บทที่ 11
หลายสัปดาห์ก่อนดนัยกิตต์เจอกับเพื่อนของอัณณิกาในบาร์ที่อยู่ไม่ห่างจากที่ทำงานมากนัก จึงทักทายกันตามมารยาท คุยไม่นานก็ได้ข่าวว่าปกป้องตามจีบ ‘เพื่อนสนิท’ ของเขาอย่างไม่ลดละ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ต้องพาไปดูหนังฟังเพลง เดาว่าคงคบกันแล้วแต่ยังไม่พร้อมที่จะบอกใคร
เขาไม่เชื่อจนกระทั่งได้ยินจากปากของอัณณิกา
“เรื่องนี้แหละที่เราว่าจะปรึกษากิตต์ ป้องขอเราเป็นแฟน แต่เราไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ถ้าเรียนจบแล้วป้องทำงานต่างจังหวัดก็คงคุยกันต่อยาก คือเราไม่ค่อยเชื่อเรื่องรักทางไกลน่ะ” นอกจากจะไม่ได้ปรึกษาเรื่องสำคัญแล้ว อัณณิกายังต้องโกหกเขาด้วยว่าเธอกับปกป้องตัดสินใจที่จะเป็นมากกว่าเพื่อน ทั้งหมดนี้ก็เพราะเขาคบหากับเพียงขวัญ
“แล้วใจคิดว่ายังไงล่ะ”
“ก็ว่าจะรอดูก่อนว่าป้องได้งานที่ไหนแล้วค่อยคุยกันอีกที…ห้าทุ่มกว่าแล้ว กิตต์ไปเตรียมตัวรอขวัญมารับเถอะ เราไม่กวนแล้ว”
“อือ” ดนัยกิตต์มองตามหญิงสาวที่เดินจากไป อยากบอกเธอว่าฝันดีอย่างที่เคย แต่กลับพูดไม่ออก ได้แต่เดินกลับเข้าบ้านไปพร้อมกับความสับสนที่เพิ่มมากขึ้นทุกนาทีที่ได้อยู่ใกล้อัณณิกา
ทว่าคนที่สับสนและเสียใจยิ่งกว่ากลับเป็นคนที่เพิ่งจะกลับเข้ามาในบ้านข้าง ๆ กัน ใบหน้าของเธอเปื้อนยิ้มจอมปลอมที่ใช้หลอกเขาว่าตัวเองมีความสุข แต่หยาดน้ำสีใสที่ไหลเป็นสายนั้นเฉลยความรู้สึกที่ซ่อนไว้ทั้งหมด และหลังจากนั้นไม่ถึงสิบห้านาที เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดยามค่ำคืน เธอชะเง้อมองด้วยความอยากรู้ พบว่าเป็นเพียงขวัญที่มารับเขาไปข้างนอก จากที่แค่ร้องไห้เบา ๆ จึงเปลี่ยนเป็นร้องไห้โฮ ไหล่บางสั่นสะท้านเพราะความเสียใจ จนคนที่แอบมองอยู่ในความมืดทนเฉยไม่ได้อีก
“อ้อน ไหวไหมลูก” เสียงหวานเศร้าถามขึ้นหลังจากเปิดไฟในห้องรับแขกและพบว่าลูกสาวกำลังร้องไห้เสียใจ ซึ่งเป็นภาพที่เธอไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้ว
“แม่…” อัณณิกาโผกอดมารดาก่อนร้องไห้อย่างกลั้นไม่อยู่ ความเข้มแข็งที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้หายไปหมด เหลือเพียงน้ำตาที่ประจานความเจ็บปวดจากรักครั้งแรก หัวใจของเธอถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดว่าสักวันหนึ่งเขาจะมีใคร แต่พอมันเกิดขึ้นแล้วกลับทรมานจนไม่รู้ว่าจะก้าวผ่านความรู้สึกเลวร้ายนี้ได้อย่างไร
“แม่ อ้อนเจ็บจังเลยค่ะ อ้อนเจ็บตรงนี้ เจ็บมากเลยนะแม่ ฮือ ฮือ” อัณณิกาทุบอกเบา ๆ น้ำมูกน้ำตาไหลจนคนเป็นแม่แทบร้องไห้ตาม แต่ก็ต้องกัดฟันอดทนเพื่อเป็นที่พึ่งให้กับลูกสาวที่กำลังหัวใจแตกสลาย
“ไม่เป็นไรนะอ้อน กิตต์เขาไม่รักเราก็ไม่เป็นไร อยากร้องไห้แค่ไหนก็ร้องเลย แม่จะอยู่ตรงนี้กับหนู คอยดูแลหนูเองนะลูก”
“แม่รู้ด้วยเหรอคะ?” เธอถามพลางสะอื้น
“อ้อนเป็นลูกสาวคนเดียวของแม่นะ แม่จะไม่รู้ได้ยังไงว่าหนูกับกิตต์ไม่ใช่แค่เพื่อนสนิทธรรมดา”
“อ้อนขอโทษนะคะแม่ อ้อนไม่ได้ตั้งใจทำให้แม่ผิดหวัง…”
“แม่ต่างหากที่ทำให้อ้อนผิดหวัง ถ้าแม่เป็นแม่ที่ดีกว่านี้ อ้อนก็คงไม่ต้องเครียดอยู่คนเดียว แล้วนี่ทะเลาะกันตั้งแต่ครั้งก่อนที่กิตต์กลับมาบ้านใช่ไหม”
“ไม่ได้ทะเลาะค่ะ กิตต์เขากลับไปคบกับแฟนเก่า แล้วบอกว่าคงสนิทกันเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้…”
ชมเนตรอยากถามว่าสนิทกันเหมือนเมื่อก่อนหมายความว่าอย่างไร แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาคาดคั้นเอาความจริง ความรู้สึกของลูกต่างหากที่สำคัญมากที่สุด
“แล้วอ้อนจะเอายังไงต่อ”
“อ้อนไม่อยากเห็นหน้ากิตต์แล้วแม่ ไม่ได้โกรธหรือเกลียดนะคะ แค่ทนมองไม่ไหว เห็นแล้วใจมันเจ็บไปหมดเลย”
“งั้นไปเก็บกระเป๋าเดี๋ยวนี้เลย เอาเสื้อผ้ามาสักสามสี่ชุดก็พอ ขาดเหลืออะไรเดี๋ยวเราสองคนไปหาซื้อเอาข้างหน้าก็ได้”
“แม่จะพาอ้อนไปไหนคะ”
“เด็กสมัยนี้ไม่รู้แล้วหรือไง ว่าถ้าอกหักต้องไปทะเล ไปเก็บของได้แล้ว เดี๋ยวแม่ขอดูตารางงานสักสิบนาทีแล้วจะตามไป”
อัณณิกาพยักหน้าหงึก ๆ หันหลังเข้าห้องไปเก็บกระเป๋าตามคำสั่งอย่างงง ๆ แต่พอก้าวไปไม่กี่ก้าวก็วิ่งปราดกลับมากอดผู้ให้กำเนิดแน่น และรู้สึกในทันทีว่าความเสียใจที่ถาโถมเข้ามาตอนแรกลดลงอย่างน่าอัศจรรย์
“ขอบคุณนะคะ”
อ้อมกอดของมารดาคือยารักษาแผลใจที่ดีที่สุดแล้ว
