9 เจอหน้า
“คุณแม่ขา” เสียงเล็ก ๆ เอ่ยเรียกผู้เป็นแม่ให้ได้สติ หลังจากเห็นแม่เอาแต่ยืนมองประตู ไม่ยอมกดกริ่ง หรือเคาะเรียกคนข้างในให้มารับเอาเอกสารสักที และตอนนี้เธอก็เริ่มง่วงนอนแล้ว อยากกลับห้องไปนอนจะแย่
“คุณแม่” มือเล็ก ๆ กระตุกชายเสื้อคลุมแม่เบา ๆ ในตอนนี้แม่อยู่ในชุดกางเกงนอนเสื้อแขนยาวแบบเดียวกันกับเธอ แต่มีเสื้อคลุมคนละสี ของแม่สีครีม ของเธอสีขาว
“วะ ว่าไงคะ” ชาลิสาที่พึ่งได้สติตอบลูกสาวออกไป
“เราจะเอาเอกสารให้เจ้านายคุณแม่ได้รึยังคะ พระพายง่วงนอน” ว่าพร้อมกับเอามือป้องปาก แม้จะใส่หน้ากากอนามัยอยู่ แต่ก็พอมองออกว่าเธอนั้นหาวฟอดใหญ่
“รอแม่กดกริ่งเรียกเจ้านายแม่ก่อนนะคะ” ได้ยินแบบนั้นเด็กหญิงก็พยักหน้ารับ ก่อนชาลิสาจะยื่นมือไปกดกริ่ง โดยมีลูกสาวอย่างพระพายยื่นอยู่ข้าง ๆ ภายในใจรู้สึกหวั่นกลัวแปลก ๆ กลัวว่าเขาจะสงสัยในตัวลูกสาว แม้ลูกจะเหมือนเธอมากก็จริง แต่ก็มีบางส่วนที่คล้ายเขา
ไม่นานก็มีชายหนุ่มในชุดกางเกงนอนขายาวเปลือยอกเดินมาเปิดประตู ชาลิสาที่มีไหวพริบ รีบยกมือปิดตาลูกสาวทันที
“เข้ามาก่อนสิ” เสียงทุ้มเอ่ยบอก เขาชำเลืองสายตามองเด็กหญิงที่ถูกเธอปิดตาไว้เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำเข้าห้องมา ส่วนชาลิสาก็ต้องเดินเข้าห้องมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเขาไม่ยอมรับเอกสารไป
“รบกวนท่านประทานแต่งตัวให้เรียบร้อยด้วยค่ะ” หลังจากเดินตามเขาเข้ามาในห้องแล้ว เธอก็พูดบอกเขา
“หึ” ภรัณยูที่ได้ยินแบบนั้นเพียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อยืดมาสวมใส่ แล้วเดินกลับมาหาสองแม่ลูกที่ยืนรออยู่กลางห้อง
"เด็กคนนี้ ลูกคุณสินะ" แต่แทนที่เขาจะถามหาเอกสาร เขากลับถามถึงเด็กหญิงที่เธอจับมือไว้อยู่
"สวัสดีค่ะ" มือน้อย ๆ ยกขึ้นสวัสดี ในตอนนี้เธอรู้สึกง่วงนอนมาก ๆ จึงไม่ได้เงยหน้าสังเกตเจ้านายแม่ดี ๆ ว่าจริง ๆ แล้วคือคุณลุงใจดีที่เธอตามหามาตลอด
"กี่ขวบแล้วล่ะ คงจะไม่ได้ใจแตก มีลูกตั้งแต่ยังเรียนอยู่ใช่ไหม หึ" เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ แล้วพูดที่ข้างหูให้ได้ยินกันสองคน
"พระพายอายุกี่ขวบแล้วลูก บอกเจ้านายแม่สิคะ" แต่แทนที่เธอจะตอบ เธอกลับหันไปถามลูกให้ตอบเขาแทน
"พระพายกำลังขึ้นอนุบาลสองค่า" ว่าแล้วก็ชูนิ้วขึ้นสองนิ้วอย่างน่ารัก ดวงตากลมหรี่ลงแทบจะลืมไม่ขึ้น เพราะตอนนี้เลยเวลานอนของเธอมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว
"นับ ๆ ดูแล้ว ก็ช่วงที่คุณเรียนต่อ แต่จากอายุก็คงจะไม่ใช่ลูกผม แบบนี้ค่อยเบาใจหน่อย" พูดจบก็ขยับตัวออกห่าง ก่อนจะหันมาทักทายหนูน้อย
แม้จะนัดแนะกับลูกสาวมาก่อนหน้าแล้วว่าหากเจ้านายแม่ถามหรือใครคนอื่นถามเรื่องอายุให้บอกว่าเรียนอยู่ชั้นไหน เพื่อไม่เขาจับได้ว่าพระพายอาจจะเป็นลูกของเขา แต่พอเห็นเขาทำเหมือนไม่อยากให้พระพายเป็นลูกแล้วเห็นท่าทีดีใจของเขาเมื่อรู้ว่าพระพายไม่ใช่ลูก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดแปลบในใจ
“นี่ค่ะเอกสาร” เห็นเขากำลังย่อตัวนั่งลงเพื่อพูดคุยกับลูกสาว ชาลิสาก็รีบขัดทันที ก่อนจะยื่นเอกสารยัดใส่มือเขา
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อน ลูกสาวฉันต้องการพักผ่อน”
“เดี๋ยว อยู่ทำข้าวเย็นให้ผมก่อนสิ” มือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือบาง เมื่อเธอกำลังพาลูกเดินออกไป
“คะ?” ได้ยินแบบนั้นชาลิสาก็หันไปมองเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามทันที เธอไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองในสิ่งที่เขาพูดเลย
“ฉันเป็นเลขานะคะ ไม่ใช่แม่บ้าน”
“คุณแม่ขา พระพายง่วง” เสียงงัวเงียเอ่ยบอกผู้เป็นแม่ พร้อมกับเงยหน้ามอง มือเล็ก ๆ ยีตาเบา ๆ บ่งบอกว่าตนนั้นง่วงสุด ๆ
ส่วนคนที่ได้ยินเด็กหญิงตัวน้อยแทนตัวเองว่าพระพาย คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันน้อย ๆ เมื่อนึกถึงเด็กหญิงในร้านขนมวันนั้น พอก้มลงมอง เด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าก็คล้ายเด็กหญิงคนนั้นมากเลยทีเดียว แต่เพราะหน้ากากที่เด็กหญิงใส่บวกกับจังหวะที่แกเงยหน้ามองชาลิสา ก็เงยมองเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ทำให้เขาไม่ทันสังเกต มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น เขาคิด
“คุณก็เห็นว่าลูกสาวฉันง่วงนอน”
“ให้ลูกนอนโซฟาก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมช่วยดู ผมก็หิว”
“ท่านประธานคะ” น้ำเสียงกดต่ำพยายามใจเย็นกับคนตรงหน้า
“หรือถ้ากลัวลูกนอนไม่สบาย จะไปนอนที่ห้องผมเลยก็ได้”
“หรือถ้าไม่ทำจะลาออกก็ได้ ผมไม่ได้ว่าอะไร ขอแค่คุณหาเงินมาจ่ายค่าฉีกสัญญาได้ก็พอ”
“เพราะในเอกสารสัญญา...”
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะทำให้” สุดท้ายเธอก็ต้องยอมเขาในที่สุด ก่อนจะขอเขาเอาลูกนอนโซฟาก่อน
“ผมขอข้าวต้มง่าย ๆ ก็พอ”
“ค่ะ” เธอกระแทกเสียงน้อย ๆ ตอบกลับเขา ก่อนจะเดินไปยังห้องครัวอย่างคุ้นชิน เพราะห้องนี้...เธอไม่ได้มาครั้งแรก
ลับหลังหญิงสาวไปแล้วชายหนุ่มก็เดินมาหยุดอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่กลางห้องนั่งเล่น ดวงตาคมมองสำรวจเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนหลับ ลมหายใจสม่ำเสมออยู่บนโซฟาของเขา ใบหน้าไร้ซึ่งหน้ากากอนามัยอย่างในตอนแรกทำให้เขาสำรวจหนูน้อยได้ดีขึ้น ก่อนมุมปากหนาจะกระตุกยิ้มเบา ๆ เมื่อความบังเอิญมีอยู่จริง เด็กหญิงตรงหน้าเป็นคนเดียวกับที่เขาเจอในโรงพยาบาลวันนั้น
“หึ” ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกรั้นเชิดหน่อย ๆ เหมือนกับเธอไม่มีผิดเพี้ยน แทบจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันเลยก็ว่าได้
“อือออ” เสียงเล็ก ๆ ที่งัวเงีย ก่อนจะขยับตัวเปลี่ยนท่า แต่ดูเหมือนหนูน้อยจะขยับมากทำให้เกือบจะตกโซฟา ภรัณยูที่ยืนมองอยู่รีบเข้ามาจับไว้ทันที ก่อนจะตัดสินใจอุ้มร่างเล็ก ๆ พาไปยังห้องนอนของเขา ห้องนอนส่วนตัวที่นานแล้วไม่มีใครได้เข้ามาหลับนอนถ้าไม่ใช่เจ้าห้อง เด็กหญิงตัวน้อยนี้คือคนแรกในรอบหกปี
ทันทีที่สัมผัสตัวลงบนเตียงนุ่ม เด็กหญิงที่กำลังจะตื่นเพราะถูกรบกวน หลับเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง ทำเอาภรัณยูที่มองอย่างลุ้น ๆ ว่าจะทำเด็กหญิงตื่น ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เขานั่งมองดูเด็กหญิงหลับต่ออีกครู่หนึ่ง อย่างไม่รู้ว่าอะไรดึงดูดให้เขาทำแบบนั้น ก่อนจะเดินออกมาไปหาแม่ของเด็กหญิงที่น่าจะอยู่ในครัว แล้วก็เป็นตามคาด เธอยังทำข้าวต้มให้เขาอยู่จริง ๆ ภาพแผ่นหลังบางแสนคุ้นเคย ขยับตัวหยิบจับเครื่องปรุงมากทำอาหารอย่างคล่องแคล่ว ในความทรงจำค่อย ๆ ไหลเข้ามาในหัว พร้อมกับน้ำเสียงหวาน ๆ และรอยยิ้มในตอนที่เธอทำอาหารเสร็จ
“กรมาพอดีเลย ฟางทำเสร็จแล้ว ช่วยชิมให้หน่อยว่าอร่อยรึยัง”
เขารีบสลัดภาพและความคิดพวกนั้นทิ้งไปในทันที ก่อนจะเดินเข้าไปเธอ
“ใกล้เสร็จรึยัง ผมหิวแล้ว”
“อีกสองนาทีค่ะ”
“อืม” เขาตอบรับ ก่อนจะยืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์มองเธอทำอาหารต่อ คนที่ถูกมองรีบหันไปพูดด้วยทันที
“เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันยกออกไปให้ค่ะ”
“ผมแค่อยากดูให้แน่ใจ ว่าคุณไม่ได้แอบใส่อะไรแปลก ๆ”
“อะไรแปลก ๆ ที่ว่าคืออะไรคะ”
“ไม่รู้สิ” ยาเสน่ห์มั้ง ประโยคหลังเขาพูดกับตัวเองในใจ ก่อนจะยักไหล่ตอบแล้วเดินเข้ามาเธอ
“บางทีคุณอาจจะใส่พริกไทยหรือกระเทียมเยอะ ๆ เพื่อแกล้งผมก็ได้”
“ฉันจะใส่ของพวกนั้นไปทำไมคะ ก็ในเมื่อท่านประธานไม่ชอบ”
“หึ” ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าคมก็ยื่นเข้ามาใกล้ ใบหน้าสวยของเธอ ก่อนมุมปากหนาก็กระตุกยิ้มส่งให้ แล้วเดินออกมา
ทิ้งให้หญิงสาวได้แต่ยกมือขึ้นตบแก้มตัวเองเบา ๆ เมื่อรู้ตัวว่าเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมา
ต่อมาไม่นานข้าวต้มหอมกรุ่นก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เจ้าของข้าวต้มรีบวางชามข้าวต้มลงทันที เมื่อสอดส่องสายตาแล้ว ลูกสาวตัวน้อยหายไป
“พระพายหายไปไหน คุณเอาลูกฉันไปไว้ไหน” คนที่กำลังจะเลื่อนชามข้าวต้มหาตัว เงยหน้ามองคนถามเล็กน้อย ก่อนจะยกชามข้าวต้มขึ้นมาเป่าอย่างใจเย็น นั่นก็ทำให้คุณแม่ที่หวงและห่วงลูกสาวมาก ๆ เริ่มเดือดขึ้นมาในทันที
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง”
“ได้ยิน” เขาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นเป่าและกิน
“นี่!” เธอเสียงดังใส่เขา แต่เมื่อเขายังนิ่ง เธอจึงพูดขึ้นอย่างเหลืออด
“ก็ได้ ถ้าคุณไม่บอก ฉันจะไปหาลูกเอง ถ้าลูกฉันเป็นอะไรไปแม้แต่ปลายเล็บ ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
“ลูกนอนอยู่ในห้อง เมื่อกี้ลูกเกือบตกเตียงผมเลยอุ้มลูกไปนอนในห้อง” ได้ยินแบบนั้นชาลิสาก็ตรงดิ่งไปยังห้องนอนของเขาทันที เพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่เขาพูด เมื่อเห็นลูกสาวนอนหลับตาพริ้ม ก็ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ แล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนจะหันไปมองตามเสียงของเจ้าของห้อง
“พ่อของพระพายไปไหนละ เลิกกันไปแล้วหรอ ถึงปล่อยได้คุณดูแลลูกอยู่คนเดียว” คำถามที่ถามไถ่เหมือนใส่ใจ เป็นห่วง แต่พอถูกถามจากเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มันเหมือนคำถามธรรมดา ที่ถามออกมาเพื่ออยากรู้เรื่องราวชีวิตก็เท่านั้น
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวฉันไม่ขอตอบ อีกอย่างก็เสร็จธุระแล้ว ฉันจะพาลูกกลับบ้าน” ว่าจบก็พยายามจะอุ้มลูกขึ้นมา เพื่อไปจากห้องของเขา
“อื้อออ พรา พาย จานอน” คนที่กำลังหลับฝันดีละเมอออกมาเบา ๆ ทำให้เจ้าของห้องที่ยืนมองอยู่เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
“กลับบ้านกันนะคะ”
“ม่ายจานอนนน” เมื่อปักธงแล้วว่าจะนอน ต่อให้ใครพยายามปลุก แค่ไหน เธอก็จะนอน
“ให้พระพายนอนที่นี่ก็ได้ ห้องตั้งกว้างผมไม่ใช่คนขี้เหนียวอะไร” หลังจากมองสองแม่ลูกเถียงกันอยู่นานภรัณยูจึงพูดขึ้น
“ไม่ค่ะ ฉันจะพาลูกกลับ ขอบคุณสำหรับความใจกว้างของท่านประธานนะคะ” นอกจากจะไม่ตอบรับไมตรีของเขาแล้ว เธอยังอุ้มลูกขึ้นไว้แนบอก ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเตียง แต่ทว่ากลับเสียหลักเอนตัวจะล้มเสียอย่างนั้น ดวงตากลมหลับตาแน่น ก่อนจะเอนตัวหันหลังกลับไปทางเตียงนอนตามเดิม รอรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นจากน้ำหนักของลูกสาว และน้ำหนักของตัวเอง
หลับตาอยู่นานก็ค่อย ๆ ลืมขึ้น เมื่อไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างที่คิดไว้ ในใจอดไม่ได้ที่จะชมเตียงของเขาที่รองรับน้ำหนักและการกระแทกได้ดี
“จะยืนดี ๆ ได้รึยัง” ชมได้ไม่นานก็ต้องกลืนคำชมลงท้อง เมื่อรีบลืมตาขึ้นมาเห็นว่าเขากอดประคองอยู่ ไม่ให้เธอล้ม จมไปกับเตียง รู้แบบนั้นก็รีบขยับตัวออกจากอ้อมกอดของเขาทันที
“ขอโทษค่ะ”
“คุณนอนกับพระพายในห้องนี้ก็แล้วกัน ผมจะไปนอนอีกห้อง”
“ดึกแล้ว ลูกไม่อยากไม่คุณปลุกคุณก็เห็น ส่วนคุณ ตัวเล็กแค่นี้จะอุ้มลูกเดินยังไงไหว”
“เอาตามนี้” เสียงเข้มออกคำสั่ง ก่อนจะเดินออกจากห้องไปในทันที ทิ้งให้เธอได้แต่มองตามด้วยความสับสนใจการกระทำของเขา
