ตอนที่1 หนูไม่มีทางไป
ไม่มีอะไรน่าง่วงนอนไปกว่าการนั่งฟังคุณนายอรอรพูดโน้มน้าวให้เขาหาผู้หญิงมาทำลูกสักครอกอีกแล้ว
แค่นึกว่าในแต่ละวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วที่ควบคุมได้ยากนั้นมาวิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในบ้านที่เขาหนีมาสร้างอยู่กลางไร่กว้าง อาทิตย์ก็คิดว่าหายนะเกิดกับเขาแน่นอนแล้ว
ชายหนุ่มลอบถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ แต่ดูว่าคุณนายยังไม่มีวี่แววว่าจะยอมถอยเหมือนกัน ตราบใดที่ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
“ถ้าแกนึกถึงข้อดีของการมีครอบครัวไม่ออก ก็ลองจินตนาการว่า ถ้าปุบปับแกเป็นอะไรไป สมบัติที่แกหามาได้อย่างฟลุกๆ ตั้งมากมายจะตกเป็นของการกุศล แกจะทนได้เหรอ”
นี่เอาทุกทางเลยใช่ไหม กล่อมไม่สำเร็จก็แช่งให้ตายซะดื้อๆ เอากับคุณนายเขาสิ!
“แกว่าไง ฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะมาเป็นชั่วโมง แกจะไม่หือไม่อือสักคำเลยหรือ”
“หิวน้ำไหมแม่”
อาทิตย์โพล่งถาม จ้องหน้าแม่นิ่งๆ แววตาบอกว่าจริงจัง ทำเอาคุณนายอรอรถึงกับชะงัก ความจังงังกระแทกเข้าอย่างจัง
“เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ”
“ผมถามว่าหิวน้ำไหม หรือว่าอยากกินอะไรหรือเปล่า จะได้บอกเด็กให้ทำมาให้ แม่ก็รู้ตัวว่าพูดมาเป็นชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่เหนื่อยก็ต้องหิวบ้างละ”
ได้ฟังคำพูดของลูกชายคนโต คุณนายเจ้าของห้างสรรพสินค้าประจำจังหวัดก็ถึงกับค้อนขวับ
“แกนี่จริงๆ เลย ที่บอกว่าให้แกพูด ฉันหมายถึงบอกให้ฉันรู้สักหน่อยว่าเมื่อไรแกจะเอาเมีย ฉันเตรียมไว้ให้เลือกตั้งหลายคน ดีๆ ทั้งนั้น ลูกผู้ว่าฯ ก็มี หรือหลานสาวของนายกสโมสรการค้าจังหวัดเราก็ได้ แกก็รู้จักดีอยู่แล้ว เลือกมาสักคนแล้วฉันจะจัดการให้ คัดมาแต่แม่พันธุ์ดีๆ หลานฉันจะได้ออกมาน่ารักและฉลาด”
จบถ้อยคำที่แม่กรอกหูเขามาหลายครั้งแล้ว อาทิตย์ก็เอนกายอิงพนักโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง
สองสาวที่แม่พูดถึงนั้นก็ดีอยู่หรอก...แต่พวกเธอไม่เหมาะจะเป็นเมียเขาแน่นอน
“หลานของนายกสโมสรการค้า ดร.พิจิกา นั่นเหรอ แค่นึกถึง ผมก็เหี่ยวจนปลุกไม่ตื่นแล้ว ไม่เอาหรอก จนตอนนี้ยายพริกก็ยังข่มผมเรื่องให้ลอกข้อสอบตอนประถมอยู่เลย เรื่องมันผ่านมาไม่รู้กี่สิบปี ยังจำอยู่ได้ ผมไม่ชอบเมียความจำดี เธอฉลาดเกินไป คนนี้ไม่ผ่าน”
ไม่ผ่านแน่นอน! ก็นั่นเพื่อนของเขา คลุกคลีกันมาตั้งแต่เรียนประถมจนถึงมัธยม มาแยกกันก็ตอนเรียนปริญญาตรี แต่พอไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ ทั้งสองคนก็ดันเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันอีก มันช่างบังเอิญสิ้นดี แล้วที่สำคัญหล่อนก็มีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วด้วย แถมไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเพื่อนของเขาที่รู้จักกันตอนเรียนเมืองนอกนั่นเอง
อาทิตย์พูดใส่หน้าคนทั้งคู่อยู่บ่อยๆ ว่า แก่จนปูนนี้แล้วก็ไม่รู้จะปิดครอบครัวไปทำไม เปิดตัวไปเสีย ผู้ใหญ่จะได้เลิกจับคู่ให้หล่อนและเขาเสียที
“ถ้าไม่เอาคนนี้ แล้วลูกสาวท่านผู้ว่าฯ ล่ะ นี่ฉันก็เพิ่งเจอในงานเลี้ยงรับรองผู้ใหญ่เมื่อสัปดาห์ก่อน กิริยามารยาทเรียบร้อย พูดจานุ่มนวล มองมุมไหนก็น่ารักไปหมด ฉันมองๆ ก็นึกไปว่าถ้ามีลูกสาวสักคนก็อยากให้ออกมาแบบนี้แหละ แต่พอมันไม่มี ให้มาเป็นลูกสะใภ้แทนก็ได้”
คุณนายอรอรทำท่าเคลิ้มฝัน สำหรับคนนี้อาทิตย์ถึงกับกลั้นลมหายใจ เพราะเท่าที่เขารู้มา ลูกสาวของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดคนปัจจุบันนั้นห่างไกลจากคำที่แม่สาธยายนัก กระนั้นเขาก็ไม่ขัด เพราะไม่อยากพูดถึงผู้หญิงลับหลัง…ยกเว้นก็แต่เพื่อนสาวอย่างพิจิกาที่จิกกัดกันมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้มันติดจนเลิกไม่ได้เสียแล้ว
“ผมว่าแม่วางมือและตัดใจเรื่องของผมดีกว่า ยังมีนายโอ๊ตกับนายอู๋อีกตั้งสองคน แม่ไปดันพวกนั้นดีกว่านะ พอจะเห็นทางสำเร็จเห็นแววมากกว่าผม ส่วนผมสงสัยจะขึ้นคานแล้วแหละ”
“แกเป็นพี่คนโต ยังไงแกก็ต้องแต่งงานก่อนน้อง”
“นี่มันยุคไหนแล้ว แม่ยังเอาธรรมเนียมสมัยอากงอาม่ามาใช้กับพวกเราอีกหรือไง สำหรับผมนะ ไม่ต้องรอ เพราะผมรู้สึกตงิดๆ ว่าตัวเองจะขึ้นคาน อย่างนี้แม่จะปล่อยให้ลูกชายของแม่อีกสองคนขึ้นคานตามผมไปด้วยหรือไง ไม่เหลือทายาทสืบสกุลสักคนเดียว มันน่าเศร้านะแม่ คิดดูดีๆ นะ ไปบอกสองคนนั้นให้หาเมียแทนผมเถอะ นายอู๋ก็อายุยี่สิบเก้าปีแล้ว ส่วนนายโอ๊ตก็ตั้งสามสิบเอ็ดปี เกิดหลังผมแค่สิบเอ็ดเดือน พวกนี้หาเมียมาทำลูกให้แม่ได้แล้วเหมือนกัน”
“โอ๊ย! ไม่ต้องเอาน้องมาอ้าง สองคนนั้นก็นิสัยเหมือนแกนั่นแหละ ฉันเหนื่อยกับพวกแกจริงๆ มีลูกชายสามคน ไม่ได้ดังใจฉันเลยสักคน”
“นี่แสดงว่าไปเคี่ยวเข็ญเอาจากพวกนั้นมาแล้วใช่ไหม”
ลูกชายคนโตดักคออย่างรู้ทัน คุณนายอรอรหุบปากฉับแล้วสะบัดหน้า ก่อนจะกวาดสายตามองรอบโถงของบ้านหลังใหญ่โตของลูกชาย
เธอภูมิใจอยู่หรอกที่ลูกทำงานแล้วสร้างทุกอย่างมาด้วยตัวเอง แต่ด้วยความเป็นแม่ก็อดที่จะรู้สึกห่วงไม่ได้ เธอมีลูกชายอยู่ตั้งสามคน แต่ไม่มีวี่แววว่าจะปักหลักแต่งงานเลยสักคน ทั้งที่ลูกๆ ของเพื่อนที่อยู่ในวัยเดียวกันก็ทยอยออกเรือนกันไปหลายคนแล้ว
แล้วหางตาก็เห็นกลุ่มคนนั่งทำงานกันอยู่เงียบๆ ตรงมุมใกล้กับห้องครัว จำได้ว่าที่ตรงนั้นมักถูกใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ของคนทำงานบ้าน
ดวงตาของคุณนายอรอรหรี่ลง...นอกจากแม่บ้าน เด็กในบ้านที่คุ้นตา แล้วยังมีใครอีกคนที่นั่งหันหลังให้
เธอมองไม่เห็นหน้าค่าตาของผู้หญิงคนนั้น แต่ประเมินจากรูปร่างและเรือนผมดำขลับเป็นพวงยาวที่ผูกเป็นหางม้ากับต้นคอระหงนั้น ฟันธงได้ว่าไม่ใช่คนงานในบ้านอย่างแน่นอน
คุณนายอรอรลุกขึ้นทันทีอย่างไม่ให้ความสงสัยค้างคาอยู่ ก่อนที่จะย่างเท้าตรงไปหาก็ยังทิ้งหางตาครุ่นคิดระคนไม่วางใจไปทางลูกชายที่นั่งก้มหน้านิ่งเหมือนคนปลงตกกับชีวิต
อาทิตย์ถอนหายใจยาว แล้วเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของแม่เดินห่างออกไป แต่เมื่อปรายตามองก็เห็นทิศทางของแม่ที่จ้ำไปหา ทำให้เขาต้องผุดลุกขึ้นอย่างไว
“แม่! หยุดก่อน”
แค่ไม่กี่วินาที อาทิตย์ก็ตามไปคว้าข้อมืออวบของผู้ให้กำเนิดไว้ได้ อีกฝ่ายหันมองเขาอย่างสงสัยในท่าที ดวงตาคมรีที่หรี่ลงนั้นบ่งบอกชัดว่าไม่ไว้ใจ...แต่จะเป็นเรื่องอะไรนั้น อาทิตย์ไม่คิดจะอยากรู้
“แม่จะกลับบ้านแล้วใช่ไหม เดี๋ยวผมไปส่ง ผมจะออกไปข้างนอกเหมือนกัน”
“ฉันกลับเองได้ นัดเวลากับนายนวยไว้แล้ว เดี๋ยวเขาก็มา”
“ไม่เป็นไร ผมจะบอกนายนวยว่าไม่ต้องมาแล้ว เพราะผมจะไปส่งแม่ที่บ้านเอง ไปกันเถอะ...ผมไม่ได้เข้าบ้านเรานานแล้ว”
คุณนายอรอรเอียงคอมองลูกชายอย่างพินิจ ท่าทางอ้ำอึ้ง มือข้างที่ว่างนั้นดูเกะกะเหมือนไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหนดี นี่ไม่ใช่พฤติกรรมคุ้นตาของลูกชายคนโตของเธอแล้วนะ
หากก็ยอมเดินตามเขากลับไป ก็พ่อเจ้าประคุณเกิดนึกอยากรักแม่กะทันหัน โดยจับมือเธอไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย
หากก่อนจะพ้นจากโถงบ้าน หญิงวัยกลางคนยังหันไปมองยังทิศทางเดิมอย่างติดใจ คนเป้าหมายที่เธอตั้งใจจะเดินไปดูเมื่อสักครู่นั้นยังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่เช่นเดิม
ทรวดทรงเรือนร่างที่เห็นจากด้านหลังนั้นได้สัดส่วนเหมาะเจาะ แถมท่านั่งที่มองปราดเดียวก็เห็นว่าแตกต่างจากคนที่นั่งรายล้อม
คุณนายอรอรเก็บข้อมูลมาจนครบภายในไม่กี่วินาที มาดหมายไว้ในใจว่า ต่อให้ลูกชายอมโบสถ์มาบอกว่าเป็นแค่คนงานในบ้าน เธอก็ไม่มีวันเชื่อ