาเป็นตัวอย่าง ซ้ำตอนนี้ยังถูกขับไล่ออกจากบ้าน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้เร็วที่สุด ดังนั้น นางจึงไม่ถือสาสายตาประเมินของฉางซุนไท่หยาง
“ประมุขฉางซุนอย่าเพิ่งดูแคลนข้า ถึงข้าอายุยังน้อยและเป็นสตรี แต่การทำการค้าครั้งนี้ ข้าจริงจัง” หร่วนอิ๋งซุยกล่าว ในความอวดดีของนางมีความจริงจังอย่างที่พูดจริงๆ
ฉางซุนไท่หยางพยักหน้าเข้าใจ และพูดเข้าประเด็นเรื่องระบบการค้าทันที
“หากจะทำการค้าในเมืองหนิงป่อไห่ต้องรู้จักเรื่องการเดินเรือ การแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวต่างแคว้นที่เดินเรือมาที่นี่ และต้องเข้าร่วมประชุมหารือกัน ยังมีอีกหลายเรื่อง นั่นคือ...”
แล้วฉางซุนไท่หยางก็สาธยาย พร้อมกับชี้แนะหลายๆ เรื่องให้
หร่วนอิ๋งซุยกับซุ่นเหยากวานฟัง
มีบางเรื่องที่เกินกว่าสมองของหร่วนอิ๋งซุยจะรับไหว แต่กระนั้น นางกลับไม่แสดงความไม่พอใจ หรือทำท่าเกียจคร้านใดๆ ตรงกันข้าม นางกระตือรือร้นหาความรู้ใส่สมองตนเองให้ได้มากที่สุด ถึงขั้นเอ่ยถามว่าพอจะมีหนังสือให้ศึกษาเพิ่มเติมหรือไม่
แน่นอน ประมุขฉางซุนมี จึงสั่งให้บ่าวไปหยิบหนังสือมาให้อยู่หลายเล่ม
ถึงตอนนี้ ฉางซุนไท่หยางหยุดพูดแล้ว ซึ่งหร่วนอิ๋งซุยเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเลยยามอู่มาแล้ว เพราะท้องไส้ของนางเริ่มบิดตัวเกลียวด้วยความหิว
เหนืออื่นใด การวางตัวย่อมสำคัญกับฐานะในปัจจุบัน นางไม่ใช่คุณหนูเอาใจยากอีกแล้ว แต่เป็นเถ้าแก่เนี้ย
ฉางซุนไท่หยางมองเด็กสาวยิ้มๆ ก่อนจะกล่าวชม
“แม่นางหร่วนอายุยังน้อย แต่กลับเป็นคนใฝ่รู้ ข้านับถือเจ้าจริงๆ ส่วนที่เหลือ เจ้าศึกษาในตำราได้ แล้วก็เอาไว้ค่อยคุยกันต่อในการประชุมครั้งหน้า ถึงตอนนั้น ข้าจะส่งคนไปแจ้งข่าวล่วงหน้าสองวันแล้วกันนะ”
หร่วนอิ๋งซุยเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้ภายในใจจะยินดีกับสิ่งที่ได้ยินอย่างเหลือแสนก็ตาม
“ความหมายของประมุขฉางซุนคือ ร้านผ้ามั่งมีได้เข้าร่วมกับกลุ่มการค้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“ใช่แล้วละ” ฉางซุนไท่หยางผงกศีรษะ
“ขอบคุณประมุขฉางซุนเจ้าค่ะ!” แล้วนางก็หันไปยิ้มให้กับซุ่นเหยากวานที่นั่งข้างๆ ซึ่งเขาพยักหน้ากลับมาดุจให้กำลังใจ
‘เจ้าทำได้แล้วนะ’ นั่นคือคำพูดผ่านทางสายตาของซุ่นเหยากวาน
แต่...ถึงแม้หร่วนอิ๋งซุยจะดีอกดีใจขนาดไหน หากก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ก้าวต่อไป นางจะหยุดพยายามไม่ได้
“เรื่องเล็กน้อยเอง หากมีวาณิชคนใดต้องการเข้าร่วมกลุ่มการค้า ข้าที่เป็นประมุขไม่กล้าปฏิเสธความพยายามของพวกเขาหรอก รวมถึงแม่นางหร่วนก็ด้วย” ฉางซุนไท่หยางบอกพร้อมรอยยิ้ม
พออีกฝ่ายพูดเหมือนล่วงรู้ความคิด หร่วนอิ๋งซุยก็เชิดหน้า และปั้นหน้าจริงจัง
“ความสามารถในการทำการค้าของร้านผ้ามั่งมีก็ส่วนหนึ่ง การได้เข้าร่วมกับพรรคงูใหญ่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ถึงอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณประมุขฉางซุนที่เชื่อใจข้า โดยเฉพาะข้าที่เพิ่งเริ่มต้นทำการค้าครั้งแรก”
ฉางซุนไท่หยางยิ้มแล้วยิ้มอีก แววตาของเขาเกือบกลายเป็นเลื่อมใส
“แม่นางหร่วนพยายามได้ดีแล้ว”
นางกระแอม เปลี่ยนเรื่องทันที “ขอบคุณประมุขฉางซุนสำหรับตำรา หากข้าศึกษาเรียบร้อยแล้วจะรีบนำมาคืนทันที”
“ไม่ต้องหรอก”
“อ้อ เช่นนั้น ข้าจะจ่ายเงินค่าตำราทั้งหมดนี้...”
“แม่นางหร่วนเก็บไว้เถอะ ไม่ต้องจ่ายเงิน”
คำปฏิเสธของฉางซุนไท่หยางทำเอาเด็กสาวระงับสีหน้าลังเลไม่อยู่ ตอนอยู่เมืองหลวง นางไม่เคยรับของใครโดยไม่ได้จ่ายอะไรคืนกลับไป พูดอีกอย่างก็คือบิดาเลี้ยงดูภรรยาและบุตรในเรือนด้วยเงินทั้งสิ้น นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนหยิบยื่นของให้โดยไม่หวังผล หร่วนอิ๋งซุยจึงทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง
“แต่...แต่ว่าไม่ดีกระมัง ข้า...”
“ตำราพวกนั้นก็แค่พื้นฐานการทำการค้าและออกทะเล ข้าอ่านจนจำขึ้นใจแล้ว หากเก็บไว้ ฝุ่นก็เกาะเปล่าๆ” ฉางซุนไท่หยางอธิบายสั้นๆ
หร่วนอิ๋งซุยครุ่นคิดอยู่นาน มองซุ่นเหยากวานเพื่อขอความเห็นก็แล้ว สุดท้ายจึงยอมรับตำราพวกนี้แต่โดยดี
โดยที่หร่วนอิ๋งซุยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ สายตาของฉางซุนไท่หยางมองนางด้วยความสนใจเสียแล้ว