11 งานเลี้ยง
หลังจากภรัณยูส่งชาลิสาถึงคอนโดแล้ว เธอก็พาลูกอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลต่อ การเยี่ยมก็เหมือนกับทุกครั้งที่พระพายจะเป็นชวนคุณตาเล่นชวนคุณตาพูดคุย พอถึงตอนที่คุณตาทำกายภาพบำบัดก็อยู่คอยเป็นกำลังใจ
และถ้าเขาไม่ใช้งานเธอจนล่วงเวลางานเธอก็จะไปหาลูกที่โรงพยาบาล เพราะแม่ของเธอช่วยรับพระพายจากโรงเรียนให้ แต่ถ้าเขาพาคุยงานกับลูกค้านอกสถานที่ ถ้าเสร็จไวเธอจะไปรับลูกเอง จนตอนนี้เธอทำงานกับเขาจะร่วมสัปดาห์แล้ว พ่อเธอก็ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล
เนื่องจากพ่อของเธอเป็นเนื้องอกในสมองหลังจากผ่าตัดต้องพักฟื้น และทำกายภาพบำบัด ในตอนแรกพ่อของเธอก็เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่นอยู่แล้วด้วยโรงประจำตัวคือความดันโลหิตสูง แน่นอนว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชน และผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองออกครั้งล่าสุดพ่อเธอก็ผ่าที่โรงพยาบาลเอกชนเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่าย แพงหูฉี่เลยล่ะ ไหนจะค่าห้องที่นอนพักฟื้นหลังผ่าตัดอีก ค่าใช้จ่ายค่อยเบาลงก็ตอนที่เธอย้ายพ่อมาโรงพยาบาลรัฐ แต่ก็ยังมีค่าเคมีบำบัดที่ยังแพงอยู่
“ฟางยื่นคำขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าไปแล้วค่ะ คงจะพอใช้จ่ายค่ายาคุณพ่อ”
“มันจะดีหรอลูก ฟางพึ่งทำงานนะ”
“เจ้านายฟางเขาใจดีค่ะแม่ อีกไม่นานก็คงจะอนุมัติ” ชาลิสาเอ่ยตอบผู้เป็นแม่ไป เธอแทบจะกัดฟันพูดกับความใจดีของเขา ใจดีกับผีสิ เขาใช้งานเธอสารพัด กลั่นแกล้งเธอทุกทาง จนไม่รู้แล้วว่าเธอเป็นเลขาหรือคนใช้ของเขากันแน่ อาหารเช้าเธอก็เป็นคนซื้อ มื้อเที่ยงก็ด้วย กาแฟนั่นอีก วันไหนเขานึกคึกก็ใช้เธอปัดฝุ่นในห้องทำงาน จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะเขาเป็นเจ้านายที่กุมชะตาชีวิตเธออยู่ อีกอย่างคำขอเบิกเงินล่วงหน้า ในการอนุมัติก็ต้องผ่านเขา
“ถ้าแบบนั้นแม่ก็สบายใจ แต่ถ้าไม่ไหวบอกแม่นะลูก แม่ยังมีที่ทางของคุณยายที่พอจะขายได้อยู่”
“ฟางไหวค่ะแม่ แล้วแม่ล่ะคะ ไหวรึเปล่าช่วงนี้ฟางเห็นแม่หน้าซีด ๆ ดูไม่ดีเลย”
“แม่ไม่เป็นไรจ้ะ สงสัยคงพักผ่อนน้อยน่ะ”
“นี่ก็เริ่มดึกแล้วพาพระพายกลับห้องเถอะลูก ดูสิสัปหงกไปไม่รู้กี่รอบ” วิภาพูดบอก ก่อนจะพันหน้าไปทางหลานสาวที่นั่งหลับอยู่ ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้ยังคอตั้งดูการ์ตูนเป็นเพื่อนคุณตาอย่างตั้งใจ แต่ตอนนี้หลับไปทั้งตาทั้งหลาน
“ค่ะ” ชาลิสาอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหันมองลูกสาว ก่อนจะเอ่ยลาผู้เป็นแม่ แล้วยกลูกสาวขึ้นอุ้มเพื่อเตรียมตัวกลับ ดีหน่อยที่รถที่ส่งซ้อมได้รับแล้ว ทำให้การกลับบ้านครั้งนี้ไม่ลำบากเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องแอบปาดเหงื่ออยู่เหมือนกัน เพราะลูกสาวตัวน้อยของเธอนั้นตัวไม่น้อยเหมือนก่อนแล้ว
“ถ้าพระพายกินจุกว่านี้แม่จะอุ้มไม่ไหวแล้วนะหืมมม” ว่าจบก็ฝังหน้าลงบนแก้มนุ่ม ๆ ของลูกสาวด้วยความหมั่นเคี้ยว ส่วนคนโดนหอมก็หลับไม่รู้เรื่อง เพราะเหนื่อยจากเล่นที่โรงเรียน เลิกเรียนมาก็มาเล่นกับคุณตาจนเหนื่อย ตอนนี้เธอขอเอาแรงก่อนก็แล้วกัน ตื่นมาค่อยว่ากันอีกที
...
“ท่านประทานคะ” เสียงหวานเอ่ยเรียกคนที่ก้มหน้าอ่านเอกสารอยู่
ส่วนคนโดนเรียกเขาเพียงเงยหน้ามองเล็กน้อยเท่านั้น ก่อนจะก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ บ่งบอกว่าเขารับรู้แล้ว
“เอกสารขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าที่ฉันยื่นไป รบกวนท่านประธานช่วยอนุมัติให้ได้ไหมคะ” หลังจากไปสอบถาม ก็พบว่าทุกฝ่ายอนุมัติแล้ว เหลือแต่เขาคนเดียวเท่านั้น เธอจึงพูดขอร้องเขาอย่างเลี่ยงได้ เพราะจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ
“ผมยังไม่ว่าง” เขาตอบเสียงเรียบ โดยไม่หันมองเธอเลยแม้แต่น้อย
“แต่ฉันจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ ค่ะ” เธอพูดขอร้องเขาอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็หยิบเอกสารที่รออนุมัติขึ้นมาเปิดอ่าน ทว่าความจริงแล้วเขาอ่านมันแล้วต่างหากเพียงแต่ยังไม่อนุมัติ เขาเพียงอยากรู้เท่านั้นว่าเธอจะเอาเงินมากขนาดนี้ไปทำอะไร
“เอาเงินไปทำอะไร”
“พ่อฉันป่วยค่ะ” เธอเลือกบอกเขาไปตามจริง เพราะคิดว่าเขาไม่ใช่คนใจดำอะไร และพอเขาพยักหน้ารับและเซ็นต์อนุมัติให้ เธอก็พูดขอบคุณเขาอย่างดีใจ
“ขอบคุณนะคะ”
“อืม...อีกสองวันจะมีคุยงานกับลูกค้าที่ต่างจังหวัด เตรียมตัวด้วย”
“ฉันต้องไปด้วยหรอคะ”
“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงที่เขาใช้พูด มันเหมือนกับว่าถ้าเธอมีปัญหาสิ่งที่เขาอนุมัติไปก่อนหน้าจะถูกยกอย่างไงอย่างนั้น แล้วเธอจะทำอะไรได้นอกจาก
“ไม่ค่ะ ฉันไม่มีปัญหาอะไร”
“ไม่มีก็กลับไปทำงานได้แล้ว”
“ค่ะ” พูดตอบรับเสร็จก็เดินถอยไปทำงานที่โต๊ะตัวเองต่อ นั่งทำงานไปก็แอบบ่นเขาไป เย็นนี้เธอก็ต้องไปกับเขา งานเปิดตัวโรงแรมที่บริษัทของเขาช่วยออกแบบระบบให้ อีกสองวันเขาก็ยังจะหิ้วเธอไปต่างจังหวัดด้วยอีก เรียกได้ว่าเขาใช้เธอคุ้มเกินคุ้ม ถ้าเขายังใจร้ายไม่อนุมัติคำขอเบิกเงินเดือนล่วงหน้าให้ เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาแล้วนอกจาก เจ้านายหน้าเลือด
“เสร็จรึยัง” คนที่ยืนเคาะหน้าปัดนาฬิกาพูดขึ้น
“ใกล้แล้วค่ะ” คนที่อยู่ในห้องแต่งตัวเอ่ยตอบ เธอก็รีบสุด ๆ แล้ว หน้าเธอก็แต่งเองตั้งแต่อยู่บนรถ มาถึงร้านเธอก็รีบเลือกชุดมาใส่ แต่ติดปัญหาตรงที่เธอไม่ได้มาตัดชุดไว้ก่อน ชุดที่มีมันเลยแน่นเอวติดหน้าอก กว่าจะได้ชุดก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง
“ชักช้า” หลังจากออกมาจากห้องแต่งตัว เสียงเรียบก็พูดต้อนรับ
“ขอโทษค่ะ” ด้วยเพราะขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ จึงยอมรับความผิดแต่โดยดี
ก่อนจะรีบเดินตามหลังเขาไปขึ้นรถ ด้วยวันนี้ต้องออกงานคู่กับเขา(อย่างเลี่ยงไม่ได้) ทำให้เธอต้องมารถคันเดียวกับเขา เพราะเขาบอกว่าถ้าแยกกัน เขากลัวเธอจะช้าแล้วทำให้เขาเสียเวลา
“ทำไมท่านประธานไม่บอกฉันหน่อยล่ะคะว่าคนจะเยอะขนาดนี้ ฉันจะได้แต่งหน้าให้มันดี ๆ กว่านี้” เมื่อเข้ามาในงานแล้ว ชาลิสาก็บ่นอุบในทันที ก่อนจะรีบยกโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกล้องดู ด้วยความไม่มั่นใจ เธอไม่เคยออกงานที่มีคนเยอะขนาดนี้มาก่อน ถึงตอนอยู่ต่างประเทศบริษัทที่เธอทำงานจะเป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่ แต่น้อยครั้งที่เธอจะถูกพาไปงานด้วย เพราะเจ้านายของเธอนั้นมีคู่ควงแล้ว
ส่วนเขา เธอเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเขายังโสดอยู่... ไม่สิ เขาอาจจะมีใครแล้วก็ได้เพียงแต่เธอไม่รู้
“แบบนี้ก็โอเคแล้ว” เขาบอกเสียงเรียบ ก่อนจะแย่งเอาโทรศัพท์เธอมาเก็บไว้ เมื่อมีคนเข้ามาทักทาย โดยที่เธอยังไม่ทันได้เข้าใจคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย ว่าตกลงเขาชมเธอ หรือเขาแค่พูดให้เธอสบายใจ
“สวัสดีครับ”
“ครับ”
“ผู้หญิงคนนี้...”
“เลขาผมน่ะครับ”
“สวัสดีค่ะ” เมื่อเขาพูดแนะนำ เธอก็แนะนำตัวเองต่อในทัน ก่อนบทสนทนาสั้น ๆ จะเริ่มขึ้น และจบด้วยการดื่ม ซึ่งก่อนมาเขาก็บอกเธอก่อนแล้วว่าถ้ามีใครขอชนแก้ว ให้เธอช่วยดื่มแทน เพราะเขาต้องขับรถกลับ
เพราะงั้นทุกครั้งที่มีคนเดินเข้ามาทัก เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เธอจะเป็นคนดื่ม ส่วนเขาก็มีจิบบ้างเล็กน้อย
“ยังไหวรึเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนตัวเล็กข้าง ๆ ที่ตอนนี้หน้าเธอเริ่มแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้ว
“ไหวค่ะ” เธอตอบ แต่ตานั้นหยาดเยิ้มเต็มที
“คุณพอแค่นี้เถอะ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง”
“ไม่ค่ะ ฉันไหว” ยังไม่ทันที่จะคุยกันจบ ก็มีคนเข้ามาทักทายอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นเจ้าของงานที่เข้ามาทักทาย และที่เขาถูกทักบ่อย ๆ นั่นก็เพราะเขาทำบริษัทเกี่ยวกับไอที หลาย ๆ คนที่มางานนี้ก็เคยร่วมงานกับเขา จึงเป็นการพูดคุยทักทายภาษาคนเคยร่วมงานกัน และร่วมงานกันอยู่
“ขอบคุณนะครับ คุณกรช่วยผมได้เยอะเลย”
“ครับ ผมเองก็ขอบคุณเหมือนกันที่เลือกใช้บริการบริษัทผม”
“บริษัทคุณกรมีเชื่อเสียงขนาดนั้น ใคร ๆ ก็อยากร่วมงานครับ ตอนผมเองก็ยังกังวลอยู่เลยว่าจะมีคิวรึเปล่า” ได้ยินแบบนั้น ภรัณยูเพียงส่งยิ้มให้ มันก็เป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า บริษัทของเขาค่อนข้างคิวแน่นเลยทีเดียว
“แล้วคุณกรจะไม่แนะนำเธอให้ผมรู้จักหน่อยหรอครับ”
“เธอเป็นเลขาของผมน่ะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบ ปกปิดความไม่พอใจเอาไว้ เขาชักจะเริ่มหงุดหงิดแล้ว ไม่ว่าคู่สนทนาเป็นใคร ก็มักจะถามถึงหญิงสาวข้างกายของเขาเสมอ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการชนแก้ว ซึ่งครั้งนี้อีกฝ่ายไม่ได้ขอชนกับเขา แต่ขอชนกับเธอแทน
“ท่านประทาน...” เหตุการณ์กลับตาลปัตรเมื่อเขาตัดหน้าชนแก้วเธอเสียอย่างนั้น ทำให้เธอหันมองเขาด้วยความไม่พอใจ ที่เขามาขัดจังหวะแบบนี้ ก่อนจะยกแก้วของตัวเองที่ไม่ถูกชนกับใครขึ้นดื่ม
ส่วนคนที่มองกลับคิดไปอย่างอื่น คิดว่าเธอกำลังไม่พอใจที่ไปขัดจังหวะการสานสัมพันธ์ของเธอ
“ผมว่าเลขาของคุณดูท่าจะไม่ไหวแล้วนะครับ” เมื่อเห็นหญิงสาวยืนเซน้อย ๆ เขาก็พูดขึ้น ก่อนจะเข้าไปประคอง แต่ทว่าถูกภรัณยูตัดหน้าเสียก่อน
“ผมเตรียมห้องไว้ให้ ถ้าคุณกรไม่รังเกียจอะไร พาเธอขึ้นไปพักก่อนก็ได้ครับ” เห็นท่าทีของภรัณยูแล้ว เขาก็รับรู้ในทันที ว่าไม่ใครก็ใครต้องคิดเกินกว่าเจ้านายและลูกน้อง หรือไม่... ทั้งสองคนอาจจะเกินเลยไปกว่านั้นแล้ว ดูจากท่าทางหึงหวงที่พยายามจะเก็บซ้อนของภรัณยู ก็ได้แต่กระตุกยิ้มเบา ๆ เมื่ออีกฝ่ายโอบเอวหญิงสาว แล้วขอตัวไป
