3
ภูษิตจึงยื่นข้อเสนอว่าหากนิลยาไม่อยากแต่งงานด้วยเพราะถูกบังคับก็ให้นิลยาได้ลองศึกษานิสัยใจคอของเขาดูก่อน โดยไม่ต้องให้เธอรู้ว่าเขาเป็นใคร หากนิลยาไม่ได้รังเกียจและตกหลุมรักภูษิต การแต่งงานก็จะเกิดขึ้นแบบไม่บังคับอีก แต่ถ้าเธอไม่โอเค ภูษิตก็จะไม่บังคับ หนี้สินก็ค่อยๆ ผ่อนจ่ายไปแบบไม่เร่งรัด
จริงๆ นทีก็กังวลด้วยว่าให้บุตรสาวไปอยู่กับภูษิตอาจจะเสียหาย แต่เธอไปอยู่กับเขาในฐานะพนักงานคนหนึ่ง จะได้ไม่เกิดคำครหา เขาเลยยินยอมรับข้อเสนอของภูษิต
“ไม่ต้องห่วงนะครับคุณลุง ผมจะดูแลนิลยาให้ดี และทำให้เธอรักผมให้ได้ แต่ไม่มีการบังคับครับ หากเธอไม่ได้รักไม่ได้ชอบผม ผมก็จะปล่อยให้เธอได้เลือกเส้นทางของเธอเองครับ” ประโยคนั้นทำให้นทีโล่งใจไม่น้อย
“เป็นยังไงบ้างคะคุณ” นันทกาเอ่ยถามสามีหลังจากนทีวางสายเรียบร้อยแล้ว
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี ตอนนี้ยายนิลอยู่ที่ไร่ของพ่อเลี้ยงภูษิตแล้ว ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติเถอะนะคุณ ผมเองก็ไม่อยากบังคับลูก” เขารู้ว่าภูษิตเป็นสุภาพบุรุษพอ คงไม่ใช้กำลังบังคับบุตรสาวของตนหรอก เพราะเขานั้นมีผู้หญิงให้เลือกมากมาย อีกทั้งนิลยาเองก็ไม่ใช่คนที่จะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไปกับผู้ชาย อีกอย่างทั้งคู่ก็โตแล้ว เขาก็อยากปล่อยให้ได้ตัดสินใจกันเอาเอง ภูษิตเองก็มีความเป็นผู้ใหญ่สูง ใจเย็น มีความคิดความอ่านที่ดี เขาจึงเบาใจและการที่นิลยาไปทำงานให้ภูษิตก็เหมือนลูกจ้างคนหนึ่ง จึงไม่มีคำครหาแน่นอน เพราะมีพนักงานคนอื่นอยู่ด้วย
นิลยาเผลอนอนหลับไปด้วยความง่วงงุน ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าห้องพัก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก..
เสียงเคาะประตูทำให้เธอปรือตาขึ้นจากการนอนหลับ ก่อนเดินงัวเงียไปเปิดประตู และพบเข้ากับเจ้านายคนใหม่ของเธอ
“คุณภูเองเหรอคะ” เธอยิ้มให้เขาก่อนจะหาวหวอดๆ ออกมา
“ขอโทษครับ ผมมากวนเวลานอนหรือเปล่า”
“ไม่ได้กวนเลยค่ะ นิลเผลอนอนหลับไปเท่านั้นเอง เมื่อคืนไม่ได้นอนน่ะค่ะ” เธอมัวแต่คิดแผนการหนีกับนวล ก็เลยไม่ได้หลับไม่ได้นอน พอหนีออกมาได้ก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน ป่านนี้ที่บ้านของเธอ ทั้งพ่อ แม่ และพี่สาวและพี่เขยคงวุ่นวายน่าดู
แต่ช่างเถอะ อยากบังคับเธอทำไมกันล่ะ เธอไม่ได้อยากแต่งงานกับอีตาพ่อเลี้ยงนั่นเสียหน่อย
“ล้างหน้าล้างตาสักนิดไหมครับ จะได้รู้สึกสดชื่น เดี๋ยวผมยืนรออยู่ตรงนี้ แล้วจะได้ไปรับประทานอาหารด้วยกัน”
“ค่ะ” เธอรับคำ ยิ้มให้เขา ก่อนจะรีบไปจัดการล้างหน้าล้างตาและทาแป้งบางๆ ออกมาหาคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูห้อง
แก้มเนียนใสของเธอทำให้เขาต้องเผลอยิ้ม นิลยาเป็นคนผิวดีไม่มีไฝฝ้าให้รำคาญตา ใบหน้าของเธอสะอาดหมดจดอาจเพราะว่าเธอดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
“อาหารเย็นวันนี้ไม่รู้จะถูกปากคุณนิลหรือเปล่าน่ะครับ”
“นิลกินอะไรก็ได้ค่ะ คุณภูมีบุญคุณช่วยเหลือนิลเอาไว้ รับนิลเข้าทำงานอีก แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้วค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ แม่บ้านของผมทำปลาเผาน่ะครับ ผมน่ะอยากกินอยู่พอดีเลย”
“ปลาเผาเหรอคะ นี่อาหารโปรดของนิลเลยนะคะ”
“มีแหนมเนืองและไส้กรอกที่ทำเองด้วยครับ กำลังร้อนๆ เลย คุณนิลเชิญตามสบายเลยนะครับ”
“คุณภูใจดีจังเลยค่ะ” เธอเห็นว่ามีพนักงานคนอื่นๆ ร่วมรับประทานอาหารอยู่ด้วย เป็นอาหารบุปเฟ่ต์ที่น่ารับประทานแทบทั้งสิ้น ทุกคนช่วยกันปิ้งย่างและทำอาหารอย่างเป็นกันเอง
ภูษิตแนะนำนิลยาให้ทุกคนได้รู้จัก ทุกคนทักทายยิ้มแย้มอย่างมีน้ำใจ
“คนที่นี่มนุษยสัมพันธ์ดีจังเลยนะคะ” นิลยาเอ่ยถามระหว่างเข้าไปหยิบจานชามช้อนส้อมเพื่อไปตักอาหาร
“ผมคัดเลือกเฉพาะคนที่ทัศนคติที่ดีและมีน้ำใจครับ ความเก่งหรือความสามารถมันฝึกกันได้ แต่ถ้าเก่งแต่เห็นแก่ตัวผมก็ไม่รับครับ เพราะไม่อยากทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“ดีจังเลยค่ะ พนักงานของคุณภู อยู่กันแบบพี่น้องเลยนะคะ ช่วยกันทำโน่นทำนี่ไม่เกี่ยงกันเลย นิลชื่นชมและดีใจจังค่ะที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของไร่แห่งนี้” นิลยาเอ่ยชมจากใจ หลายคนเข้ามาทักทายและตักอาหารให้เธอ รวมถึงไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบและพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศแบบนี้หาได้ยากยิ่งกับการทำงานของเมืองใหญ่ เธอเคยไปฝึกงานมาแล้ว มีแต่แก่งแย่งชิงดีกัน กลับบ้านในทุกๆ วันมีแต่ความเหนื่อยล้ากายใจ เธอจึงไม่ได้คิดจะกลับไปทำงานในเมืองใหญ่หลังจากเรียนจบ แต่คิดว่าจะหางานทำต่างจังหวัดมากกว่า อีกทั้งลุงกับป้าเองก็ไม่อยู่กับเธออีกต่อไปแล้ว