บทที่3.ความลับยังไม่แตก..
เธอฝึกเด็กสองคนนี้ด้วยมือตัวเองนี่นา
ตั้งแต่แรกเกิดจนบัดนี้ ไม่มีสักครั้งที่ลูกของเธอจะทำให้เสียใจ
ความฉลาดที่ถ่ายถอดมาทางสายเลือดนั่น บางครั้งก็ทำให้เธอปวดหัวไม่ใช่น้อย แต่เธอก็ทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูทั้งสองชีวิตจนถึงทุกวันนี้ โชคร้ายแค่นิดเดียวที่บิดา มารดาของเธออยู่ไม่ถึงวันที่ลูกของเธอเติบโต
เธอเป็นลูกที่ไม่รักดี ทำเรื่องงามหน้าให้บิดา มารดาตรอมใจ
หลายปีมานี่ม่านไหมเลยพยายามอย่างหนัก ในที่สุดความพยยามของเธอก็ประสบความสำเร็จ บ้านและโรงงานขนาดเล็กของพ่อ เธอไถ่ออกมาจากนายทุนหน้าเลือดนั่นเรียบร้อยแล้ว
“ริท ไหนบอกว่าหิวไงลูก?” ม่านไหมปาดน้ำตาหันไปถามบุตรชาย
เด็กชายหันหน้ามาส่งยิ้มแป้นให้ แล้วก็รีบสะบัดมือเดินตรงมานั่งบนเก้าอี้ ข้างโต๊ะอาหาร มีเด็กหญิงตามมาไม่ห่าง
พอนั่งประจำที่ โรซีเป็นฝ่ายเริ่มกินก่อน ม่านไหมพยายามไม่ใส่ใจท่าทางระแวงของบุตรสาว เธอย้ำกับตัวเองตลอด เธอไม่ควรกดดันจนลูกๆ พวกเขาไม่ไว้ใจ เพราะวันไหนที่เขาต้องการที่พึ่ง เขาจะไม่มาหาเธอ
“ชอบไหมคะโรซี ถ้าชอบ วันหลังมัมจะทำให้กินอีกครั้งค่ะ” เธอชวนคุยเพื่อผ่อนคลายความอึดอัด
“ชอบค่ะ กับข้าวฝีมือมัมอร่อยทุกอย่างเลยค่ะ” เด็กหญิงพูดประจบ ฉีกยิ้มจนเด็กชายต้องรีบพูดสอด ไม่อย่างนั้นคะแนนความรักของมารดาจะเทไปที่น้องสาว
“ริทก็ชอบครับ ฝีมือมัมอร่อยที่สุดในโลก”
ม่านไหมอมยิ้ม ยกมือโยกศีรษะบุตรชาย ความอึดอัดคลี่คลายลง เริ่มมีเสียงหัวเราะและเสียงคุย
ริโอเดินหมุนเป็นวงกลม เขาเผ่นออกมาจากห้องประชุมหลังคิดวิธีตามหาเด็กปริศนาสองคนนั่นได้
“มาพอดี เอาเบอร์นี่ไปให้ฝ่ายไอทีบริษัทตามหาแหล่งที่มาให้หน่อยสิ” ริโอล้วงโทรศัพท์ของตัวเองส่งให้ฌอนที่เพิ่งวิ่งหน้าตั้งตามมา
“ครับ” ฌอนรับคำสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อบรรเทาความเหนื่อย
“สิบนาทีพอไหม?” คำถามต่อมาเกือบทำให้เขาสำลักลมหายใจ
“เจ้านายครับไอทีบริษัทไม่ใช่แฮกเกอร์หรือหน่วยFBI นะครับ จะได้มีหน่วยข่าวกรองทั่วโลก” ฌอนแย้ง เวลาแค่สิบนาทีจะไปทำอะไรได้ ต่อให้เป็นแฮกเกอร์มือดีก็ยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง
“สามสิบนาที มากกว่านั้น เตรียมหางานใหม่ได้เลย” ริโอพูดเป็นคำขาด ฌอนยกมือปาดเหงื่อรีบวิ่งหน้าตั้งตรงไปยังแผนกไอที ไม่อย่างนั้นคงสะเทือนทั้งบริษัท
เวลาครึ่งชั่วโมงเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เข็มนาฬิกากว่าจะกระดิกได้ เขาหายใจทิ้งเกือบสิบรอบ
“ตามรอยปลายทางแค่นี้ ต้องใช้เวลานานขนาดนี้เชียวเหรอวะ!”
ริโอบ่นพึมพำ ใจจดใจจ่อรอเวลาที่ฌอนจะกลับมา เขาใจร้อนเป็นไฟ อยากรู้ปริศนาที่เด็กสองคนนั่นทิ้งไว้ อะไรทำให้เด็กนั่นมั่นใจหนักหนาว่าเขาไม่มีทางตามรอยเจอ
ฌอนหน้าซีดเดินปาดเหงื่อมาแต่ไกล
ริโอถลาเข้าไปหา “ว่าไง ได้เรื่องไหมวะ?”
ลูกกระเดือกฌอนวิ่งพล่าน เขากลืนน้ำลายหนืดๆ ลงคอ พยายามเรียบเรียงคำพูดที่ฟังแล้วไม่ระคายหูเจ้านาย ไม่อย่างนั้น วันนี้ทั้งวันคงเขาเหมือนตกลงไปในกองไฟ
เอาไงดีละ จะตอบแบบไหนถึงดีที่สุดฌอนคิดไม่ตก หากพูดความจริง วันนี้ทั้วันริโอคงไม่เป็นอันทำงาน เขารู้อยู่แก่ใจดี เวลานี้เจ้านายใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องไหน แต่หากตอบตามตรง ความผิดหวังอาจทำให้ริโอคลุ้มคลั่ง
“คือ” ฌอนกระอึกกระอัก
“บอกความจริงมาเลยฌอน แกก็รู้ฉันอยากรู้จะขาดใจแล้ว แม่มคาใจฉิบหาย”
ริโอบ่นอุบ กระวนกระวายจนเก็บอาการไม่อยู่ ไม่สมกับเป็นท่านประธานที่มีแต่คนเกรงขามสักนิด
“เจ้านายใจเย็นก่อนนะครับ”
“หมายความว่าไงวะฌอน?” ริโอถามเสียงแข็ง ตาเริ่มขวาง
“คือ” ฌอนพยายามเรียบเรียงคำพูดในใจ “คนของเราตามรอยได้พอสมควรครับ”
ริโอขมวดคิ้ว “คืออะไรวะ ตามรอยได้ก็ดีไง สรุปเด็กนั่นอยู่ที่ไหนวะ?”
“สัญาณนั่นหายไปก่อนที่พวกเราจะรู้ตำแหน่งที่ชัดเจนครับเจ้านาย”
“หือ สัญญานหาย หมายความว่าไงแน่เอาชัวร์ๆ สิวะฌอน” เสียงริโอเข้มขึ้น ตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
“เรารู้แค่ว่า สัญญานโทรศัพท์นั่นมาจากที่ไหน แต่ไม่รู้จุดที่ชัดเจนครับ”
“ก็ยังดี แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ?” ริโอถามต่อ
“อยู่ที่ประเทศไทยครับ เจ้านาย” ฌอนตอบแล้วก็รีบก้มหน้าหลบสายตาคาดคั้น