20. เรียนรู้กันไปเพื่อลูกในท้อง
"อาหารไทยที่คุณชอบมีอะไรคะ”
เอมม่า ทำท่าสนใจอยากรู้
“ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวานไก่กินกับข้าวสวยร้อน ๆ หรือจะเอาขนมปังจิ้มก็อร่อย”
เขาบอกไปแล้วก็แอบกลืนน้ำลาย
“ฉันเคยทานอาหารพวกนี้มาแล้วค่ะ แต่ฉันชอบข้าวผัดปูมากกว่า”
เอมม่า บอกด้วยแววตาเป็นประกาย
“ไหนบอกว่าไม่ชอบอาหารไทย”
พอลลาร์ด ทำหน้าสงสัย เขานั่งเอนหลังไปพิงหัวเตียงมองเอมม่า เลือกชุดนั้นชุดนี้มาทาบตัวแล้วก็เดินไปมองที่กระจกราวกับว่าเธอเป็นนางแบบกำลังเลือกชุดที่จะใส่เดินบน
แคทวอล์ก
“ฉันบอกความจริงคุณก็ได้ค่ะ..ฉันผูกพันกับอาหารไทยแล้วก็...คนไทยมาก่อน”
เอมม่า บอกด้วยน้ำเสียงเหมือนจะชั่งใจว่าควรจะพูดถึงหรือไม่
“ผมเองก็เคยผูกพันกับคนไทยแล้วก็อาหารไทยมาก่อนเหมือนกัน” พอลลาร์ด เปิดใจ
“เพราะบุญญิสาใช่ไหมคะ” เอมม่าลองถามออกไป
“ผมเคยมีแฟนคนไทยมาก่อนที่จะได้รู้จักกับบุญญิสา”
“คุณเคยบอกฉันแล้วค่ะว่าแฟนเก่าคุณเป็นคนไทย”
“ใช่..แฟนเก่าผมเป็นคนไทยชื่อสายใจ ผมคบกับเธออยู่หลายปีก่อนจะเลิกกันไป..สายใจเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก แต่เธอกลับไปคืนดีกับแฟนคนไทยของเธอเสียก่อนที่จะได้แต่งงานกับผม”
เขาเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“คุณคงจะมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับแฟนคนไทยใช่ไหมคะ”
เอมม่าคิดว่าเธอควรที่จะรู้อดีตของคนที่เป็นพ่อของลูกให้มากกว่านี้
“แน่นอน..เพราะเธอสอนให้ผมได้เรียนรู้ในสิ่งที่แตกต่าง ทำให้ผมประทับใจในความเป็นไทย ผมถึงได้หาแฟนใหม่เป็นคนไทยอีกไงล่ะ”
“และแฟนใหม่ของคุณคนนั้นก็คือบุญญิสา”
เอมม่าพูดถึงผู้หญิงไทยของเขาด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะไม่แสดงความรู้สึก
“ใช่..ผมคิดจะแต่งงานกับโบว์ ตั้งแต่เดือนแรกที่ได้ติดต่อกันด้วยซ้ำ เพราะผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
เขาเปิดเผยความในใจ
“คุณกลัวบุญญิสาจะกลับไปคืนดีกับแฟนเก่าเหมือนแฟนคนแรกคุณใช่ไหมคะ” เอมม่าเดา
“ใช่..ผมไม่อยากรอนาน ถึงแม้ผมจะรู้มาว่าบุญญิสายังไม่มีแฟนก็ตาม”
“ฉันเสียใจค่ะ..ที่ทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะได้แต่งงานกับเธอ” เอมม่าแสดงความเห็นใจ
“ผมไม่คิดว่ามันคือการพลาดโอกาสหรอก ถ้าเพียงแต่คุณจะยอมให้ผมไปแต่งงานกับเธอเท่านั้นเอง”
พอลลาร์ด มองสบตาเอมม่า คล้ายจะขอความเห็นใจ ในขณะที่เอมม่า เสียวแปลบที่ใจเธอนิ่งเงียบหาคำที่จะโต้ตอบเขาอย่างใจเย็น นึกถึงคำพูดของพี่ชายที่ให้เธอสร้างความประทับใจให้กับพอลลาร์ดเพื่อให้เขาหันมาสนใจเธอให้ได้
“ปล่อยผมได้ไหมเอมม่า..ให้ผมได้ไปแต่งงานกับโบว์”
พอลลาร์ด เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ เมื่อเห็นเอมม่านิ่งไปนาน เขาลุ้นที่จะฟังคำตอบจากเธอ หากเป็นสองสามวันก่อนหน้านี้ เขาแน่ใจว่าเธอจะต้องโวยวายต่อว่าเขา แต่ช่วงนี้เขาเห็นเอมม่า ดูสงบ ใจเย็นลง จนเขาแปลกใจ บางทีเธออาจจะเริ่มเข้าใจ และเห็นใจเขาแล้วก็ได้ แล้วก็ช่วยพูดให้พี่ชายของเธอปล่อยบุญญิสา มาหาเขา
“ถ้าคุณทำแบบนั้นแล้วฉันกับลูกละคะ”
เอมม่า ย้อนถามสายตาเศร้า ๆ จนพอลลาร์ด อดสงสารไม่ได้
“ก็อย่างที่ผมเคยบอกคุณนั่นแหละว่าผมจะรับผิดชอบลูกร่วมกับคุณ เรายังเป็นพ่อเป็นแม่ของลูก เพียงแต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันเท่านั้นเอง”
เมื่อเห็นเอมม่า พูดจาดีไม่กระโชกโฮกฮากใช้อารมณ์กับเขามันทำให้เขาสบายใจที่จะคุยด้วย
“คุณใจดำพอที่จะทิ้งลูกไปแต่งงานกับคนอื่นได้ลงคอหรือคะ”
เอมม่า ใช้วิธีที่พี่ชายบอกคือให้ใช้ความอ่อนหวานนุ่มนวลในการเอาชนะใจพอลลาร์ด
“ผมไม่ได้ทิ้งเขานะเอมม่า..เมื่อคุณคลอดเขาออกมา ผมจะช่วยดูแลลูกของเรา” พอลลาร์ดให้สัญญา
“โธ่..ลูกแม่..ช่างน่าสงสารนักจะเกิดมาดูโลกทั้งที โลกนี้ก็โหดร้ายกับลูกเหลือเกิน”
เอมม่า พูดเสียงเศร้าบอกลูกในท้องด้วยการใช้มือลูบเบา ๆ ที่ท้องตัวเอง พอลลาร์ดเพิ่งได้เห็นภาพความน่าสงสารเห็นใจเอมม่าในวันนี้เอง
“เอมม่า..ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกแย่.” เขาบอกด้วยแววตาสำนึกผิด
เอมม่า ก้มหน้า เธอพยายามที่จะบีบน้ำตาออกมามันเป็นสิ่งที่เธอไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นหญิงจอมมารยาไปได้
“ช่างมันเถอะค่ะ ยังไงฉันก็ท้องแล้วคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้...แต่สิ่งที่ฉันอยากจะทำให้ดีที่สุดก็คือเลี้ยงดูลูกให้ได้รับความสุขความอบอุ่น..คุณรู้ไหมคะพอล ว่าชีวิตวัยเด็กของฉันมันเศร้ามากแค่ไหน..ฉันไม่อยากให้ลูกที่จะเกิดมามีความรู้สึกแบบฉันเลย”
เอมม่า พูดถึงเรื่องในอดีตที่อยากลืมนั้น เพื่ออยากกระตุ้นให้พอลลาร์ดได้คิดที่จะทำเพื่อลูก
“เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตวัยเด็กของคุณหรือเอมม่า..เล่าให้ผมฟังหน่อยได้ไหม”
เขาอยากจะรู้ชีวิตของคนที่ได้ชื่อว่าจะเป็นแม่ของลูกเขาบ้าง
“ตอนที่ฉันกับพี่ออกัส ยังเด็ก พ่อกับแม่ได้จ้างพี่เลี้ยงคนไทยมาดูแลพวกเราสองพี่น้อง พี่เลี้ยงคนนี้อยู่กับเราเกือบสิบปีเธอเป็นคนอ่อนหวานนุ่มนวลใจดีทำทุกอย่างให้ฉันกับพี่ชายโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ครอบครัวของเรารักเธอมากเหมือนกับเธอเป็นญาติคนหนึ่ง แต่พวกเราไม่รู้เลยว่าความอ่อนหวานนุ่มนวลนั้นมันเหมือนน้ำผึ้งเคลือบยาพิษ เธอทำให้ครอบครัวฉันต้องแตกแยก”
เอมม่า พูดมาถึงตอนนี้ก็หยุดคล้ายกับไม่อยากจะพูดถึงอีก
“เธอทำอะไร..” พอลลาร์ดรีบถามด้วยความอยากรู้
“เธอใช้ความอ่อนหวานช่างเอาใจทำให้พ่อของฉันหลงใหลจนแม่ฉันต้องออกไปจากบ้านด้วยความช้ำใจก่อนจะฟ้องหย่ากับพ่อ ตอนนั้นครอบครัวของเรามีแต่เสียงทะเลาะและเสียงร้องไห้ ฉันกับพี่ออกัส จึงถูกส่งไปเรียนอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งที่ฉันกับพี่ชายไม่อยากจะจากบ้านที่อบอุ่นของเราไปเลย ฉันจำได้ว่า ฉันร้องไห้จนอาเจียนที่ต้องจากบ้านที่ออสเตรเลียไปอยู่อเมริกา”
“ตอนนั้นคุณอายุเท่าไหร่”
เสียงของพอลลาร์ด ดูอ่อนโยนลงมาก เขารู้สึกสะเทือนใจไปด้วย
“ฉันได้สิบขวบ ส่วนพี่ออกัส ก็ประมาณสิบสามปี..พี่ออกัส จึงได้ฝังใจมากว่าคนที่ทำให้เราต้องออกจากบ้านไปก็คือผู้หญิงไทยคนนั้น พี่ชายฉันก็เลยไม่ชอบผู้หญิงไทย”
“คุณสองพี่น้องมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีกับคนไทยเลยนะ..แต่หวังว่าพี่ชายคุณคงจะไม่ไปเหมารวมว่าผู้หญิงไทยทุกคนจะเป็นคนแบบนั้นหรอกนะ..เพราะจะว่าไปคนที่ทำให้ครอบครัวคุณแตกแยกก็คือพ่อของคุณ ที่อ่อนไหวเกินไป เขามีแม่คุณอยู่แล้วแถมมีลูกน่ารักอีกตั้งสองคนแต่เขาก็ไม่ยับยั้งชั่งใจทำให้ลูกเมียต้องเดือดร้อน”
พอลลาร์ด แสดงความคิดเห็น เอมม่าพยายามที่จะไม่โต้ตอบเขากลับไป
“แต่ฉันไม่คิดเหมือนพี่ออกัสหรอกนะคะ..ฉันแยกแยะได้ เพราะประสบการณ์ดี ๆ ที่พี่เลี้ยงคนไทยมีให้ฉันก็มากพอสมควร เธอคนนั้นมักจะทำอาหารไทยให้เราสองพี่น้องได้ทานกันเสมอ พี่ออกัส ชอบข้าวผัดปู ต้มยำกุ้ง ส่วนฉันชอบข้าวผัดปูมาก แถมเรายังได้เรียนภาษาไทยกับเธอด้วย”
“งั้นคุณก็พูดภาษาไทยได้น่ะสิ” พอลลาร์ด มีสีหน้าเหมือนจะทึ่ง
“ได้สิคะ แต่พี่ออกัส เก่งกว่าฉันมาก เขาได้ทั้งพูดอ่านเขียน ส่วนฉันเขียนไม่ค่อยเก่ง”
“เซอร์ไพรส์นะเนี่ย..ที่คุณสองพี่น้องพูดภาษาไทยได้” เขากล่าวชม
“คุณเองก็พูดได้ไม่ใช่หรือคะ..ใครสอนคุณล่ะ”
“สายใจ..แฟนคนไทยที่ผมเลิกกับเขาไปเป็นคนสอนภาษาไทยให้ผม” พอลลาร์ดเล่าให้ฟัง
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็คงจะพูดกับบุญญิสาด้วยภาษาไทยใช่ไหมคะ”
“ใช่ครับ..แล้วผมก็คิดว่าพี่ชายของคุณก็คงจะพูดภาษาไทยกับโบว์ด้วยเหมือนกัน”
“ฉันไม่แน่ใจหรอกค่ะ แต่บุญญิสาก็พูดภาษาอังกฤษได้ไม่ใช่หรือคะ”
“ได้บ้างนิดหน่อย หรือไม่บางที เธออาจจะไม่ค่อยเข้าใจภาษาอังกฤษมากนักก็ได้ เพราะเดือนเพื่อนของโบว์เป็นคนบอกผมเองว่าถ้าผมพูดภาษาอังกฤษกับโบว์ ผมอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากเธอก็ได้”
พอลลาร์ด พูดแล้วก็อดขำไม่ได้
“ที่เธอเลือกคุณเพราะคุณพูดภาษาไทยได้น่ะสิ”
“ก็มีส่วนอยู่มาก..”
“คุณเดือน เป็นแม่สื่อให้คุณกับบุญญิสาใช่ไหมคะ”
เอมม่า จำได้ว่าพอลลาร์ดเคยเล่าให้ฟังเช่นนั้นจึงอยากจะให้แน่ใจอีกที
“ใช่...ผมเห็นภาพของโบว์ที่ คุณเดือนให้ดูก็เลยสนใจ”
“ป่านนี้พี่ออกัส คงกำลังพาคุณโบว์เที่ยวชมบรรยากาศชนบทของนิวซีแลนด์อยู่นะคะ”
เอมม่า รีบพูดให้พอลลาร์ดได้รับรู้ว่าบุญญิสากับเขานั้น นับวันก็จะยิ่งห่างไกลกันไปทุกที
“คุณรู้ใช่ไหมว่าออกัสพาโบว์ไปที่ไหน” พอลลาร์ด รีบถามทันที
“รู้แต่ว่า...ครั้งสุดท้ายอยู่ที่ทะเลสาบเทคาโปนะคะ หลังจากนั้นฉันก็ติดต่อพี่ออกัสไม่ได้เลย เขาคงไม่อยากจะให้ใครรบกวนก็ได้ค่ะ..”
เอมม่า พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว ไม่อยากจะให้พอลลาร์ด ได้รู้ว่าบุญญิสาอยู่ที่ไหน
“หวังว่าออกัส คงจะไม่ทำอะไรโบว์หรอกนะ”
พอลลาร์ด อดห่วงไม่ได้ เอมม่าต้องระงับความรู้สึกไม่พอใจเอาไว้ให้ได้
“คุณคิดว่าพี่ออกัสจะทำอะไรเธอหรือคะ”
เอมม่าข่มน้ำเสียงให้นุ่มนวลถามไป
“ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกัน คุณคิดว่าเขาทำอะไรกันล่ะ คงไม่ชวนกันเล่นฟุตบอลหรอกมั้ง” เขาพูดประชด
“คุณคิดว่าพี่ชายฉันจะสนใจโบว์อย่างนั้นใช่ไหม”
“มันก็มีโอกาสเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ ในเมื่อโบว์เป็นผู้หญิงที่น่ารักอ่อนหวานอย่างนั้น”
แววตาที่กล่าวถึงผู้หญิงไทยคนนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมจนเอมม่าอดอิจฉาไม่ได้
“คุณไม่ต้องกลัวหรอก พี่ชายของฉันไม่ชอบผู้หญิงไทย เพราะฝังใจกับเรื่องราวในอดีตที่พี่เลี้ยงคนไทยทำให้ครอบครัวของเราแตกแยก เขาจึงไม่คิดที่จะมีแฟนเป็นคนไทย ที่สำคัญพี่ชายฉันมีแฟนแล้ว เธอเป็นเพื่อนรักของฉันเอง”
“ออกัสมีแฟนแล้วหรือ”
พอลลาร์ด ได้ยินแล้วก็อดดีใจไม่ได้ แต่ก็วางใจไม่ได้เช่นกันถึงจะมีแฟนแล้ว แต่ความใกล้ชิดระหว่าง ออกัส กับ บุญญิสา อาจจะทำให้เขาเปลี่ยนไปก็ได้ใครจะรู้
“ใช่ค่ะ..แฟนของพี่ออกัสก็คือซูซานเพื่อนรักของฉันเอง ตอนที่ฉันกับพี่ออกัสไปเรียนที่อเมริกาได้รู้จักกับเธอที่นั่น ซูซานทั้งสวยน่ารักไม่มีทางที่พี่ออกัสจะเปลี่ยนใจไปมีคนอื่น”
เอมม่า พูดเพื่อให้พอลลาร์ดสบายใจมากกว่า แต่ตัวเธอเองกลับหวั่นใจว่าพอลลาร์ดยังคงหวังว่าจะได้พบบุญญิสา เอมม่า จะต้องเร่งมือทำให้พอลลาร์ดเปลี่ยนใจมาสนใจเธอแทนให้ได้
“คุณแต่งตัวเสร็จแล้วใช่ไหม เราจะได้ไปหาร้านอาหารไทยกันเสียที ผมหิวแล้ว”
เขารีบกล่าวชวนเมื่อเห็นเอมม่าแต่งตัวเสร็จพอดี
เอมม่า พยักหน้ายิ้มน้อย ๆ เธอเลือกได้ชุดแซกเสื้อแขนยาวกระโปรงยาวเสมอเข่าลายผ้าสีขาวสลับแดง
.............................................
“วันนี้ลูกค้าเยอะ เดือน..ช่วยไปรับเมนูอาหารช่วยพวกน้อง ๆ เขาหน่อยนะ”
สุรีย์ เดินมาบอกดุจเดือนที่โต๊ะแคชเชียร์ ก่อนจะเดินไป
คุมในครัว ดุจเดือนรีบจดรายการอาหารที่ลูกค้าโทรมาสั่งทางโทรศัพท์ให้เสร็จ แล้วก็ลุกไปด้านหน้าร้าน
วันนี้ลูกค้าแน่นร้านอย่างที่สุรีย์บอก ร้านอาหารไทยขนาดกว้างขวางนี้เปิดกิจการที่เมืองโอ๊คแลนด์ มาได้หลายปีแล้วจึงเป็นที่รู้จักของคนเมืองนี้ โดยเฉพาะลูกค้าชาวไทยที่พาครอบครัวมารับประทานอยู่เป็นประจำ ส่วนใหญ่ก็จะสนิทสนมกับสุรีย์เจ้าของร้านแทบทั้งนั้น
ดุจเดือนเอง แม้จะเพิ่งมาช่วยที่ร้านได้เพียงไม่นานนัก แต่ก็ได้รู้จักกับลูกค้าคนไทยหลายคน ทำให้เธอมีความสุขที่ไม่ต้องเหงาอยู่บ้าน อีกทั้งยังได้รู้จักเพื่อนร่วมงานคนไทยด้วย พนักงานในร้านทั้งเด็กเสิร์ฟ คนทำครัว ต่างก็เป็นคนไทยแทบทิ้งสิ้น มีเพียงพ่อครัวคนหนึ่งที่มาจากฮ่องกง
พนักงานเสิร์ฟมีกันสิบคน เวียนเข้าออกอยู่เป็นประจำ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักเรียนไทยที่มาเรียนหนังสือที่นี่ แล้วก็มาทำงานพิเศษในร้าน ทุกคนต่างก็วิ่งวุ่นในการทำหน้าที่ ทั้งแนะนำเมนู รับออเดอร์ นำอาหารมาเสิร์ฟ ลูกค้าบางคนนั่งรอนานก็จะมีหงุดหงิดใส่อารมณ์กับคนเสิร์ฟบ้าง ดุจเดือนจึงไม่ค่อยอยากจะทำหน้าที่นี้เท่าไหร่นัก เธอเลือกที่จะเป็นแคชเชียร์ของร้าน แต่บางครั้งก็ต้องออกมาช่วยพนักงานเสิร์ฟด้วยเช่นกัน เหมือนกับครั้งนี้
“พี่เดือน ลูกค้ามาใหม่โต๊ะเจ็ด ช่วยรับออเดอร์ให้แอน ด้วยค่ะ”
แอนนา นักศึกษาปริญญาโท ที่มาทำงานพิเศษเป็นคนเสิร์ฟอาหารที่ร้าน กำลังยกอาหารไปเสิร์ฟอีกโต๊ะหนึ่ง ร้องขอความช่วยเหลือ ดุจเดือน พยักหน้ารับ แล้วก็รีบเดินไปที่โต๊ะเจ็ดที่อยู่ด้านหน้าร้านทันที
“ร้านคุณสุรีย์ ยินดีต้อนรับค่ะ..”
ดุจเดือน ก้มศีรษะกล่าวต้อนรับลูกค้าชายหญิงที่นั่งอยู่ พอเงยหน้าไปหาลูกค้า ดุจเดือน ก็ต้องชะงักตกใจที่ได้เห็นพอลลาร์ด ฝ่ายนั้นก็เบิกตาโตด้วยความตกใจไม่แพ้กัน
“คุณเดือน!..”
พอลลาร์ด เรียกชื่อดุจเดือนด้วยความตกใจ
