1
นิลยาค่อยๆ ปีนลงมาจากหน้าต่างบ้านโดยการใช้ผ้าปูเตียงผูกเป็นปมห้อยลงมาและความช่วยเหลือของพี่เลี้ยงคนสวยอย่างนวล
ที่เธอต้องทำแบบนี้เพราะไม่อยากแต่งงานกับพ่อเลี้ยงภูษิต ซึ่งเป็นผู้ชายที่ครอบครัวได้จับหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก เธอไม่เคยเจอเขามาก่อน และไม่เคยคิดอยากเจอด้วย เธอเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าการจับคลุมถุงชนแต่งงานกันคือคนหัวสมัยเก่าที่ชอบบังคับลูกหลาน
นิลยานั้นถูกนำไปชุบเลี้ยงโดยลุงกับป้าที่ไม่มีลูกเพราะลุงเป็นหมัน ท่านจึงรักเธอมากๆ พอพวกท่านเสียชีวิต เธอเรียนจบจึงกลับมาอยู่บ้านระหว่างรอหางานทำ แต่สัญญาของบิดามารดาที่จะให้เธอแต่งงานกับภูษิตนั้นได้ถูกทวงถามจากฝ่ายชาย ทำให้พวกท่านที่เคยรับปากเอาไว้ไม่อยากเสียผู้ใหญ่ จึงคิดจะจัดงานแต่งงานขึ้นเพื่อทำตามสัญญา
นิลยาโบกรถที่ขับผ่านมาอย่างดีใจ เธอหนีออกมาอย่างทุลักทุเลนั่นทำให้ต้องหารถเดินทางออกไปจากไร่ สองข้างทางของถนนเต็มไปด้วยต้นไม้และไร้บ้านผู้คน เพราะบิดามารดานั้นเป็นเจ้าของที่ดินนับพันไร่ที่ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเป็นเอกเทศ ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร
ผู้ชายหน้าเหี้ยมที่ลงมาจากรถทำให้นิลยาถอยหนีอย่างหวาดกลัว
“จะไปไหนจ๊ะน้องสาว”
“ว้าย! ปล่อยนะ” คิดว่าตัวเองไม่น่าโบกรถแบบนี้เลย นิลยาพยายามต่อสู้แต่พวกมันก็เข้ามาฉุดกระชากลากเธอขึ้นไปยังรถยนต์คันโต
“ช่วยด้วย ชะ... ช่วยด้วย ว้าย!”
“หยุดนะ!!!”
ปัง ปัง ปัง!!!
เสียงปืนที่ดังขึ้นทำให้ผู้ชายหน้าเหี้ยมสองคนรีบปล่อยร่างน้อยและหนีขึ้นรถไปในทันที
“เป็นยังไงบ้างครับ” ภูษิตเอ่ยถาม
“ไม่เป็นอะไรค่ะ”
“ขึ้นรถก่อนเถอะ ผู้หญิงตัวคนเดียวไม่ควรมาเดินอยู่แถวนี้นะครับเพราะมันเป็นป่าทั้งหมด” เขาเอ่ยเตือน
“ขอบคุณมากๆ ค่ะ ฉันขอติดรถไปลงในตัวเมืองหน่อยได้ไหมคะ ไม่ทราบว่าคุณจะไปไหนเหรอคะ” เธอเห็นใบหน้าแลดูใจดีของเขาจึงเอ่ยปากถาม อายุอานามของเขาน่าจะสามสิบเศษ
“ได้สิ” ภูษิตตอบรับ ทำไมเขาจะไม่รู้จักเธอกันเล่า คู่หมั้นตัวแสบของเขาที่กำลังจะหนีงานแต่ง ดีที่เขามาดักเธอเอาไว้ได้ทันและดีที่เธอไม่ถูกผู้ชายลากขึ้นรถเข้าป่าไปทำไม่ดีไม่ร้ายแบบนี้ เธอไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน ด้วยว่าเธอปฏิเสธการแต่งงานและไม่อยากแต่งงานกับเขา เหตุผลนี้จึงทำให้เธอขึ้นมานั่งบนรถกับเขาอย่างไม่อิดออด นี่ถ้าเธอรู้ว่าเขาเป็นใคร คงกรี๊ดลั่นรถเป็นแน่
“ขอบคุณมากๆ นะคะที่ให้ฉันติดรถเข้าเมือง”
“ไม่เป็นไรครับ” ภูษิตตอบเสียงสุภาพ
“คุณกำลังจะเข้าเมืองเหมือนกันใช่ไหมคะ” เธอเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ คิดไปว่าถ้าเขาไม่ได้เข้าเมือง เธอต้องรบกวนให้เขาวนรถไปส่งอีก คิดได้แบบนั้นก็รู้สึกเกรงใจไม่น้อย
“ใช่ครับ กำลังจะไปสำนักงานจัดหาแรงงานน่ะครับ”
“ไปทำไมเหรอคะ” นิลยาเอ่ยถามอย่างอยากรู้ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“หรือว่าต้องการคนงานเหรอคะ”
“ต้องการคนทำบัญชีน่ะครับ”
“นิลจบบัญชีรับนิลเข้าทำงานไหมคะ” เธอเองก็กำลังหางานทำอยู่เหมือนกัน
“จะให้ผมสัมภาษณ์งานในรถเลยเหรอครับ” เขาแทบหลุดขำกับคู่หมั้นสาวของตัวเอง เผลอยกยิ้มมุมปากอย่างเอ็นดูยิ่งนัก
“นิลเพิ่งเรียนจบก็จริง แต่นิลจะขยันและตั้งใจทำงานนะคะ” เธอพูดกับเขาอย่างมุ่งมั่น น้ำเสียงและท่าทีของเธอทำให้ภูษิตเชื่อว่าเธอทำแบบนั้นได้แน่ๆ เพราะขนาดคิดจะหนีเขา เธอยังหนีได้เลย ทั้งๆ ที่มีคนอยู่เต็มบ้าน
“งั้นผมพาไปดูสถานที่ทำงานก่อนดีไหม ผมทำไร่สตอเบอร์รี ถ้าชอบอยากจะทำงานจริงๆ ผมจะรับคุณเข้าทำงาน ผมเป็นคนให้โอกาสคน”
“ฉันชื่อนิลยาค่ะ เรียกนิลเฉยๆ ก็ได้ค่ะ นิลน่าจะอายุห่างจากคุณเป็นสิบปีเลยนะคะ” เธอคาดคะเนอายุของเขา ซึ่งก็น่าจะเสียมารยาทพอสมควรที่อยากไปรู้อายุของเขาแบบนี้
“ปีนี้ผมอายุสามสิบห้าแล้วครับ”
“คุณชื่ออะไรคะ” เธอชวนคุยต่อ นึกถูกชะตากับเขาไม่น้อย
“เรียกผมว่าภูเฉยๆ ก็ได้ครับ”
“ค่ะคุณภู ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”