บทที่ 5 ใครตามนายมา ฉันอยู่ที่นี่ต่างหากล่ะ
ที่ลำโพงปลายสาย ข่งจื้อเจาสบถด่าอย่างฉุนเฉียว “นังเนรคุณ แกยังกล้าเรียกร้องเงื่อนไข?”
“ทำไม? แกไม่เคยคิด? งั้นแกคิดเสร็จแล้วค่อยมาคุยกับฉันใหม่ละกัน”
ข่งหว่านเกอกำลังจะวางสาย ก็ได้ยินข่งจื้อเจารีบร้อนตะโกนมาหนึ่งประโยค “เดี๋ยวก่อน โรงพยาบาลข่งซื่อ!”
“หมายความว่าไง?” ข่งหว่านเกอชะงักมือ แล้วเอ่ยด้วยความสงสัย
ข่งจื้อเจากระแอมไอเบาๆ แล้วพูดขึ้น “โรงพยาบาลนี้ แม่แกทิ้งไว้ให้เมื่อปีนั้น แกไม่อยากเอากลับไปหรือไง?”
ในใจข่งหว่านเกอรู้ดี ข่งจื้อเจาพูดเรื่องนี้ไวขนาดนี้ คงวางแผนไว้นานแล้ว ในนี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล
แต่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลที่แม่เธอทิ้งไว้ให้จริงๆ พอคิดดูแล้ว เธอก็ทำใจให้มันถูกตระกูลข่งเหยียบย่ำไม่ลงจริงๆ
เธอชั่งน้ำหนักใคร่ครวญแล้วพูดขึ้น “ได้ แต่แกต้องให้โรงพยาบาลฉันก่อน!”
ข่งจื้อเจาขมวดคิ้ว “ให้โรงพยาบาลแกไปแล้ว ถ้าเกิดแกไม่กลับมาหย่าล่ะจะทำยังไง?”
ข่งหว่านเกอกระตุกริมฝีปาก “แกไม่ให้ฉันก็ได้นะ ฉันไม่อะไรอยู่แล้ว ก็คอยดูบริษัทว่าจะทนได้หรือเปล่า ยังไงซะ……ฉันว่าแกดูร้อนใจมากทีเดียว ใช่หรือเปล่า?”
“แก!”
ข่งจื้อเจาจนปัญญาอย่างสิ้นเชิง สักพักก็เอ่ยประนีประนอม “ให้โรงพยาบาลแกก่อนก็ได้ แต่กำหนดระยะเวลาแกกลับมาหย่ากับคุณชายถิงภายในหนึ่งเดือน ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่ให้แกกลับตระกูลข่งตลอดชีวิตล่ะ!”
ในใจข่งหว่านเกอรู้สึกน่าขัน
พ่อคนนี้ คงไม่นึกว่าทำแบบนี้แล้วจะคุมชะตาชีวิตเธอได้หรอกนะ?
นึกว่าเธอสนใจตระกูลข่งมากงั้นสิ
“งั้นแกก็รีบร่างข้อตกลงโอนย้าย แล้วยื่นเปลี่ยนแปลงข้อมูลบริษัท” พูดจบ ข่งหว่านเกอก็วางสายไปเลย
ณ เรือนเก่าตระกูลข่ง
ข่งจื้อเจาถือโทรศัพท์อยู่ ดูซึมกะทือขึ้นมาก ไร้สิ้นพลังอำนาจเมื่อสักครู่
เขาหันไปถามข่งเมิ่งเจียวลูกสาวคนรองที่อยู่ข้างๆ อย่างไม่วางใจ “เจียวเจียว เธอแน่ใจนะว่าแค่พี่สาวเธอหย่า แล้วคุณชายถิงจะเพิ่มทุนให้ข่งซื่อ”
ลูกสาวคนนี้ของเขากับโจวลี่หรูภรรยาคนที่สอง มีไอเดียมาแต่ไหนแต่ไร
แต่การคุยโวโอ้อวดครั้งนี้ ในใจเขายังคงไม่ค่อยแน่ใจ
เห็นเพียงแววตาข่งเมิ่งเจียวล่องลอย ตอบกลับอย่างขาดความมั่นใจเล็กน้อย “พ่อ พ่อไม่ต้องห่วง พี่ถิงบอกกับฉันเอง โกหกได้เหรอ?”
ถ้าเธอไม่พูดแบบนี้ ที่บ้านจะบังคับให้ข่งหว่านเกอนังบ้านนอกนี่ไปหย่าได้อย่างไร?
ขอแค่ข่งหว่านเกอหย่า เธอถึงจะมีโอกาสเป็นนายหญิงน้อยตระกูลมู่หรงแทนที่หล่อน!
“งั้นก็ดี เจียวเจียวไม่มีทางทำให้พ่อผิดหวัง” ข่งจื้อเจาตบบ่าลูกสาว แล้วกลับห้องหนังสือไปอย่างสบายใจ
……
หลังลงจากรถ ข่งหว่านเกอก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของข่งจื้อเจาอย่างจริงจัง
เดิมทีกลับมาคราวนี้เธอก็ต้องการหย่าเช่นกัน
แต่ในใจเธอรู้ดี เรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้
เผยไต๋กับมู่หรงถิงเร็วเกินไป ไม่แน่ลูกทั้งสองอาจจะถูกเปิดเผยก่อนที่ลูกชายคนเล็กจะหาเจอ
ด้วยเหตุนี้ เธอทำได้แค่รอวางแผนทุกอย่างเสร็จ หาโอกาสเหมาะเจาะที่สุดแล้วค่อยว่ากัน
เธอเคยชินกับการสวมหน้ากากอนามัยและหมวก หิ้วของขณะเดินเข้าไปในห้องโถงตึก A เมื่อเลี้ยวโค้งก็เห็นประตูลิฟต์กำลังจะปิดพอดี เธอรีบตะโกน “รอเดี๋ยวค่ะ”
ประตูลิฟต์เปิดอีกครั้ง เธอกล่าวขอบคุณก่อนจะก้มหน้าเดินเข้าลิฟต์ ทว่ารู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกที่โชยมาจากทางข้างกายโดยฉับพลัน
ลางสังหรณ์ไม่ดีผุดขึ้นมาในใจ
เธอสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วมองไปข้างกาย——
ไม่คาดคิดว่าจะเป็นมู่หรงถิงกับหลินเฉิงผู้ช่วยของเขา
ข่งหว่านเกออึ้งไป นี่มันโลกกลมอะไรกัน?
หรือเขาก็มีบ้านอยู่ที่นี่?!
ขณะนี้ สายตาราวกับเหยี่ยวของชายหนุ่มหยุดที่ร่างเธอ
สัดส่วนเขาสูงใหญ่ดั่งเคย ถึงแม้ว่าส่วนสูงเธอหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดไม่ถือว่าเตี้ย ก็ทำได้เพียงยอมรับการพินิจของชายหนุ่มที่มองจากมุมบนเท่านั้น
ข่งหว่านเกอสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วแอบพูด “ฉิบหาย เธอกับเขาเคยเจอกันที่สนามบิน เขาจ้องเธอแบบนี้ หรือจำได้ว่าเธอคือฉานอี?”
ขณะที่เธอร้อนตัว ก็ได้ยินเพียงมู่หรงถิงกดเสียงเข้มพลางแค่นหัวเราะ “หึ ป้า เธอตามมาจากสนามบินถึงที่นี่ได้ ก็นับว่ามีความสามารถอยู่ หลินเฉิง ไล่เธอไปซะ”
เห็นได้ชัดว่าผู้ช่วยหลินเฉิงไม่ได้จัดการปัญหาประเภทนี้เป็นครั้งแรก
เขาทำมือประกอบว่าขอเชิญ รักษาการวางตัวให้มากที่สุด “คุณพี่ เขตชุมชนระดับนี้ไม่ใช่สถานที่ที่คุณควรมา ขอเชิญคุณออกไปด้วยครับ!”
ข่งหว่านเกอ:??
เธอกดหมวกลง แล้วหยิบบัตรลิฟต์ออกมาจากในกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว ยื่นมือผลักสองหนุ่มผู้ขวางหูขวางตา แล้วกล่าวอย่างสงบ “เพี้ยนหรือไง ฉันพักที่นี่!”
พูดจบ เธอก็รูดบัตร “ติ๊ด” แล้วกดชั้น 26
เธอมีท่วงท่าหยิ่งทะนง!
เหลือเพียงใบหน้างุนงงของมู่หรงถิงกับหลินเฉิง
ไม่นานก็เกิดเสียง “ติ๊ง” ประตูลิฟต์เปิดออก
ข่งหว่านเกอออกจากลิฟต์ไปโดยไม่หันกลับมา
เธอลูบหน้าอกทันทีทันใด
ยังดี ที่ไม่ถูกจำได้!
เธอเดินไปที่หน้าประตูบ้านอย่างว่องไว ไม่นึกเลยว่าเดินไม่กี่ก้าว ก็เห็นลูกชายกำลังเดินวนไปวนมาตรงหน้าประตูบ้าน
เธอสะดุ้งโหยง รีบมองไปทางด้านหลังแวบหนึ่ง หลังจากมั่นใจว่าลิฟต์เคลื่อนไปทางด้านบน ก็ค่อยโล่งอก
เธอเดินไปจับคอลูกชาย “ลูกรัก นี่ลูกไปเอาเสื้อผ้ามาจากไหน ทำไมไม่เคยเห็นลูกใส่มาก่อน?”
“ลูกรัก?”
มู่หรงเฉินขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง เขาลงมาจับไอ้หมารีพอร์ต ไม่ใช่มาเป็นลูกรักให้ใครนะ
จะล้มเหลวเพราะโดนแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้นะ
ชั่วขณะที่เขาจะหันไปวีนใส่ ก็ได้ยินเสียงด้านหลังพูดปนหัวเราะ “ลูกอยู่นี่เพื่อต้อนรับหม่ามี้กลับบ้านเหรอ?”
มู่หรงตะลึงงัน เขาหันตัวกลับไปช้าๆ
“หม่ามี้” สองคำนี้คล้ายมนตร์สะกดให้เขานิ่งอยู่กับที่
ข่งหว่านเกอเห็นลูกชายตนสภาพแข็งทื่อ ก็ลูบศีรษะผมดกของเขาด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “อึ้งอยู่ทำไม รีบเข้าบ้านสิ”
ขณะพูด เธอก็พามู่หรงเฉินผู้มึนงงเข้าประตูบ้านไป
เข้าไปในห้องแล้ว ข่งหว่านเกอก็ถอดหน้ากากอนามัยและหมวกออก “กลางวันยังไม่ได้กินข้าว หิวแล้วใช่ไหม? รอเดี๋ยวนะ หม่ามี้จะไปทำอาหารให้พวกหนูกินเดี๋ยวนี้แหละ”
จนกระทั่งเวลานี้ มู่หรงเฉินถึงได้เห็นหน้าตาข่งหว่านเกอชัดๆ
เขาพลันเบิกตากว้าง——