บทที่ 8
ทานตะวันตั้งใจมองทุกขั้นตอนที่คนตรงหน้าสอนอย่างตั้งใจ จนเด็กหนุ่มวัยเดียวกับเธอ ที่คบหากันมาเกือบสองปี และทานตะวันนับเขาเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เธอมี มองเธอแล้วถึงกับส่ายหน้า พลางแอบปิดปากหาว จนธงชัยพี่ชายที่เหลือบมองเห็นเข้า ถึงกับหยิบก้อนดินขึ้นมา แล้วขว้างใส่ลูกพี่ลูกน้องวัยห่างจากเขาเกือบรอบทันที
“อ้ายธง เจ็บนะ”
บรรณวิทย์โอด เขามองพี่ชายอย่างเอาเรื่อง ธงชัยหัวเราะหึ หึ ก่อนจะหันไปพยักพเยิดกับทานตะวัน
“ดูมันนะตะวัน จะสอนอะไรดีๆ ให้ มันก็มัวแต่จะหลับจะนอน ไม่เคยจะได้เรื่องเลย”
“ผมไม่ชอบนี่นา ถ้าอย่างอื่นยังพอว่า แม่นเก๊าะตะวัน คำนวณเลข อะไรแบบนี้ ถนัดเลยนะอ้าย แต่ให้มานั่งตัดกิ่ง ต่อยอด เพาะกล้า ผมทำบ่ได้ มือร้อน แม่ก็บอกอยู่นี่อ้ายธง ว่ามือร้อนปลูกต้นไม้ไม่ขึ้น ผมน่ะปลูกถั่วงอกยังตาย”
บรรณวิทย์อ้าง ทำเอาธงชัยกับทานตะวันมองตากันแล้วอดหัวเราะไม่ได้
“บุ๋นก็ว่าเกินไป”
เด็กสาวย่นจมูก บรรณวิทย์หัวเราะชอบใจ ทานตะวันเป็นเด็กรุ่นเดียวกับเขาในละแวกนี้ แม้จะเรียนคนละโรงเรียน หากแต่ก็สนิทกันมาก เพราะบรรณวิทย์ชอบบางสิ่งคล้ายกับเธอ เขาเรียนโรงเรียนในเมือง ซึ่งบางอย่างก็เรียนก้าวไกลกว่าที่ทานตะวันเรียน หนุ่มน้อยมักจะทำตัวเป็น ‘คุณครู’ เอาทุกอย่างที่เรียนรู้มา มาสอนเพื่อนรัก ถือเป็นการทบทวนไปในตัว เขาไม่เคยเข้าใจว่าทำไมอาทิตย์ พ่อของสาวน้อย ถึงไม่ยอมให้ทานตะวันไปเรียนโรงเรียนในเมือง ทั้งที่ครอบครัวก็ไม่ได้ยากจนอะไรนัก เวลาที่ตั้งคำถามเอากับพี่ชายที่สนิทมากที่สุด ก็มักจะได้รับคำตอบว่าเรื่องของครอบครัวคนอื่น เราไปยุ่งไม่ได้ทุกที บรรณวิทย์มักจะคิดตามประสาเด็ก เขาอยากจะเอาเงินส่วนตัวที่เก็บหอมรอมริบไว้ ให้ทานตะวันเป็นค่าเทอม และให้เธอเรียนร่วมโรงเรียนเดียวกับเขาจริงๆ
“หาเรื่องขี้เกียจน่ะสิ ขี้เกียจมาดูแลรดน้ำมากกว่า อ้ายเห็นแต่เราเล่นเน็ต เล่นคอมพิวเตอร์ บางทีก็ดึกๆ ดื่นๆ เหลวไหลนะเดี๋ยวนี้” ธงชัยโคลงศีรษะเด็กหนุ่มแรงๆ จนบรรณวิทย์ต้องโยกศีรษะหลบ
“บ่ได้เหลวไหลเน้อ หาความรู้ต่างหาก ผมอยากเป็นหมอนะอ้ายธง”
บรรณวิทย์ว่า ผู้เป็นพี่ชายเลิกคิ้ว พลางพยักหน้า สายตาที่มองน้องชายเริ่มมีแววชื่นชม เขาเป็นลูกกำพร้าที่บิดาและมารดาของบรรณวิทย์ให้อยู่ด้วย เอ็นดูเขาเหมือนลูกแท้ๆ ธงชัยจึงตอบแทนด้วยการทุ่มเททุกอย่าง เพื่อสวนดอกไม้ร่มพฤกษ์ของครอบครัว ส่วนบรรณวิทย์นั้น ทางผู้เป็นพ่อแม่ตามใจทุกอย่างว่าอยากจะเรียนอะไรก็ไม่ขัด เพราะทางสวนร่มพฤกษ์ก็ได้คนมาทำงานสืบทอดแล้ว
“อยากเป็นหมอ จริงเหรอบุ๋น ดีเลยพ่อแม่พี่น้องจะได้พึ่งพา”
“หมอที่ผมอยากเป็นน่ะ ใครพึ่งบ่ได้หรอก”
บรรณวิทย์หัวเราะก๊าก คนฟังอยู่อย่างทานตะวันก็แอบอมยิ้ม แม้เธอจะพูดภาษาเหนือไม่ค่อยเก่ง หากแต่ก็ฟังได้ เพราะเธอเองอยู่กรุงเทพฯกับอัญชลีเสียนาน เลยใช้แต่ภาษากลางแทนภาษาถิ่น แต่ก็พอฟังออก คนในบ้านเองก็พูดกับเธอด้วยภาษากลาง เพื่อนของเธอในโรงเรียนที่เรียนชั้นเดียวกันก็มีน้อยคนนัก เธอจึงไม่ได้ฝึกฝนพูดภาษาถิ่นเท่าไหร่
“ทำไม?”
“ผมอยากเป็นหมอรักษาสัตว์นะอ้าย อ้ายธงก็รู้ผมรักสัตว์ คนน่ะขอบาย กลัวได้ผ่าอาจารย์ใหญ่ บรื๋อ...”
“โธ่เอ๊ย ! “ ธงชัยหัวเราะบ้าง
“นึกว่าจะฝากผีฝากไข้ได้เสียหน่อย หมดกัน”
“ผมรักษาให้อ้ายธงเป็นกรณีพิเศษก็ได้เน้อ ถ้าได้เรียนและเป็นสัตว์แพทย์ได้จริง ผมจะยอมให้อ้ายธงเป็นคนไข้” บรรณวิทย์ว่าหน้าเป็น เลยโดนพี่ชายเอามะเหงกเขกเอาดังโป๊ก จนต้องคลำศีรษะป้อย
“ไอ้เด็กบ้า!”
ทานตะวันมองดูพี่น้องหยอกเย้ากันก็อดยิ้มตามไม่ได้ เธอฟังเป้าหมายในอนาคตของบรรณวิทย์ แล้วอดนึกถึงตัวเองไม่ได้ บรรณวิทย์อยากเป็นสัตว์แพทย์ และมีเป้าหมายชีวิตที่แน่นอนแล้ว แล้วเธอล่ะ ทานตะวันแอบถอนใจ เธอกำลังลองติดตาดอกเฟื่องฟ้าตรงหน้า ทำเป็นสนใจกับงานในมือตามวิธีที่ธงชัยสอน หากแต่ใจคิดไปไกล เธอมีอนาคตอะไรกันเล่า อยากคิดฝันเป็นอะไร ทานตะวันคิดว่าเธอมีสิ่งที่เธอรักและชอบ หากแต่บิดาจะยอมสนับสนุนเธอหรือ
ยิ่งคิด... เด็กสาวก็ยิ่งหน้าสลดลงไปทุกที มือเธอสั่นน้อยๆ ก่อนจะเม้มริมฝีปาก เมื่อนึกถึงอาทิตย์ ที่หมางเมินกับเธอ ทำเหมือนเธอเป็นเพียงแค่อากาศธาตุเท่านั้น คิดแล้วสาวน้อยก็อยากจะร้องไห้ อย่างไรก็ตาม การที่ทำให้บิดายอมรับในตัวเธอ สิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ทานตะวันฝันไว้สูงสุด แม้ท่านจะทำอย่างไรกับเธอ หากแต่อาทิตย์ก็เป็นผู้ให้ชีวิตเธอ ทานตะวันไม่เคยเกลียดผู้เป็นบิดาเลย เพียงแต่น้อยใจบ้างเท่านั้นเอง อัญชลีเลี้ยงเธอมาอย่างดี และปลูกฝังความคิดดีๆ ไว้ให้หลานสาวคนเดียวของเธอมากมาย หล่อหลอมให้ทานตะวันเป็นคนไม่ยอมแพ้ กตัญญู มีความคิดเกินตัวแม้อายุยังน้อย มีเหตุผล ทานตะวันจึงไม่เคยคิดอยากจะประชดอาทิตย์ด้วยการทำตัวเหลวแหลกเหมือนเด็กมีปัญหา ขาดความอบอุ่นที่มักจะทำตัวให้เป็นที่สนใจ ด้วยการประชดและทำตัวเหลวไหล ทานตะวันนั้นอยากจะเอาชนะ ให้บิดาหันมามองเธอด้วยความดี
แต่เธอจะทำสำเร็จไหมนะ สาวน้อยคิดอย่างท้อแท้ เธอหวังแค่เพียงสักวัน อาทิตย์จะยอมรับเธอบ้าง ยอมรับว่าเธอเป็นลูกสาวของเขาบ้างเท่านั้นเอง
ธงชัยมองสาวน้อยข้างๆ ที่ขะมักเขม้นกับงานในมืออย่างชื่นชม เด็กสาวเป็นคนขยัน และเรียนรู้ไว รักต้นไม้ดอกไม้ และเอาใจใส่ค่อนข้างดีมาก ธงชัยแอบถอนใจ เมื่อนึกถึงที่มาของสาวน้อย เขาสนิทกับอาทิตย์นับถือกันเป็นพี่น้อง รู้เรื่องราวทุกอย่าง เหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน เป็นเรื่องโด่งดังในอำเภอเล็กๆ แบบนี้ คิดแล้วเขาก็สงสารเธอ เด็กสาวเป็นเหยื่อของความขุ่นแค้นของอาทิตย์ ที่เอาทุกสิ่งมาลงกับทานตะวัน ธงชัยรู้จักอาทิตย์ดี จึงพยายามสอนหลายๆ อย่างให้สาวน้อย เผื่อว่าทานตะวัน อาจจะทำสิ่งที่มหัศจรรย์และน่าภูมิใจ ให้อาทิตย์ได้ชื่นชมจนหันมามองบุตรสาวในแบบอื่นได้บ้าง
“ถ้าทำสำเร็จและต้นไม่ตายนะตะวัน ตะวันก็จะได้เฟื่องฟ้าสี่สีล่ะ ขายได้ต้นล่ะหลายบาทนะ”
“จริงเหรอฮะ พี่ธง”
เธอนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ เด็กสาวต้องการเก็บเงินไว้มากๆ เพราะเธออยากเรียนต่อมัธยมปลาย ในระบบการศึกษามาตรฐาน บิดาประกาศว่าจะไม่ส่งเสียเธอไปเรียนแบบนั้นเด็ดขาด บางทีทานตะวันต้องหาเงินเองกระมัง
“จริงสิ ต้นหนึ่งก็หลายร้อย อืม...จริงสิ ไว้พี่จะสอนเพาะพวกกล้วยไม้ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อนะตะวัน แล้วก็สอนวิธีทำกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ถ้าทำได้เราก็ส่งประกวด กล้วยไม้ลูกผสมไง เคยเห็นไหม? ได้เงินเยอะนะ”
คำพูดของเขาทำให้ทานตะวันตาโต บรรณวิทย์ที่เดินเข้าไปเอาปุ๋ยชีวภาพมาให้ผู้เป็นพี่ชาย ได้ยินและเห็นอาการของเพื่อนสนิทก็อดล้อเลียนไม่ได้ กับปฏิกิริยาของทานตะวันเวลาพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ
“ตาโตเลยนะ ตะวัน พอรู้ว่าจะได้เงิน หึ หึ”
“อืม...ก็เรางกไง”
ทานตะวันยอมรับ พลางยิ้มตาหยีให้เพื่อน เรียกเสียงหัวเราะได้ทันที เธออ้าปากจะซักถามกับธงชัยถึงเรื่องการเพาะกล้วยไม้ หากแต่มีเสียงเรียกเธอไว้เสียก่อน
“คุณหนูตะวัน กลับบ้านก่อนค่ะ มีคนมาขอพบ”
“ป้านิ่ม ใครเหรอฮะ?”
เด็กสาวย่นคิ้ว ร้อยวันพันปีเธอไม่เคยมีแขก นิ่มที่ขี่จักรยานมาไกลพอสมควร ถึงกับหอบ เธอหยุดพักหายใจไปครู่ ก่อนจะตอบเสียงแจ่มชัด
“น้าของคุณหนู คุณพีทน่ะค่ะ เร็วเข้า รีบไปก่อนที่นายจะมาท่าจะดีนะคะ”
“น้า”
ทานตะวันทวนคำ บรรณวิทย์ถึงกับเอียงคออย่างสงสัย ส่วนธงชัยเองก็คิ้วขมวดเข้าหากันทันที
“ค่ะ น้า คุณพศุตม์ น้องชายของคุณเพียงเพ็ญ คุณแม่คุณหนูยังไงละคะ”
ประโยคนั้นทำเอาทานตะวันถึงกับอ้าปากค้าง น้าของเธอ... น้องชายของแม่ !
ทานตะวันรีบเดินแกมวิ่งไปที่จักรยานกลางเก่ากลางใหม่ของเธอ และรีบขี่มันออกไปอย่างรวดเร็ว เธอตื่นเต้นตกใจจนลืมทุกอย่างแม้กระทั่งบอกลาธงชัยและบรรณวิทย์ น้าของเธอ เธอได้ยินไม่ผิด ถ้าอย่างนั้น...เธอก็ต้องได้รู้เรื่องราวของมารดาด้วย
แม่จ๋า...
ทานตะวันคร่ำครวญกับตัวเองเมื่อปั่นจักรยานให้เร็วขึ้น เธออยากจะถึงบ้านของเธอไว ๆ เธออยากรู้เหลือเกิน ว่ามารดาของเธออยู่ที่ไหน น้าของเธอ มาเยี่ยมเธอถึงบ้าน เขาคงจะตอบเรื่องราวที่เธอสงสัยเกี่ยวกับมารดาได้บ้างไม่มากก็น้อย ทานตะวันคิดในใจอย่างตื่นเต้นยินดี โอย...ทำไมระยะทางระหว่างสวนร่มพฤกษ์ของธงชัยและสวนด้วยรักของผู้เป็นบิดาวันนี้เหมือนมันจะไกลเหลือเกิน...