บทย่อ
เบลค แชนดเลอร์ นักธุรกิจหนุ่มเจ้าสำราญสามีของดิน่า แชนดเลอร์ หายไปพร้อมกับเครื่องบินส่วนตัวในป่าทึบของอเมริกาใต้ จนใครต่อใครรวมทั้งดิน่าและแม่ของเขาเข้าใจว่าเขาตายแล้ว ดิน่าหมั้นหมายกับเชท สแตนตัน ซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีของเขาและหล่อน แต่หลังจากนั้นเพียงอาทิตย์เดียว เบลคก็กลับมาในสภาพที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เขากลายเป็นคนแปลกหน้า หล่อนควรจะคืนดีกับเขาหรือแต่งงานใหม่ หมอกขาวหนาวเยือกในทรวงเหงา หัวใจเศร้าก็อ้างว้างกลางหมอกขาว หยาดน้ำเอยจากนัยน์ตามาพร่างพราว วารวันนั้นรานร้าวและแล้งไร้ ลอยลับแล้วฤาจักหวล ฝันรัญจวนฤาจักคืนกลับมาใหม่ โอ้รอนรอนร้อนอยู่ ณ ทรวงใน เหลือหัวใจใจก็เหลือเพียงน้ำตา คือวันวารในม่านหมอก ช่างย้อนยอกเหลือเกินนะ, เสน่หา เลือนเลือนเหมือนฟ้าเกลื่อนดารกา จะหวลมาทำไมหนอ-ความรักนั้น “พิมลเมฆ”
บทที่ 1
บรรยากาศเต็มไปด้วยความกระจ่างแจ่มใส พระจันทร์ที่ลอยดวงอยู่เหนือฟากฟ้าแห่งโร๊ด ไอร์แลนด์ สาดแสงสีเงินยวงเจิดจ้า แต่ทว่า มันคล้ายกับมีสายใยบางๆ ราวตาข่ายของใยแมงมุม กำลังก่อตัวขึ้นในดวงความคิดซึ่งทำให้ดิน่าแชนดเลอร์ ไม่อาจจะหาทางปัดความคิดที่สับสนออกไปจากสมองได้ เธอพยายามจะปิดหูตัวเองจากสรรพสำเนียงทั้งหลายที่เกิดจากการเลี้ยงฉลองแสดงความยินดี ซึ่งจัดขึ้นอีกด้านหนึ่งของตัวบ้านเสีย และจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง
ความหนาวเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายแต่มันคงมิได้เกิดจากความหนาวเย็นของอากาศในยามราตรีแน่ ทั้งนี้เพราะในบ้านหลังนี้มีเครื่องทำความร้อนอย่างสมบูรณ์แบบอยู่ เธอเหลือบมองแขนของตัวเองซึ่งยกขึ้นกอดอกไว้ บางทีมันอาจจะเป็นความเยือกเย็นที่เกิดจากวัตถุอันมีค่า ซึ่งประดับไว้บนนิ้วกระมัง
เสียงประตูห้องสมุดเปิดออก ดิน่าหันขวับไปมองเรือนผมของเธอเป็นประกายอยู่ในแสงสลัวนั้น สีสันของมันอ่อนกว่าสีทองของเรือนแหวนที่สวมสอดอยู่ในนิ้วเล็กน้อย รู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ความต้องการจะอยู่คนเดียวได้ถูกทำลายลง
เมื่อปิดประตูบานนั้นตามหลังลงแล้ว เชท สแตนตันจึงได้เดินตรงเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มละไม แม้ในดวงตาจะฉายแววพิศวงอยู่
“อ๋อ...มาแอบหลบอยู่ในห้องนี้เอง” เขาทักเสียงเบา แต่ในน้ำเสียงนั้นมีคำถามที่มิได้เอ่ยออกมาแฝงอยู่
“ค่ะ” ดิน่าเพียงผงกศีรษะสนองรับ ไม่รู้สักนิดว่าเสียงถอนหายใจเบาๆ กับยิ้มฝืนๆ นั้น สร้างความรู้สึกให้กับเขาอย่างไรบ้าง
เมื่อเขาเดินเข้ามาใกล้ เธอก็มองเขาอย่างครุ่นคิดพิจารณา เชทเป็นผู้ชายที่ผิวค่อนข้างขาว ซึ่งคล้ายกับสีผิวของเธอ เรือนผมเป็นสีบลอนด์ ซึ่งบางปอยจะปรกลงตรงแนวหน้าผาก เหมือนจะเชื้อเชิญให้ใช้ปลายนิ้วเขี่ยให้มันกลับเข้าที่อยู่เสมอ ดวงตาของเขาเป็นสีฟ้าแกมเทา ซึ่งตรงข้ามกับเธอ ที่ดวงตามีสีสันสดใสกว่า
ขณะนี้เขาอายุ 36 แล้ว โตกว่าเธอตั้ง 7 ปี เป็นเพื่อนสนิทของเบลค ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่กระนั้นท่าทางของเขายังมีความหนุ่มอยู่มาก ประสมกับเสน่ห์ในตัว ซึ่งสร้างความชื่นชอบแก่ผู้ที่ได้พบเห็นอยู่ตลอดเวลา
ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้วก็เพราะเบลคนั่นเองที่ทำให้ดิน่ารู้จักกับเชท เธอพยายามจะปัดความรู้สึกในใจเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ออกไปเสีย...พยายามมองดูเชทซึ่งสูงกว่าเธอเพียงไม่กี่นิ้ว เมื่อเธอสวมรองเท้าส้นสูง
เขาเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า สำรวจความรู้สึกบนใบหน้าเฉยเมยของเธออยู่ ดิน่าไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเธอสามารถอำพรางความยุ่งยากสับสนในจิตใจไว้ได้อย่างมันคงเพียงไร เมื่อเขาวางมือลงบนไหล่เธอนั้น เธอก็มิได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
“คุณเข้ามาทำอะไรอยู่ในนี้ล่ะ” เชทเอ่ยถามขึ้นแววในดวงตาบอกความสงสัยอยู่
“เข้ามาใช้ความคิดค่ะ”
“โอ...นั่นน่ะเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างที่สุดทีเดียวนะ” เขาลดแขนจากไหล่ลงโอบร่างเธอไว้ และดิน่าก็ยอมให้เขากอดเธอ ขณะเดียวกันก็ลดมือที่กอดอกลงทาบทับอยู่กับแผงอก
ทำไมเล่า...ไหล่เขาเคยเป็นที่พักพิงของเธอมานักต่อนักแล้ว โดยเฉพาะในช่วงเวงลา 2 ปีครึ่งที่ผ่านมานี้ ดิน่าปิดเปลือกตาลงเมื่อเขาไล้จุมพิตแผ่วอยู่ตรงขมับและนวลแก้ม
“คุณควรจะเข้าไปนั่งอยู่ในห้องรับแขก ที่ใครต่อใครเขากำลังแสดงความยินดีกันวุ่นวายอยู่มากกว่า” เขาพูดล้อๆ
ดิน่าเปล่งเสียงหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอ
“หนวกหูจะตายไป แต่อันที่จริงไม่ว่าโศกเศร้าหรือรื่นเริง ถ้าคนมันมากๆ เข้าก็หนวกหูทั้งนั้นแหละ”
“นั่นสิ” เชทคล้อยตาม “แต่แม้ว่ามันจะเป็นการเลี้ยงฉลองที่บรรยากาศมันฝืดสักแค่ไหนก็ตาม คู่หมั้นก็ควรจะอยู่ร่วมในงานพร้อยกันทั้งสองคน ซึ่งหมายถึงทั้งคุณทั้งผม ไม่ใช่ให้ผมอยู่ต้อนรับแขกเพียงคนเดียวอย่างนี้”
“ฉันทราบค่ะ” เธอถอนใจเบาๆ
ไหล่ของเขามิใช่ที่พำนักพักพิงอันแสนสุขอย่างที่มันเคยเป็นมาอีกต่อไปแล้ว ดิน่าหมุนกายออกจากวงแขนของเขา บังเกิดความตึงเครียดขึ้นมาอีก อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกอึดอัดใจและความสับสนที่ไม่ยอมคลายไปจากใจก็เป็นได้ ดวงตาที่มีแววตายุ่งยากเพ่งมองออกไปในยามราตรีภายนอก ราวจะค้นหาคาตอบจากที่นั่น เมื่อเธอยืนหันหลังให้เขาเช่นนี้ เชทก็วางมือลงบนไหล่ด้านหลัง ค่อยๆ บีบนวดเพื่อผ่อนคลายประสาทที่ตึงเขม็งอยู่
“ทำใจให้สบายสิ ที่รัก คุณน่ะคิดมากอีกแล้ว” เขานวดเบาๆ ไปพลางปลอบโยนไปพลาง
“มันช่วยไม่ได้นี่คะ” แม้แต่จะรู้สึกกับการปรนนิบัติของเขา แต่กระนั้นแววยุ่งยากก็ยังมิได้คลายลง “ฉันเพียงแต่หาคำตอบไม่ได้ว่า ตัวเองได้กระทำในสิ่งที่ถูกต้องลงไปหรือเปล่าเท่านั้น”
“มันก็ถูกต้องอยู่แล้วละน่า”
“งั้นหรือคะ” มุมปากขยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเหมือนจะเยาะหยันตัวเอง “บอกตรงๆ นะคะ ว่าฉันไม่รู้เลยว่าทำไมถึงได้ยอมทำตามคำพูดของคุณ จนกระทั่งเราหมั้นกันวันนี้ได้”
“ผมน่ะเรอะ ที่พูดจนคุณยอมตกลง” เชทหัวเราะเบาๆ ลมหายใจอุ่นๆ ระรวยอยู่กับปอยผมสีบลอนด์ของเธอ “คุณพูดอย่างกับว่าผมจับแขนบังคับคุณอย่างนั้นละ ซึ่งผมไม่เคยทำอะไรพรรค์นั้นเลย คุณเป็นผู้หญิงที่สวยจนเกินกว่าผมจะทำลายลงได้นะ ดิน่า”
“ปากหวาน” แต่ดิน่ามีความรู้สึกว่าตัวเองแก่ลงกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้มาก
“ผมปากหวานก็แต่เฉพาะคุณเท่านั้นนะ”
“และฉันก็รู้ว่าตัวเองเต็มใจในการหมั้นครั้งนี้เสียสิ”
“เต็มใจแต่ก็ยังลังเลใจอยู่” เชทต่อให้ ยังคงนวดเฟ้นต้นคอเบาๆ ต่อไป
“ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักหรอก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะแน่ใจได้หรือเปล่า”
“ผมไม่ได้เร่งเร้าหรือว่ารีบร้อนให้คุณตัดสินใจเลยนะ ผมให้เวลาคุณตลอดเวลา เพราะผมเข้าใจดีว่าทำไมคุณถึงต้องการเวลาสำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้” เขาพูดอย่างมีเหตุผล “และเราก็จะยังไม่แต่งงานกันจนกว่าคุณจะเป็นผู้กำหนดวันขึ้นมาเอง ข้อตกลงระหว่างเรามันก็เหมือนกับเราแค่ทดลองหมั้นกันดูสักระยะหนึ่งเท่านั้นเอง”
“ฉันรู้ค่ะ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เธอมองไม่เห็นว่า ทำไมเชทจึงจะต้องมารับรองกับเธอด้วยคำพูดเช่นนี้อีก
“ฟังนะ” เชทหมุนร่างให้เธอกลับมาเผชิญหน้าเขา “คุณก็รู้ว่าผมเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเบลค”
ใช่...ดิน่าคิดอยู่ในใจ เชทเป็นแขนขวาของเบลคมาโดยตลอด และเวลานี้เขาก็กำลังทำหน้าที่นั้นให้เธออยู่เขาจะพร้อมเสมอที่จะให้ความสนับสนุนในทุกครั้งที่เธอจะต้องตัดสินใจ มีรอยยิ้มที่พร้อมจะปลุกปลอบยามที่เธอรู้สึกจิตใจเหี่ยวแห้ง และเมื่อกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปต้องมลายลง
“เพราะฉะนั้นผมจึงรู้ดีว่าสามีของคุณเป็นคนยังไง” เขาพูดต่อ “ผมไม่ได้คิดที่จะก้าวเข้ามาแทนที่เขาเลยซึ่งถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว ผมไม่ต้องการจะแทนที่เขามากไปกว่าการที่อยากจะให้คุณถอดแหวนของเขาออกจากนิ้วเสียที”
คำพูดประโยคนั้น ทำให้เธอต้องก้มลงมองแหวนเพชรเม็ดเดี่ยวที่สวมไว้ในนิ้วกลางข้างซ้ายซึ่งเคียงคู่อยู่กับแหวนเพชรเป็นรูปช่อดอกไม้ที่สวมสอดอยู่ในนิ้วนาง อันเป็นแหวนหมั้นของเชทอีกครั้ง
เขาใช้ปลายนิ้วเชยคางเธอขึ้นไว้
“ความหวังของผมในขณะนี้มีอยู่เพียงประการเดียวเท่านั้น ซึ่งผมรอคอยด้วยความอดทนมาโดยตลอดนั่นก็คือผมอยากจะให้คุณเหลือที่ในหัวใจไว้ให้ผมบ้าง”
“มันมีอยู่แล้วละค่ะ เชท” ดิน่าเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่มีคุณ ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าจะใช้ชีวิตตลอดเวลาที่เบลคหายสาบสูญไปได้ยังไง ในขณะที่เราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาตายแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่ และพอเราได้รับการยืนยันว่าเขาตะ .. ”
แต่เขาประทับจุมพิตหนักหน่วงลงก่อนที่เธอจะพูดจบประโยค และแล้วก็รวบร่างเธอแน่นกระชับอยู่ในอ้อมแขน แนบร่างอยู่กับกันและกัน