บทที่ 4 ศิลปินกับครอบครัว 1.3
สี่วันต่อมา
คณะมนุษย์ศาสตร์ภายในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง กลุ่มนักศึกษาสาวพากันดูคอนเสิร์ตของศิลปินเกาหลีที่กำลังมาแรงมากที่สุดในประเทศ ผ่านอินเตอร์เน็ตไร้สายที่เชื่อมต่อกับโน้ตบุ๊ก เสียงกรี๊ดกราดของนิสิตกลุ่มนั้นดังไม่ขาดปาก เมื่อเห็นขวัญใจของพวกเธอร้องเพลงและเต้นอย่างสุดมัน
“ดรีม ฉันจองตั๋วให้เธอแล้วนะ” เสียงของยลดาเอ่ยบอกลัษณาวดีเพื่อนสนิท หลังจากที่ดูคอนเสิร์ตในยูทูปจบ
“อืม ขอบใจมากนะ พรุ่งนี้จะเอาเงินมาให้” ลักษณาวดีตอบกลับ
“แล้วเธอซื้อของขวัญให้พี่แจวอนหรือยัง” เพื่อนคนเดิมถามต่อ แต่ไม่ยอมบอกเพื่อนว่ามีของขวัญวันเกิดให้ศิลปินชื่อดังแล้ว
“ฉันก็ซื้อแล้วเหมือนกัน” เจนวิภาชิงตอบก่อน “ฉันไปสั่งให้เตี่ยของฉันทำจี้ทองคำให้พี่แจวอน ฉันออกแบบเองนะ น้ำหนักของจี้ไม่เท่าไหร่หรอก แค่สามหมื่นกว่าๆ เท่านั้นเอง” เจนวิภาลูกสาวเจ้าของร้านทองพูดอวดราคา
“จี้บ้านพ่อเธอทำแพงจังตั้งสามหมื่น ฉันไปสั่งทำไม่ถึงหมื่นเลย” ยลดาถามด้วยความสงสัย
“จี้ทองคำไม่เท่าไหร่อย่างที่เธอพูดจริงๆ แต่ที่แพงเพราะฉันสั่งทำจี้ฝังเพชรด้วยน่ะสิ” เจนวิภายังพูดอวดโอ้ต่อไป “แล้วเธอล่ะดรีม จะซื้ออะไรให้พี่แจวอน”
“ฉันเหรอ ฉันจะซื้อแว่นตากันแดดให้พี่แจวอน” ลักษณาวดีตอบ
“แว่นตากันแดดเหรอ” เสียงลูกสาวเจ้าของร้านทองดังขึ้น “ราคาเท่าไหร่เหรอดรีม อย่างเธอซื้อให้พี่แจวอนต้องแพงแน่ๆ เลย”
“ไม่แพงหรอกแค่หมื่นสามเอง” ลักษณาวดีเอ่ยราคาค่าแว่นตากันแดด “ถึงมันจะไม่แพงเท่าของขวัญที่พวกเธอให้ แต่ฉันคิดว่าพี่แจวอนต้องใช้ประโยชน์มากกว่าเก็บไว้ในตู้”
“ทำไมเธอคิดอย่างนั้นล่ะดรีม” ยลดาถาม
“เอ้า...คิดง่ายๆ นะ พี่แจวอนเขาใส่จี้ที่ไหน เพราะใส่จี้ก็ต้องใส่สร้อย พวกเธอก็รู้ว่าพี่แจวอนไม่ชอบใส่สร้อย และชอบใช้แว่นกันแดดมากๆ ใส่เป็นประจำทุกวัน แล้วก็ไม่ซ้ำแบบด้วย ฉันเลยคิดว่าถ้าฉันซื้อแว่นตากันแดดให้พี่แจวอน พี่แจวอนจะต้องเอามาใช้บ้างแหละ”
ลักษณาวดีคิดอยู่หลายวันว่าจะซื้อของขวัญอะไรให้ศิลปินขวัญใจจากแดนกิมจิดี สุดท้ายเธอก็เลือกซื้อแว่นตากันแดด เพราะเป็นของที่แจวองจุนใช้เป็นประจำทุกวัน และในแต่ละวันก็แทบจะไม่ซ้ำแบบ เธอจึงคิดว่าหากให้สิ่งนี้ ไม่วันใดวันหนึ่ง ศิลปินคนโปรดอาจจะนำมาใช้มากกว่าของขวัญชิ้นอื่นๆ
“มันก็จริงของดรีมนะ พี่แจวอนไม่ชอบใส่สร้อย แล้วฉันจะสั่งเตี่ยให้ทำจี้ทำไมเนี่ย”
เจนวิภาบ่นอุบ ทำไมเธอถึงลืมคิดข้อนี้ไปได้ ลืมคิดสนิทว่าแจวองจุนไม่ชอบใส่สร้อย แล้วจะใส่จี้ที่เธอให้เป็นของขวัญวันเกิดได้อย่างไร
“ช่างมันเถอะ พี่แจวอนคงรู้ว่าเราให้ด้วยใจ จะใช้ไม่ใช้ก็ว่ากันอีกเรื่อง” ยลดาคิดว่า ของขวัญที่ผู้ให้มอบให้ผู้รับล้วนแล้วมาจากใจ คนให้รู้ คนรับก็รู้ แค่นั้นเป็นพอ
“จริงอย่างที่ดาพูด ฉันให้จี้นั่นแหละไม่เปลี่ยนใจเพราะฉันให้ด้วยใจ” เจนวิภาตัดสินใจให้ของขวัญแจวองจุนเป็นจี้ทองคำฝังเพชรเช่นเดิม
“ฉันลืมบอกพวกเธอไปข้อนึง พวกเธอคงยังไม่รู้ว่า ถ้าใครซื้อบัตรวีไอพีในรอบสุดท้ายจะได้ไปดินเนอร์กับพี่แจวอนด้วยนะ บัตรนี้มีแค่ยี่สิบใบเอง ฉันให้คุณพ่อจองให้แล้ว”
ในการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนี้ บิดาของยลดาเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ จึงใช้สิทธิ์นี้จองให้ลูกสาวของตนเอง เพื่อนอีกสองคนตาลุกวาวทันที
“ทำไมเธอเพิ่งมาบอกฉันสองคนล่ะ ฉันจะได้จองด้วย” เจนวิภาต่อว่าเพื่อนสนิทที่อุบข่าวนี้ไว้ไม่บอกกันล่วงหน้า แล้วอย่างนี้บัตรไม่หมดแล้วหรือ
“นั่นสิ แล้วฉันกับดาจะจองทันหรือเปล่าเนี่ย”
ลักษณาวดีร้อนใจยิ่งนักกลัวไม่ได้บัตรพิเศษนั้น เพราะเธอชื่นชอบแจวองจุนมากกว่าใครๆ ในกลุ่ม อีกทั้งหากพลาดโอกาสใกล้ชิดศิลปินดังในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสเมื่อไหร่
“ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อคืนนี้เอง คุณพ่อบอกว่าเพิ่งประชุมผู้สนับสนุนงานเสร็จน่ะ ในที่ประชุมลงความเห็นกันว่า น่าจะจัดงานปาร์ตี้เล็กๆ ระหว่างพี่แจวอนกับแฟนคลับ ก็เลยมีบัตรนี้ขึ้นมา ราคามันก็ไม่เท่าไหร่ สองหมื่นเท่านั้นเอง”
ราคาตั๋วที่หลุดออกมาจากปากของยลดา เรียกความตกใจให้กับลัษณาวดีเป็นอย่างมาก เพราะราคานั้นสูงมากสำหรับคนฐานะเช่นเธอ แต่ทว่ามันก็ไม่ยากเกินไปไม่ใช่หรือที่จะหาเงินจำนวนนี้
“งั้นเธอคงต้องใช้อภิสิทธิ์ของลูกสาวผู้สนับสนุนรายใหญ่ เอาตั๋วให้ฉันใบนึง” เจนวิภาบอกยลดา ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิทอีกคน “ดรีม เธอจะเอาตั๋วด้วยหรือเปล่า”
“เอาสิ ไม่เอาได้ไงล่ะ” ลักษณาวดีตอบทันควัน ไม่สนใจราคาตั๋วแพงหูฉี่
“เธอรีบโทรไปบอกพ่อเธอเลยภา ว่าฉันกับดรีมเอาตั๋ววีไอพีคนล่ะใบ” ลูกสาวเจ้าของร้านทองที่ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน สั่งยลดาที่หยิบมือถือโทรหาบิดาทันที
“คุณพ่อบอกไม่มีปัญหา เพราะยังไม่ได้แจ้งให้แฟนคลับรู้ คุณพ่อบอกว่าจะบอกตอนขายตั๋ววันสุดท้าย” ยลดาบอกผลเพื่อนสนิททั้งสอง
“โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันจะโอนเงินออนไลน์ให้เธอเลยก็แล้วกัน”
เจนวิภาบอกเพื่อน หยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา ก่อนจะลงมือโอนเงินผ่านอินเตอร์เน็ตกับธนาคารที่ผูกบัญชีเอาไว้ ไม่ถึงสองนาที การโอนเงินก็เสร็จสิ้น
“วันจันทร์ฉันเอามาให้นะ พอดีว่าวันนี้ฉันไม่ได้เอาเอทีเอ็มมา แล้วเสาร์อาทิตย์นี้ฉันต้องไปบินไปเชียงรายคงไม่สะดวกโอนเงินให้เธอน่ะดา”
สองเพื่อนสนิทเข้าใจว่า ลักษณาวดีเป็นลูกสาวของนักธุรกิจชาวไทยที่ไปตั้งรกรากอยู่ในประเทศสิงคโปร์ ตามที่อีกฝ่ายบอก แล้วสาเหตุที่เธอกลับมาเมืองไทยเพื่อศึกษาต่อในรั้วมหาวิทยาลัยเป็นเพราะต้องการอยู่ใกล้มารดาที่แยกกันอยู่กับบิดาตั้งแต่เล็ก พอเรียนจบก็จะเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศอังกฤษในระดับชั้นปริญญาโท
เรื่องที่อยู่อาศัยของลักษณาวดีก็เป็นอีกเรื่องที่เธอปั้นแต่งให้สวยหรูว่า บิดาได้ซื้อคอนโดชุดสุดหรูให้อยู่อาศัย โดยราคาค่าห้องราวสิบห้าล้านบาท ทั้งนี้ตั้งแต่คบกันมายลดากับเจนวิภาไม่เคยไปคอนโดของเพื่อนเลยสักครั้ง เพราะทุกครั้งที่จะไปลักษณาวดีจะเหตุมาอ้างเสมอ
“เธอจะไปเชียงรายทำไมดรีม” ยลดาถามเพื่อน
“คุณแม่จะซื้อที่ที่เชียงรายน่ะ เลยให้ฉันไปดู” คนจมไม่ลงตอบกลับ
“ซื้อที่ที่เชียงรายเหรอ ซื้อไปทำไม” เจนวิภาอยากรู้ขึ้นมาอีกคน
“ซื้อไปทำรีสอร์ท คุณแม่บอกว่าเอาไว้อยู่ตอนแก่ด้วย ที่นั่นอากาศดี มีภูเขาคุณแม่ของฉันชอบภูเขา” ลักษณาวดีได้ทีพูดโอ้อวด
“ซื้อที่ไหนล่ะ คุณพ่อของฉันก็มีที่ดินที่เชียงรายเหมือนกันนะ มีตั้งพันกว่าไร่แน่ะ เผื่อว่าที่ที่คุณแม่เธอจะซื้อจะอยู่ใกล้ๆ กับที่ดินของคุณพ่อ”
ยลดาที่ร่ำรวยเงินทองและทรัพย์สมบัติตัวจริงเสียงจริงพูดขึ้น และนั่นทำให้ลักษณาวดีถึงกับไปไม่เป็น เนื่องจากไม่ได้นึกสถานที่ที่จะไปดูที่ดินเอาไว้
“คุณแม่ยังไม่ได้บอกรายละเอียดฉัน บอกแค่ว่าอยู่ที่แม่สาย ท่านจะบอกฉันวันนี้จ้ะ” แต่เธอก็เอาตัวรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
“ถ้าเป็นแม่สายก็คนละที่กับที่ดินของคุณพ่อ”
“เอาเถอะจะอยู่ที่ไหนก็ช่างอย่าไปสนใจเลย ฉันว่าวันนี้เราไปร้านคุณหงส์ดีกว่านะ เมื่อวานคุณหงส์โทรมาหาฉัน บอกว่าเสื้อผ้าลอตใหม่จะเข้าวันนี้ พวกเราไปสอยกันคนละสองสามชุดดีกว่านะ” เจนวิภาละความสนใจเรื่องที่ดินผืนนั้น เพราะมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่า
“แล้วก็เพิ่งมาบอกนะยัยเจน น่าจะบอกตั้งนานแล้ว” ยลดาที่เป็นนักช็อปมือหนึ่งไม่เป็นสองรองใครบ่นเพื่อนบ้าง “ไปกันเถอะเดี๋ยวไม่ทันคนอื่น”
“โอเค งั้นดรีมไปกันเจนนะ แล้วไปเจอกันที่ร้านเลยนะดา”
“ตามนั้นเลยเพื่อน”
เมื่อนัดหมายกันเสร็จ สามสาวจึงลุกขึ้นแล้วพากันเดินออกไปจากคณะ เพื่อเดินทางต่อไปยังร้ายของคุณหงส์ ร้านขายเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้าชื่อดังแถวสยาม เป็นร้านที่นำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์เนมจากทุกมุมโลก แน่นอนที่ราคาเสื้อผ้าจะแพงตามยี่ห้อของแต่ละชุด
มีอีกเรื่องที่ลักษณาวดีปดเพื่อน เรื่องนั้นก็คือเรื่องรถยนต์ เธอไม่มีรถยนต์ใช้เหมือนกับเจนวิภาและยลดา จะไปไหนมาไหนเธอจะอาศัยรถยนต์ของเพื่อนเสมอ อ้างว่าไม่อยากขับรถอีกเพราะตอนที่อยู่สิงคโปร์ เธอขับรถชนคนเสียชีวิต จึงเป็นภาพติดตาติดใจตามหลอกหลอนเรื่อยมาและขยาดในการขับรถไปโดยปริยาย
การเดินทางจึงอาศัยแท็กซี่และรถไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ และไม่ยอมให้เพื่อนไปส่งที่คอนโดทุกกรณี เนื่องจากกลัวความแตก พอสังสรรค์ตามประสาเพื่อนเสร็จ ลักษณาวดีจะบอกเพื่อนทั้งสองว่า กลับบ้านเองได้ ไม่ต้องการรบกวนใคร
การสร้างภาพของลักษณาวดีเปรียบเสมือนละครฉากใหญ่ เป็นละครที่ต้องเดินเรื่องอยู่ตลอดเวลา ไม่มีที่สิ้นสุด จนกว่าเธอจะยอมรับฐานะของตนเอง ยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น
ซึ่งมันยากนักที่ลักษณาวดีจะยอมรับตัวเองได้