ตอน 5
“ขึ้นห้อง” เขาเอ่ยชวน
“อะไร...นะคะ” หญิงสาวแทบเข่าทรุด ได้ยินคำชวนจากเขา คนจีนกับคนไทยเข้าใจตรงกันไหมเกี่ยวกับคำชวนขึ้นห้อง วัฒนธรรมไม่น่าต่างกันมากหรอกนะ เชื่อแบบนั้น
“ก็ขึ้นห้องไง เข้าใจยากจัง” เขาแอบยิ้มกับตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ความรู้สึกไวจัง แม้คำพูดเผลอไผลเธอยังจับทางได้ว่องไว
“พอค่ะพอ ฉันเข้าใจ เอาเป็นว่าคุณจะให้ฉันอยู่บ้านนี้นานแค่ไหน บอกตรงๆ ฉันอยากกลับที่พักมากกว่าอยู่กับคุณ” เธอต้องการแบบนั้นจริงๆ คนที่นี่ดูเหมือนหุ่นยนต์มากกว่าคนซะอีก
“นานจนกว่าฉันจะหาของๆ เธอพบ นานจนกว่าฝ่ายนั้นจะเลิกรา ไม่ไล่ล่าเอาชีวิตฉัน แล้วเธอก็จะปลอดภัย อยู่กับฉันที่นี่ไม่ตายหรอก” ขวานผ่าซากพูดจามะนาวไม่มีน้ำ ลากดอกเหมยมาแท้ๆ ยังไม่รู้สำนึก ทำไมเธอต้องต้องมาติดอยู่กับเขาด้วย มาเที่ยวแท้ๆ กลับต้องเจอกับเรื่องบ้าบอคอแตก พอเที่ยวเสร็จจบทริปเธอได้กลับบ้านตามหมายกำหนดการ หกวันห้าคืนที่ตนได้แพกเก็จจากอาม่า แล้วนี่ได้เที่ยวอะไรบ้างต้องมาติดแหงกกับอีตาบ้าหน้าโหด
“คืนนี้ช่วยไปงานกับฉันด้วย” เขาสั่งอีกทั้งๆ ที่เธอเพิ่งมาไม่มีความคุ้นเคยใดๆ กับเขาทั้งสิ้น ช่วยไม่ได้ เขาอยากให้เธอไปด้วยมีปัญหาอะไร ใครกล้าขัดลองแหยมมาสิ
“ไปงานอะไร แล้วในฐานะอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ” สงสัยย่อมมีสิทธิ์ถาม
“ยังไม่ระบุฐานะ ฉันอยากให้ไปคือไป อย่าเรื่องมากไม่งั้น...” เขาพูดอย่างคนเอาแต่ใจ คุกคามเธอด้วยสายตาคมกริบ แฝงความหิวกระหายในแววตาลึกล้ำนั้น ปลายเท้าขยับเข้าหาหญิงสาว ร่างบอบบางถอยหลังชนกับขอบบันไดหินอ่อน ขยับก้าวถอยขึ้นไปตามบันไดทีละขั้น คนไล่ก็ไล่ไม่ยอมเลิกรา ขาก้าวพร้อมกับแอบซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ลุ่มลึก
“ถึงห้องพอดีปะ...เข้าไปกัน” กายใหญ่โน้มเข้าหาหญิงสาวที่เดินจนมุมแผ่นหลังชนประตูห้องเขาพอดี ชายหนุ่มเอื้อมมือเปิดประตู จังหวะที่หญิงสาวเอนตัวหนีความเสียวแว้บจู่โจมด้วยท่าทีคุกคาม
บันไดหลายสิบขั้นดอกเหมยขึ้นมาถึงที่นี่รวดเร็วโดยไม่รู้ตัว สายตาคู่นั้นสะกดเธอให้นะจังงัง "หะ...ห้องใคร” ดอกเหมยถามคนเปิดประตูด้วยเสียงอึกอัก หายใจติดขัดเหมือนมีก้อนหินอยู่ในช่องคอ
“ห้องฉัน”
“ฉันไม่อยู่กับคุณ”
“เธอต้องอยู่ใกล้ฉันจำไว้ห่างกายฉันเมื่อไหร่เธอคือเป้าหมายของฝ่ายนั้น” เป็นคำขู่เท่านั้นเขาอยากอยู่ใกล้เธอเองต่างหาก “ฉันจะอาบน้ำ เตรียมตัวไปงานเลี้ยงนักธุรกิจของฮ่องกง งานนี้ใหญ่มากอย่าทำให้เสีย” เขาสั่งไม่สนสายตาท่าทีการต่อต้าน ประท้วงจากเธอ
“ฉันไม่เกี่ยวกับงานของคุณ” คงตะลึงดึงสติกลับ อ้าปากร้องประท้วงเดินตามเจ้าของห้องเข้าไปในห้อง
“ไม่เกี่ยวแต่เธอห่างตัวฉันไม่ได้ ฉันบอกอยู่นี่ไง”
“บ้านนี้มีลูกน้องคุณมากมาย อ้อ...ฉันยังไม่รู้จักชื่อคุณ” ถูกลากมาเวลาไปแจ้งความจะได้แจ้งจับถูกตัว
“ฉันไรอัน หยวน จำชื่อนี้ให้ขึ้นใจ เพราะต่อจากนี้ชื่อนี้จะอยู่ใกล้ๆ กับเธอ” เขาสั่งหรือข้อร้อง หรืออะไรที่เธอไม่เข้าใจ
“เอาเป็นว่าฉันจะไม่ไปงานเลี้ยงอะไรนั้นกับคุณ ถ้ากลัวฉันไม่ปลอดภัยก็ให้ลูกน้องคุณอยู่เฝ้าฉัน ส่วนคุณก็ไปงานเลี้ยง โอเคนะเข้าใจตรงกัน”
“ไม่ได้เธอต้องอยู่กับฉัน” เขาคว้าข้อมือของเธอบีบแน่น ถลึงตาคมกริบสาดใส่หญิงสาว จ้องมองเขม็งดวงหน้าสวยน่ารัก น่าพิสมัย เขากำลังหลงรักดวงตาหลุกหลิก เขากำลังหลงรักเนื้อนิ่มหอมอ่อนๆ สูดดมกลิ่นของเธอเข้าจมูก กลิ่นหอมนั้นละมุนละไม ไม่รุนแรงกลับกระตุ้นความรู้สึกเขาได้ไม่ยากเย็น ไรอันสูดลมหายใจลึกสุดใจ ปล่อยออกมาอย่างคนถอนหายใจ
“อาฟางจัดการเรื่องชุดไปงานของคุณผู้หญิงด่วน ฉันต้องได้ทุกอย่างเข้าชุดกันภายในไม่เกินครึ่งชั่วโมง ห้ามขาดห้ามเกินเข้าใจนะ” เขากดโทรศัพท์สั่งลูกน้อง
ฝ่ายนั้นรับปากกรอกเสียงมากับโทรศัพท์ ชุดราตรี รองเท้าเครื่องประดับเข้าชุด รวมไปถึงช่างแต่งหน้าทำผม จำเป็นต้องพร้อมทุกอย่างตามที่เจ้านายสั่ง ทั้งอาฟาง อาเฉาคราวนี้จึงตาเหลือกวุ่นกดโทรศัพท์ไปหาร้านเสื้อเจ้าประจำ ที่มีทุกอย่างครบเซ็ตไม่ต้องแจ้นไปร้านอื่นๆ ให้เสียเวลาทุกอย่างต้องถูกส่งมาภายในครึ่งชั่วโมง ไม่ใช่ของไม่ดีทุกอย่างต้องดีมีระดับไม่พร่อง
“ฉันขอตัวอาบน้ำก่อนนะส่วนเธอรอชุดไป ฉันอาบน้ำไม่นาน อดใจไว้ไม่ต้องคิดถึงฉันมาก” เขาออกคำสั่งกับเธอ โดยไม่สนใจถาม เธอต้องการไปกับเขาหรือต้องการอย่างอื่นไหม หรือว่าต่อให้เธอไม่ต้องการเขาก็จะยัดเยียดว่าอย่างนั้น
ช่วยไม่ได้เธออยู่ในผู้หญิงประเภทถูกใจเขามาก ปัญหาคือเขาไม่ต้องการปล่อยเธอไป ต่อให้เธอไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม ดังนั้นจึงต้องใช้การบังคับมากกว่าปล่อยให้เธอเต็มใจทำตามทุกอย่างที่เขาต้องการ มาเฟียที่ถนัดแต่การออกคำสั่ง ไม่รู้ควรสรรหาคำพูดหวานได้จากตำราเล่มไหน คนเคยวางอำนาจ คนเคยสั่งก็อาศัยความเคยชินสั่งคนอื่น ไม่เว้นแม้ผู้หญิงที่เขาเพิ่งลากตัวเธอติดมาด้วยจากสถานการณ์คับขัน เธอคือสาวไทยซ้ำน่ารัก ที่สุดคือน่ากอด รสรอยจูบหวานเกินห้ามใจไม่ให้จูบได้ไหว เขาอมยิ้มเดินเข้าห้องน้ำ
หญิงสาวนั่งอยู่ตรงโซฟามุมห้องหันหลังให้เขา ไม่รู้ด้วยซ้ำเจ้าของห้องสลัดอะไรออกจากตัวบ้าง
“อย่าคิดออกไปจากห้องเด็ดขาด” เขาเดินมาสั่งเธอชิดแผ่นหลัง
“ว๊าย !!” ดอกเหมยหันขวับไปพบกับบางสิ่งบางอย่าง บนร่างกายชายหนุ่มมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวพันสะโพกสอบไว้หมิ่นเหม่ ความไม่เคยเห็นตกใจ กรีดร้อง ฝ่ามือยกปิดหน้าหลับตา หัวใจสั่นยิ่งกว่าเจ้าประทับร่าง เหงื่อแตกพลั่กทันทีใด แม้ห้องนี้เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ฝ่ามือชื้นเหงื่อ พวงแก้มจากที่เนียนนวลเปลี่ยนเป็นสีแดงซ่าน รีบหันหน้าเข้ากำแพง
“เอ้า...นั่นเป็นอะไรไป ทำอย่างกับเห็นผี” เขารู้แล้วว่าเธอเขินอายที่เห็นเขานุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวอวดรูปร่าง กลั้นยิ้มพึงพอใจไว้ ผู้หญิงคนนี้ไวต่อความรู้สึก ไวต่อการกระตุ้น ความขี้อายของเธอกลับเป็นอะไรช่างน่ารัก ซ้ำยังขี้ตกใจ เวลาเธออาย เธอเพิ่งเข้ามาในชีวิตกลับคืบคลานเข้ามาในห้วงความคิดได้ว่องไว ความรู้สึกอยากเห็นแก้มเนียนสุกปลั่งของเธอ แทรกเข้ามาในความคิด “เป็นอะไรไหนดูซิตัวร้อนหรือเปล่า หน้าแดงเชียว” เขาจับหัวไหล่มนบังคับให้หันมาทางเขา
ดอกเหมยไม่รู้ควรลืมตา หรือหลับไว้ ถ้าลืมต้องบังคับตามองไปทางไหน เชื่อว่าตรงหน้าคือหน้าท้องสมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อผู้ชายแน่นแข็ง อกแกร่งหนึบเป็นรอนสวย ถ้าขืนมองคงใจสั่น ตอนนี้รู้สึกตัวเองตัวร้อนผะผ่าว อาการสั่นอย่างที่ห้ามปรามไม่ได้ บังคับให้สงบใจกลับเต้นเร่าๆ บอกให้นิ่งแต่กลับรื่นเริงระริกระรี้อย่างปลากระดี่ได้น้ำ มือไม้เก้งก้างวางไม่ถูกที่ถูกทาง
“ไม่มีที่วางก็วางตรงนี้สิ” เขาจับมือบอบบางสั่นเทาเย็นชืดวางลงบนหน้าอกแน่นตึง กลั้นยิ้มสุดกำลัง
ดอกเหมยรับรู้ได้ถึงเลือดเนื้อร้อนเร่ากระทบฝ่ามือ ไม่กล้าเปิดตามองความร้อนแข็งแกร่งที่ฝ่ามือสัมผัสแผ่วเบาอยู่เวลานี้ ครั้นพอลืมตาดวงตาหลุกหลิกจึงหลีกเลี่ยงมองเลยหัวไหล่แกร่งไปยังกำแพง กลับถูกนิ้วแกร่งจับคางมนเชยขึ้นบังคับให้มองดวงหน้าหล่อร้ายของเขา ทันใดนั้นเลือดกำเดาไหลออกจมูกกับการถูกบังคัยให้มอง
“อา...เลือดกำเดาเธอไหล คงร้อนแน่ๆ” เขาสะกดอาการขบขัน ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาขบขันอารมณ์ดี ไม่เคยเลยตลอดหลายปีที่เขาตอบรับการเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งเขี้ยวมังกร หายากมากในการมีช่วงเวลาผ่อนคลายสนุกสนาน ไม่มีช่วงเวลายิ้มเบิกบานใจ ไรอันจำเป็นต้องแบกภาระบนบ่าไว้หนักอึ้ง ทำตัวเป็นผู้นำวุฒิภาวะเข้มแข็ง บ้างครั้งต้องโหดเหี้ยม คำพูดดุดันเด็ดขาด สามารถรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองออกคำสั่งหรือลั่นวาจาออกไปได้ทุกโอกาส
“เอ่อ...คือ...ฉัน” คราวนี้ดอกเหมยไปไม่เป็น รู้สึกถึงความอุ่นที่ไหลออกจากจมูก เธอไม่ได้คิดอะไรกับกล้ามท้องเป็นรอน ไม่ได้คิดอะไรกับหัวนมสีน้ำตาลเข้มของเขา ไม่ได้คิดอะไรกับกลิ่นกายผู้ชายที่โชยแตะจมูก ไม่คิดจริงๆ สาบานไม่คิด แต่เลือดกำเดาไหลได้อย่างไร
“ฉันรู้น่าว่าฉันหล่อมาก เธอคงอดใจไม่ไหว แต่ตอนนี้ไม่มีเวลามากให้เธอกินฉัน อดใจรอก่อนนะกวางน้อย” เขาพูดเข้าข้างตัวเอง ถ้าไม่หล่อน่ากิน งานไม่ดี คงไม่มีผู้หญิงกระโดดขึ้นเตียงแก้ผ้ารอเขาไม่เว้นแต่ละวัน
“ปล่อย” หญิงสาวเบี่ยงตัวออกจากการเกาะกุม หน้าร้อนผ่าวร่างกายกับเครื่องใจตีรวน เหมือนกำลังถูกเวทย์มนตร์ครอบงำ ส่วนสมองนึกคิดอะไรไม่ออก นอกจากความว่างเปล่าที่ถูกบรรจุไว้ คิดใคร่ควรหาวิธีสลัดตัวเองออกจากวงแขนแกร่งกล้า แต่กลับไม่มีกลเม็ดอะไรนอกจากกล้ามเนื้ออ่อนแรงทันใด
ผู้หญิงคนนี้ดึงดูดดีเกินคำว่าร้อย เขาจับเธอหันมาหันเชยคางมนขึ้น โน้มใบหน้าขยับเข้าหา คล้ายก่อเกิดบางสิงสิ่งบางอย่างในตัวเธอขับเคลื่อนดึงเขาเข้าไปหา ดวงตาวิบวับเต็มไปด้วยอาการตื่นตระหนกคู่นั้นโกหก ปิดบังซ่อนอะไรมิด เธอคิดอย่างไร สื่อสารออกมาทางดวงตาแทบทั้งสิ้น ภาพใกล้เข้าไปทุกทีทุกอย่างเริ่มเบลอ
เมื่อใบหน้าชายหนุ่มขยายใหญ่ขึ้นในสายตาดอกเหมยทุกขณะการเคลื่อนไหวเชื่องช้า หญิงสาวกระตุ้นเตือนตัวเองรีบสลัดตัวออกจากพลังอำนาจกำลังแผ่กระจายสูงสุดในตอนนี้ เธอสิ้นความสามารถ กลบเกลื่อนความเอียงอายบนพวงแก้มเนียนแดงไว้ไม่มิดฝืนเบี่ยง กลับพบการบังคับให้หันกลับไปหาเขาอีกครั้ง คราวนี้จึงโดนปากร้อนประกบปิดแนบสนิทชิดเชื้อ ถูกปากได้รูปงับกลีบปากบน ย้ายลงมากลีบปากล่าง ล่อหลอกบีบบังคับให้คนด้อยความสามารถในการต่อต้านเปิดปาก ต้อนรับความร้อนที่เขากำลังพ่นพลังแกร่งกล้าใส่ช่องปากของเธอ ทุกอย่างเหมือนไฟฟ้าช็อตทั่วริมฝีปาก ชาหนึบหนับนำมาซึ่งอาการรุ่มร้อน
การจูบงับ ดุนดัน เริ่มดีกรีความเดือนพล่านขึ้นทุกระดับผสมอารมณ์ที่ถูกปลุกในเวลาอันรวดเร็ว มาเฟียหนุ่มก้าวต่อดันร่างบอบบางสั่นสะท้านที่เขารับรู้ได้ดีทุกการแตะต้องติดผนังห้อง ปากได้รูปเริ่มต้นบดขยี้กลีบปากนุ่มร้อนรน ยิ่งบด ยิ่งเบียดเขาก็รู้สึกถึงพลังอำนาจในการเอาชนะหัวใจแกร่งดุดัน สุดเหี้ยมเกรียมของเขา ตอนนี้ไรอันรู้สึกขึ้นมาอย่างว่องไว ท่อนเนื้อกลางกายแผ่ขยายใหญ่ รับรู้ถึงการปวดหนึบ ตึงแน่น รับรู้ถึงความอยากที่ก่อเกินในกาย