บทที่ 2
ย้อนเวลากลับไปราวสิบปีก่อน อัณณิกากับมารดาย้ายมาจากต่างจังหวัดเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวผอมบาง ท่าทางมอมแมมเพราะก่อนหน้าชอบวิ่งเล่นตากแดดในสวนผลไม้ ไม่ได้ดูน่ารักน่าเอ็นดู เสื้อผ้าที่สวมก็เก่าคร่ำคร่า ไม่ใช่ชุดกระโปรงทรงตุ๊กตาแบบเด็กในวัยเดียวกัน ทว่าเป็นกางเกงขาสั้น เสื้อยืดสีซีด หากไม่มีผมเปียยาวสองข้าง คนก็คงคิดว่าเป็นเด็กผู้ชาย
‘อย่าแกล้งอ้อนนะ!’
อัณณิกายิ้มอ่อนโยนเมื่อนึกถึงภาพในอดีตขณะนั่งรถไปยังคาเฟ่ในรั้วมหาวิทยาลัย เด็กชายใจกล้าคนนั้นตัวผอมเสียยิ่งกว่าเธอ ส่วนสูงน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ยอมแพ้เด็กอันธพาลที่หมั่นแวะเวียนมาข่มขู่เธอในช่วงพักกลางวันของโรงเรียน เขาถูกต่อยตาบวมเพราะตัวเล็กและมาแค่คนเดียว กระนั้นพอคุณครูมาและไล่ให้ทุกคนแยกย้าย หรือไม่ก็ถูกจับไปทำโทษ เขากลับยังยิ้มสดใสให้กับเธอและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเพื่อนบ้านที่น่ารักและใจดีอย่างเขาจะปกป้องเธอเอง
ตอนนี้เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ หุ่นดีแบบนักกีฬา หน้าตาหล่อกระชากวิญญาณ น่ารักจนสาว ๆ ต้องแอบกระซิบกระซาบเวลาเดินผ่าน แต่เขากลับไม่สนใจใคร นอกจากทำตัวติดกับเพื่อนอย่างเธอ
เพื่อนสนิทที่รู้ตัวอีกทีก็เลยเถิดกันไปแล้ว…
“เหนื่อยเหรออ้อน…ขอโทษนะ เมื่อกี้ทำแรงไปหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ขับรถมองทางด้วยสิ เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุหรอก” อัณณิกายังคงอายทุกครั้งที่เขาถามเรื่องเซ็กซ์ แม้ทั้งคู่จะลึกซึ้งกันมานานกว่าสามปีแล้วก็ตาม “แต่ช่วงนี้กิตต์ต้องป้องกันไปก่อนนะ คือช่วงฝึกงานเราไม่ได้กินยาน่ะ”
“อือ เข้าใจแล้ว” เขารับคำ มองถนนตามที่อีกฝ่ายสั่ง
“แล้วที่ไปฝึกงานมาเป็นไงบ้างล่ะ สนุกเปล่า? ไม่ใช่ว่าสาว ๆ เศร้าใหญ่เลยเหรอที่กิตต์กลับมากรุงเทพช่วงวันหยุดน่ะ”
“ก็มีบ้างแหละ กิตต์หล่อแล้วก็น่ารักขนาดนี้” ดนัยกิตต์ยิ้มเอาใจเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้เธอผิดเวลานัดกับเพื่อน “เสียดายที่เราไม่ได้ไปฝึกงานด้วยกัน ไม่งั้นคงสนุกกว่านี้แน่เลย”
“เรียนคนละคณะจะไปด้วยกันได้ไง ถึงไปได้ก็ไม่ควรหรอก แค่นี้คนอื่นก็แซวแล้วว่าเราสองคนไม่ใช่แค่เพื่อนกัน”
“ไม่ต้องสนใจหรอก เราสองคนรู้ว่าเราเป็นอะไรกันก็พอแล้ว อีกอย่างเราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้มีแฟนแล้วนอกใจเหมือนพวกที่ชอบพูด”
ดนัยกิตต์รู้ว่าเพื่อนในกลุ่มของเธอคนหนึ่งสอดรู้สอดเห็นและพยายามหาหลักฐานว่าทั้งคู่นั้นเป็นมากกว่าเพื่อน ซึ่งเขาเองก็ไม่ชอบที่มันเป็นแบบนั้นนัก
“ไม่เห็นต้องแซะคนอื่นเลย แล้วกิตต์จะไปไหนต่อหรือเปล่า มีนัดกับใครที่ไหนไหม” อัณณิกาเห็นเขาเหม่อลอยจึงถามซ้ำอีกครั้ง
“ถ้ากิตต์มีนัดเรากลับเองก็ได้นะ ไม่ต้องมารับหรอก”
“ไม่มี ๆ เดี๋ยวกิตต์ไปเดินเล่นห้างแถวนี้แหละ อ้อนเสร็จธุระกับเพื่อนแล้วโทรตามได้เลยนะ” เขามองซ้ายขวาครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็รีบหอมแก้มของอีกฝ่ายเร็ว ๆ ก่อนกระซิบประโยคที่ทำให้คนฟังหน้าแดง “กิตต์จะไปซื้อถุงยางรอ คืนนี้ขอจัดหนักทิ้งท้ายหน่อยนะ เดี๋ยวจะไม่ได้เจอกันอีกตั้งสองเดือน”
“กิตต์!”
“ไม่รู้แหละ บอกน้าชมไว้แล้วว่าคืนนี้ยืมตัวอ้อน แล้วน้าชมก็อนุญาตแล้วด้วย”
ดนัยกิตต์อ้างว่าต้องจัดการเรื่องใบสมัครสำหรับยื่นขอทุนจึงขออนุญาตกลับช้ากว่าสองทุ่ม ซึ่งคุณแม่ของอัณณิกาก็อนุญาตและอวยพรให้ได้ทุนการศึกษาด้วยกันทั้งคู่
“แต่กิตต์เขียนเสร็จไปตั้งแต่เมื่อคืน…”
“หรืออ้อนไม่อยากให้กิตต์กอดแล้ว” ดนัยกิตต์ยิ้มล้อเลียนคนที่ยังบ่นไม่เลิก “แต่เมื่อเช้าดูเหมือนไม่ใช่นะ…”
ชายหนุ่มคงได้แซวอีกหลายประโยคหากเพื่อนสนิทของเขาไม่ปิดประตูรถเสียก่อน เธอแลบลิ้นใส่ก่อนวิ่งไปยังคาเฟ่ที่เพื่อน ๆ น่าจะนั่งรออยู่ และคงต้องกล่าวคำขอโทษที่มาสายไปเกือบชั่วโมง เพราะตัวต้นเหตุอย่างเขาที่เอาแต่ใจตัวเองไม่เลิก
ความจริงดนัยกิตต์ไม่ใช่ผู้ชายมักมาก แต่กับอัณณิกาเขาเห็นเธอแล้วอยากกอดตลอดเวลา อยากอยู่ใกล้ ๆ ทุกนาที ยิ่งช่วงสองเดือนที่ผ่านมาไม่ได้เจอกันเพราะต้องแยกย้ายไปฝึกงาน กอปรกับมีเรื่องกวนใจ เขายิ่งอยากอยู่ข้าง ๆ เธอเพื่อที่หัวใจจะได้เข้มแข็งและไม่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นเมื่อหลายปีก่อน
ดนัยกิตต์เคยอกหักและเจ็บปวดแทบบ้า หากไม่ได้อัณณิกาอยู่เคียงข้างกัน คอยตามใจและปลอบโยนอย่างอ่อนหวาน ไม่ขัดใจเขาที่ดื่มไปไม่น้อย…จริง ๆ เธอก็ปฏิเสธแล้วนั่นแหละ แต่เป็นเขาเองที่มือไวไม่หยุด แตะต้องเธอในจุดอ่อนไหว ออดอ้อนขอกำลังใจเป็นอ้อมกอดที่ยังอบอุ่นจนถึงทุกวันนี้
อัณณิกาเติมเต็มทุกความต้องการของเขา หัวใจของเขาบอกเช่นนั้นจนกระทั่งมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับคนในอดีตอีกครั้ง
“ที่กิตต์ทำมันถูกต้องแล้วใช่ไหม?”
อดีตที่ว่านั้นทำให้ดนัยกิตต์ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าควรจะทำอย่างไรกับความสัมพันธ์ลับ ๆ นี้ต่อไป
