บท
ตั้งค่า

09 ไม่รู้

.

.

..องศา

ผมกะพริบตาตื่น ความเมื่อยล้ากระจายอยู่ตามลำตัว ..ก็แค่นอนนานเกินไป ไม่ก็หลับสนิทจนลืมขยับพลิกตัว ผมฝืนขยับนิ้วมือและยันตัวลุกขึ้น ที่ที่ผมอยู่ตอนนี้คือที่ไหน ไม่เห็นคุ้นสักนิด จะว่าเป็นห้องของไอ้เพื่อนรักสองตัว..ไอ้ปืนไอ้โด่ง..ก็เป็นไปไม่ได้ แค่ห้องเช่าราคาค่าเช่าไม่กี่ร้อยจะมาหน้าตาอย่างกับโรงแรมหรูแบบนี้ได้ไง แต่พอพยายามควานหาความทรงจำก่อนภาพตัดเมื่อวาน ก็พอจะเห็นภาพลางๆ เมื่อคืนผมนอนที่นี่ มีพี่อคินอยู่ใกล้ๆ แถมยังได้กินไข่ตุ๋นอร่อยๆ

!!! เสียงลูกบิดประตูเรียกความสนใจจากผมให้หันมอง คนตัวสูงเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างประตูเพียงเล็กน้อย พี่มันใส่ชุดคลุมสีขาวเหมือนกันกับผม ที่คอมีผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องไว้ สีหน้าตอนนี้ (แบบเบลอๆ) ของพี่อคิน..ดูไม่ค่อยน่าคุยด้วยเท่าไหร่

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่”

“ตื่นก็ดีแล้ว เดี๋ยวฉันให้คนไปส่งที่บ้าน”

“..ขอบคุณครับ” ..เย็นชาสุดๆ ไม่เห็นเหมือนเมื่อคืน คนละคนรึไงวะ ..แล้วพี่มันก็หันหลังเดินกลับออกไป ส่วนผมน่ะเหรอ ก็รีบลุกจากเตียง รู้สึกดีขึ้นมาก ผมพับผ้าห่มเก็บคืนให้เรียบร้อย เดินเข้าห้องน้ำทำธุระ เสื้อผ้าของผมถูกแขวนสวยงามอยู่บนตะขอ พอพิสูจน์กลิ่นก็รู้ได้เลยว่ามันถูกซักรีดเรียบร้อยเพราะกลิ่นหอมละมุนจากน้ำยาปรับผ้านุ่มเตะเข้าที่จมูกทั้งที่ผมยังไม่เริ่มพิธีการดมด้วยซ้ำ พอมองไปรอบๆ ทั่วพื้นที่ของห้องน้ำ แปรงสีฟันใหม่ถูกวางไว้เชิญชวนให้หยิบใช้ ผมยิ้มพอใจกับสิ่งที่เห็น ..ดีจัง ในเมื่อพี่มันไม่ได้จำกัดเวลา ผมก็ขอถือโอกาสใช้ห้องน้ำหรูๆ ของลูกคนรวยหน่อยล่ะกัน

..อคิน

“รถพร้อมแล้วครับ” หว่องรายงาน ขณะที่ผมนั่งสวมรองเท้าหนังที่ถูกขัดจนมัน

“อืม เดี๋ยวพวกนายพาเด็กนั่นไปส่งบ้านด้วย”

“ครับ”

หมดธุระกับเด็กนี่สักที เมื่อคืนผมเองก็หลุดความเป็นตัวเองไปมาก แค่การไม่เข้าไปที่สำนักงานเหมือนทุกคืน ก็ถือว่าตกมาตรฐานมากแล้ว

“คุณพ่อติดต่อมาบ้างรึเปล่าครับลุงชอบ”

“ไม่ครับคุณคิน”

“...” น่าแปลก เพราะพ่อตามติดชีวิตผมแทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องงาน ถึงจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่พ่อก็จะรู้ทุกความเคลื่อนไหวของผมเสมอ และถามถึงได้ทุกครั้งที่เราได้คุยกัน ราวกับว่าพ่อไม่ได้อยู่ห่างจากผมไกล ..บุคคลอันตรายหมายเลขหนึ่งที่ผมทั้งเคารพ รัก และ..

“เมื่อคืนมีอะไรน่าเป็นห่วงไหมครับ”

“ไม่มีครับคุณคิน ที่สำนักงานปกติดี มีลูกค้ารายใหม่เข้ามา แต่ก็ไม่ได้มีความยุ่งยากอะไรครับ”

“ขอบคุณครับ คืนนี้ผมจะเข้าไป”

“คุณคิน.. พักบ้างก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปทุกคืน”

“ไม่ได้หรอกครับ” ..ผมเป็นคนเริ่มธุรกิจนี้เองกับมือ จะทำเหมือนเด็กเล่นขายของ..เบื่อก็เลิก นั่นไม่ใช่ผม ยิ่งพ่อต่อต้านและปรามาสผมไว้ว่าธุรกิจนี้จะไปไม่รอด ผมยิ่งต้องทำให้สำเร็จ ยังดีที่ผมมีคุณตาที่ถือข้างผม คุณตาบอกว่า ขอแค่อยากลงมือทำ..ตาก็พร้อมสนับสนุน ขอแค่อย่าทิ้งมันกลางทาง เพราะผมจะต้องยอมรับผลของมันอย่างปฏิเสธไม่ได้ นั่นคือสภาพลูกหนี้ ผมจะมีคุณตาเป็นเจ้าของจิตวิญญาณโดยสมบูรณ์ จากที่เคยมีอิสระในชีวิต ก็จะถูกจับให้อยู่ในกรอบของคุณตาทันที จริงๆ ตอนนี้ผมก็อยู่ในขอบของพ่ออยู่แล้ว แต่ยังมีคุณตาเป็นอีกฝ่ายที่ถ่วงอำนาจของพ่อไว้ เหมือนเรื่องของจิน คู่หมั้นที่ผมไม่เต็มใจ และคุณตาก็ไม่เห็นด้วย เพราะผมเป็นหลานคนเดียวของคุณตา ลูกของแม่..ลูกสาวสุดรักของคุณตาที่อำลาโลกนี้ไปนานแล้ว เพราะฉะนั้นการฝืนใจผมจึงไม่ใช่เรื่องที่คุณตาจะสนับสนุน ต่อให้จินเป็นคนที่เหมาะสมกับผมที่สุดก็ตาม หรือจริงๆ แล้วก็คือคุณตาไม่เห็นด้วยกับทุกความคิดที่เป็นของพ่อ ..ก็แค่นั้น

“กวนลุงชอบเตรียมเอกสารของลูกค้าที่เข้ามาใหม่ให้ผมเย็นนี้ด้วยนะครับ”

“ได้ครับคุณคิน”

.

.

..ร้านโชห่วย

..องศา

“ขอบคุณครับพี่ๆ ที่มาส่ง”

“งั้นพวกเราขอตัวกลับก่อน”

ผมโค้งตัวเล็กน้อยให้กับคนของพี่อคิน เหมือนว่าจะชื่อหว่องกับเวย

ภาพที่ผมเห็นคือบ้านของตัวเองที่ประตูเหล็กถูกเปิดอ้ากว้าง เหมือนจะเป็นปกติ..แต่มันกลับมีอะไรที่ต่างจากทุกวันที่ป๊าม๊าเปิดร้าน ผมเดินใกล้เข้าไปและมองเข้าไปในเงามืดของด้านในบ้านที่ยังไม่เปิดไฟ ..ข้าวของถูกรื้อทิ้งกระจัดกระจาย ชั้นวางของถูกทิ้งล้มระเนระนาด ของหลายอย่างที่พอจะมีราคาหายไปจากการกวาดตามองแบบลวกๆ เกิดอะไรขึ้น!! ใจผมเริ่มหวาดหวั่น ลมหายใจเริ่มหอบถี่ ในสมองเริ่มคิดอะไรมากมาย ..และสิ่งแรกที่ผมคิดได้

“ป๊าม๊า!!”

ผมรีบวิ่งขึ้นไปบนชั้นสองเมื่อชั้นล่างว่างเปล่าไม่มีเงาของพ่อแม่ ..ป๊าม๊าไม่ได้อยู่ในห้องของตัวเอง ตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก หมอนผ้าห่มถูกรื้อทิ้งขว้าง ผมรีบเดินต่อไปที่ห้องของตัวเอง ผมอยากจะเห็นพ่อแม่ยืนอยู่ในนั้น และบอกผมว่ามันเกิดอะไรขึ้น โดยที่ทั้งคู่ยังปลอดภัยดี ..ผมภาวนาแบบนั้นทั้งที่อีกใจก็รู้คำตอบที่รออยู่ ..สภาพห้องของผมก็ไม่ต่างกัน และพ่อแม่ก็ไม่ได้ยืนรอผมอยู่ จู่ๆ มีเสียงพูดคุยดังจากชั้นล่าง เท้าของผมลอยลงไปตามขั้นบันได..ไม่กลัวสักนิดว่าจะหล่นหรือล้มฟาด ..อาจเป็นป๊าม๊าที่เพิ่งกลับมา

“ตายแล้ว! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”

“เมื่อเช้าฉันได้ยินเสียงโครมครามดังไปถึงท้ายซอยนู้น จะออกมาดูก็ไม่กล้า กลัวว่าจะเป็นพวกติดยา ไม่ก็พวกขี้เมาอาละวาดโวยวาย”

“ฉันว่าน่าจะเป็นพวกทวงหนี้น้า”

“บ้าเหรอ! อย่างแปะอย่างเจ๊เขาเนี่ยนะจะมีหนี้ เป็นแกกับฉันก็ว่าไปอย่าง”

“เอ๊า มันก็ไม่แน่นา ดูซิ รื้อซะเละ”

“โทษนะครับป้าๆ..”

“เอ๊า! เจ้าเก๋าอยู่บ้านด้วยเหรอ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

“ผมก็ไม่รู้ ผมเพิ่งกลับมาถึง มีใครเห็นพ่อกับแม่ผมไหม”

“ไม่เห็นเลย ก็ว่าจะถามเอ็งนั่นแหละว่าเจ๊กับแปะอยู่ไหน เป็นอะไรรึเปล่า”

“!!!”

ผมล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกง ต้องติดต่อใครสักคนได้แน่ ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะขณะที่รอลุ้นว่าม๊าจะรับสายไหม เพราะเครื่องของป๊าทำผมผิดหวังไปแล้ว ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะแบทมันเสื่อมนานแล้วและเราพ่อลูกก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องรีบเปลี่ยนมันเหมือนกัน

..!!

สายถูกตัด!!

“เชี่ยเอ๊ย!!” ผมหลุดสบถออกมาด้วยความหงุดหงิดทั้งที่ผมกำลังโทรหาแม่ของตัวเอง ผมกดโทรออกอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีแม้แต่เสียงสัญญาณตอบรับ โทรศัพท์ในมือกลายเป็นแค่ของประดับที่ไร้ประโยชน์ ผมแทบจะเขวี้ยงมันลงพื้น

“ไงเจ้าเก๋า พ่อแม่ไม่รับสายรึไง”

“...” ผมพยักหน้า ..โธ่เว๊ย!! เกลียดที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง ไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องทำอะไร ไม่รู้แม้กระทั่งจะตามหาพ่อแม่ได้ที่ไหน!

“แจ้งตำรวจไหม มีอะไรหายรึเปล่า ว่าไงเอ็ง”

ผมมองหน้าคนพูด ในสมองเรียบเรียงอะไรไม่ถูก รู้แค่ไม่อยากยุ่งกับตำรวจ ..มันวุ่นวาย จริงๆ คือผมว่ามันอาจจะแย่ลงไปมากกว่านี้ก็ได้ หรือถ้าแจ้งต้องแจ้งความว่าอะไร พ่อแม่หาย.. ขโมยขึ้นบ้าน.. พ่อแม่โดนลักพาตัว.. ใครเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด.. เคยมีปัญหากับใครไหม.. และคำตอบจากผมก็คือ..ไม่รู้ ผมไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร ต้องการอะไร พวกเราก็แค่เปิดร้านขายของพอกินพออยู่ บ้านก็เช่าข้าวก็ซื้อ ศัตรูที่ไหนก็ไม่เคยมี

“เก๋า!!” เสียงคุ้นเคยดังกระชากสติผมจากที่ไกล พี่โตเดินฝ่ากลุ่มคนแถวบ้านที่พากันมายืนวิพากษ์วิจารณ์กันร่วมสิบชีวิต

“พี่โต..” ผมมองหน้าพี่โตที่เดินใกล้เข้ามา..ใจผมชื้น

.

..ปิ่นโต

“ไอ้โตมาแล้ว”

“ดีๆ มาช่วยเจ้าเก๋ามันที บ้านมันเละไปหมดแล้ว”

“ไหนจะแปะกับเจ๊ที่หายตัวไปอีก” พวกชาวบ้านพากันพูดทันทีที่ผมเดินมาถึง

“ครับ เดี๋ยวผมช่วยเก๋าเอง พวกป้าๆ ลุงๆ กลับบ้านกันก่อน ไม่ต้องห่วง”

“ว่าแต่จะแจ้งความไหมเจ้าโต หรือเรียกพวกอาสาหมู่บ้านให้มาช่วยดี”

“ใช่ๆ ถ้าชุมชนเรามีขโมย จะได้ช่วยกันจับมันเข้าคุก”

“พวกลุงใจเย็นก่อนนะ เดี๋ยวผมจัดการเอง แล้วถ้ามีไรให้ช่วย ผมจะไปตาม”

“เออๆ มีไรก็บอกพวกข้าได้”

“ขอบคุณนะลุง” ผมต้อนให้พวกชาวบ้านแยกย้ายกันออกจากหน้าบ้านของเก๋าได้สำเร็จ ก่อนจะลากเอาตัวปลาเก๋าที่ยืนทำหน้าเคร่งเครียดเข้าบ้าน และดึงเอาประตูเหล็กให้ปิดลง

“ผมจะทำไงดีวะพี่! นี่มันเรื่องเชี่ยไรวะ!! ผมโทรหาป๊าม๊าแม่งก็ติดต่อไม่ได้ โธ่เว๊ย!!”

ผมว่าผมเห็นน้ำใสๆ ที่ปลายหางตาใต้กรอบแว่นของปลาเก๋า ผมจับไหล่ทั้งสองของเก๋าไว้ “ฟังพี่นะเก๋า” ผมมองเข้าไปในดวงตาที่กำลังสั่นไหว “ตอนนี้เก๋าขึ้นไปเก็บของที่สำคัญ เอาแค่ที่จำเป็น แล้วไปกับพี่”

“ทำไม”

“รีบไปก่อนเถอะแล้วค่อยว่ากัน”

“แล้วถ้าป๊ากับม๊ากลับมาแล้วไม่เจอเก๋า”

“..แปะกับอี๊ไม่กลับมาแล้ว”

“พี่หมายความว่าไงวะ ทำไมป๊าม๊าจะไม่กลับมาแล้ว” เก๋าสะบัดตัวออกจากการจับกุมของผมและเปลี่ยนเป็นกระชากคอเสื้อผมแทน

“พี่จะเล่าสั้นๆ”

“...”

“แปะกับอี๊ติดหนี้พวกปล่อยเงินกู้”

“!!!”

“แล้วเมื่อเช้าตอนพี่เดินตามหลวงตาบิณฑบาต พอผ่านหน้าบ้านเก๋า พี่ก็รู้เลยว่าเป็นฝีมือพวกมันแน่ พี่เลยโทรบอกให้แปะกับอี๊อย่ากลับมา”

“...” ปลาเก๋าคลายมือออก ก้มหน้ามองพื้น ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้เก๋ากำลังรู้สึกอะไร

“ไปเก๋า ..เก็บของ”

“พี่เป็นใครวะ..”

“!”

“ทำไมพี่รู้ทุกเรื่อง แล้วกลายเป็นผมที่แม่งไม่รู้อะไรสักอย่าง”

“...”

“เก๋า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เก๋าจะมานั่งน้อยใจ เราต้องรีบออกจากที่นี่ ถ้าพวกมันมา..”

“แล้วไงวะ! ก็ให้พวกมันมาดิ จะเล่นแม่งให้จำทางกลับไม่ได้เลย”

“ปลาเก๋าอย่าใช้อารมณ์ ถ้าเก๋าเจ็บตัวขึ้นมา แล้วแปะกับอี๊จะเป็นไง”

“...”

“มันไม่คุ้มหรอกนะ เชื่อพี่ รีบออกจากที่นี่ก่อน” เก๋ายังยืนนิ่ง และหันหน้าหนีจากผม ..ทำไมถึงได้เป็นคนเข้าใจอะไรยาก ผมตัดสินใจเดินขึ้นไปชั้นสองและเข้าไปในห้องของเก๋า สักพักคนใจร้อนก็เดินตามขึ้นมา

.

..หว่อง เวย

“จะรายงานคุณคินไหม”

“ถ้าไม่รายงาน..”

“พวกเราโดนแน่”

“แล้วถ้ารายงาน..”

“ก็ไม่โดนอะไร”

“ได้คำตอบ?”

“อืม”

.

.

..องศา

เอาไงต่อ..

ควรทำอะไรต่อ..

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยแยกจากป๊าม๊าเลยสักครั้ง จะมีก็แค่ตอนที่ต้องไปเข้าค่ายกับโรงเรียน ตอนนี้ผมอยากคุยกับใครสักคน ไม่ป๊าก็ม๊า ผมอยากได้คำอธิบาย อยากได้คำสั่ง..บอกมาหน่อยว่าผมต้องไปเจอที่ไหน ให้ทำไงต่อ เอายังไงกับชีวิต จำได้ว่าป๊าม๊าจะพาผมย้ายบ้านไปๆ มาๆ ไม่รู้หรอกว่าเหตุผลคืออะไร ผมย้ายโรงเรียนบ่อย ย้ายจนไม่ต้องจดจำว่าใครเป็นเพื่อนสนิทหรือศัตรู แค่อยู่ให้รอดตามกฎกติกาที่โลกนี้บัญญัติให้ต้องทำก็พอแล้ว

ผมมองกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ใส่ของจำเป็นมาจากบ้าน มันมีทั้งของผม ของป๊าม๊า ไม่ได้รู้สึกว่าปลอดภัยสักนิด มันเหมือนกับว่าผมทิ้งอะไรที่ยังต้องการไว้ตรงนั้นอีกหลายชิ้น

“ไว้พี่จะกลับเข้าไปเอาให้”

“ไม่เป็นไรพี่ เท่านี้แหละที่จำเป็น”

“เก๋าอยู่นี่กับพี่ก่อน ถ้าไม่จำเป็น.. อย่าเพิ่งออกไปไหน”

“ทำไมวะ”

“ที่นี่ไม่ได้ห่างจากบ้านเก๋า ถ้าเก๋าออกไปเดินเพ่นพ่านแล้วพวกมันเจอเข้า..”

“เก๋าไม่กลัว”

“เก๋า..”

“แล้วไง ต้องทนอยู่สภาพนี้นานแค่ไหน แล้วเรื่องเรียน เรื่อง.. แม่ง เรื่องเงิน เรื่องกินเรื่องอยู่” ที่ผมพูดมันคือเรื่องจริงที่ต้องคิด ไหนจะป๊าม๊า ป๊าม๊าจะมีเงินใช้ไหม จะใช้ชีวิตยังไง อยู่ที่ไหน “รู้ล่ะ เก๋าจะไปหาตั่วโกว ป๊าม๊าไปหาตั่วโกว เราจะได้เจอกันที่นั่น”

“แล้วตั่วโกวที่ว่าอยู่ที่ไหน เก๋ารู้ที่อยู่ใช่ไหม”

“ก็แค่ม๊ารับสาย! ก็รู้แล้วว่าอยู่ไหน” ผมขึ้นเสียง ความหงุดหงิดบวกความว้าวุ่นใจทำผมควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ผมพูดออกไปแบบนั้นทั้งที่พี่โตมันไม่ได้ผิดอะไร

“..งั้นระหว่างที่รอ เก๋าอยู่ที่นี่ ห้ามออกไปไหน สัญญากับพี่”

ผมมองหน้าพี่โต ทำไมคนอย่างผมต้องมานั่งหลบอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมอย่างกับคนขี้ขลาดด้วย “...”

“พี่รู้ว่าเก๋าไม่กลัว แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเก๋า พี่ว่าพี่คงรับผิดชอบไม่ไหว ทั้งความรู้สึกของแปะกับอี๊ แล้วก็ความรู้สึกของตัวเอง”

ผมหันหน้าหนี ทั้งที่คำพูดของพี่โตกำลังปลอบให้ผมรู้สึกดีขึ้น แต่ทำไงได้ จะให้ผมเย็นได้ยังไงในเมื่อผมกำลังมืดทุกด้าน

“อาจจะแค่วันสองวัน เก๋าอดทนนะ พี่จะดูแลเก๋าเอง”

“...”

“งั้น.. เดี๋ยวพี่ไปซื้ออะไรมาให้กิน”

“...”

“..ตอบพี่ดิเก๋า”

“อืม” ผมตอบแบบไม่มีอารมณ์ พี่โตเองก็ไม่กล้าเซ้าซี้ผมต่อ ปล่อยให้ผมนั่งลงบนพื้นหน้าโต๊ะเตี้ย ส่วนพี่มันก็เดินออกจากห้องไป ผมกดโทรศัพท์ที่แบทใกล้หมดเต็มที

“มึง”

[หายหัวไปเลยนะมึง]

“เออ”

[อยู่ไหนวะ]

“กู.. วันนี้กูไม่ไปเรียนนะ ไปไม่ไหว”

[นั่นไงกูบอกมึงแล้วไอ้โด่ง ใช่มันจริงๆ ด้วย] เสียงไอ้ปืนพูดแทรกเข้ามาในสาย

[เออๆ สรุปว่าเป็นมึงใช่ไหม ที่ไปมีเรื่องกับไอ้พี่กรพี่ฟิวส์]

“เออ”

[แล้วนี่มึงเป็นไงมั่ง หนักไหมวะ]

“ก็ไม่เท่าไหร่ พอดีเมื่อวานกูไปโรงพยาบาล เลยได้ยาดี”

[ใครพามึงไปวะ แล้วทำไมมึงไม่ตามพวกกู] ไอ้ปืนโวยวายเสียงดัง

[เบาๆ หน่อยไอ้เชี่ยปืน หูกูเกือบทะลุ เออ แล้วใครพามึงไปวะ]

“ก็..พี่อคิน เออพวกมึง เรื่องนี้เอาไว้ก่อน”

[...]

“ถ้ากูจะขอไปอยู่ห้องพวกมึงได้ป่ะวะ”

[ทำไมวะ แล้วบ้านมึงอ่ะ ไหนจะร้าน ป๊าม๊ามึงอีก]

[เกิดไรขึ้นวะ]

“เรื่องมันยาวว่ะ เอาเป็นว่า กูขอไปอยู่ห้องพวกมึงสักพัก”

[ได้ มึงมาอยู่ห้องกู ห้องกูกว้างกว่าห้องไอ้โด่งมัน อีกอย่าง กูมันตัวคนเดียว ไม่มีใครให้ต้องเกรงใจ]

“ขอบใจมึง กูอาจจะไปห้องมึงคืนนี้”

ใช่! ต้องไปที่อื่นที่ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าเกรงใจพี่โต แต่มันอึดอัดเกินไป แล้วผมก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุญพี่โต ไม่อยากต้องยอม ‘รัก’ เพราะความดี..ที่ผมยังไม่ต้องการ

“โทษทีนะพี่ ผมบอกไอ้ปืนไปแล้วว่าจะไปนอนห้องมัน” ผมบอกพี่โตระหว่างที่ผมแกะหนังยางรัดถุงอาหารและเทมวลของกินลงใส่จาน ไม่คิดจะเงยหน้ามอง ไม่อยากเห็นความหงุดหงิดหรือความไม่พอใจของพี่มัน

“ทำไม.. เก๋าอยู่ที่นี่ก็ได้”

“มันจะได้ได้ไงวะพี่ พี่บอกเองว่าที่นี่มันใกล้บ้านเก๋าเกินไป งั้นเก๋ายิ่งต้องไปให้ไกลจากตรงนี้ไม่ใช่รึไง”

“!!!”

“อีกอย่างนะ ก่อนที่ม๊าจะติดต่อมา เก๋ายังได้ไปมหาลัยบ้าง ..ก่อนที่เก๋าจะต้องดร็อปเรียน”

“...”

ผมเงยหน้ามองพี่มัน เหตุผลนี้ฟังขึ้นแน่ๆ ถึงพี่โตจะจบแค่วุฒิ ปวช. แต่พี่มันก็เคยบอกว่าถ้ามีเวลา ก็จะหาโอกาสไปเรียนต่อ พี่มันใส่ใจเรื่องเรียน ผมรู้ดี

“แต่..”

“ไม่ต้องห่วงนะพี่ จะดูแลตัวเองอย่างดี มีไรก็จะโทรหาพี่” ผมตบบ่าพี่โตไปหนึ่งทีก่อนจะตักข้าวเข้าปากและยิ้มให้

“งั้นพี่จะไปส่ง จะได้รู้ด้วยว่าเพื่อนเก๋าอยู่ไหน”

“อืม ได้”

..ขอบคุณนะที่เข้าใจ ไม่รู้ด้วยซํ้าว่าจะได้เจอคนดีๆ อย่างพี่อีกไหม

.

.

.

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel