บทที่ 4 จอมโจรเด็ดบุปผา
บทที่ 4
จอมโจรเด็ดบุปผา
คล้อยหลังจากที่ท่านหมอเดินจากไป บรรยากาศหน้าห้องของเย่ปิงปิงพลันร้อนระอุด้วยความเคร่งเครียด จ้าวเว่ยผู้เป็นพี่สาวของมารดาเย่ปิงปิงมองมาทางองค์รัชทายาท และเย่ม่านด้วยความไม่พอใจ ในสายตาฮูหยินใหญ่ของจวนตระกูลไป๋มีความเคลือบแคลงใจฉายชัด
นางเป็นถึงฮูหยินตราตั้งและยังมีศักดิ์เป็นท่านป้า ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของเย่ปิงปิง จึงมิใคร่พอใจที่ว่าที่คู่หมั้นของหลานสาวกระทำการที่เป็นการหยามหมิ่นเช่นนี้
“เชิญองค์รัชทายาทเสด็จไปคุยที่ห้องรับรองดีกว่าเพคะ เรายังมีเรื่องที่ต้องเจรจากันอีกมากมายนัก”
“อืม”
กงหนิงหลงเดินตามไปที่ห้องรับรองของเรือนเสวี่ย หัวคิ้วทั้งสองขมวดมุ่นจนแทบเป็นปม เพราะปัญหาครานี้เกรงว่าเขาอาจจะต้องเสียเย่ปิงปิงไป ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เขาไม่ปรารถนา
หลังจากที่ทุกคนนั่งกันที่เก้าอี้ไม้เรียบร้อยแล้ว จ้าวเว่ยก็ไม่รอช้าที่จะพูดเรื่องที่สำคัญทันที
“วันนี้ข้าได้รับจดหมายจากปิงเอ๋อร์ให้มาหานางที่จวน แต่ในตอนที่ข้าเดินผ่านศาลากลับพบว่าองค์รัชทายาทกับเย่ม่านกำลังจูบกันอย่างดูดดื่ม โดยไม่เกรงสายตาผู้ใดเลย นี่ยังดีที่เป็นข้าที่มาเห็นเองกับตา หากเป็นปิงเอ๋อร์ของข้า นางคงปวดใจมากที่ว่าที่คู่หมั้นกับน้องสาวกระทำการลับหลังนางเช่นนี้”
“จริงหรือม่านเอ๋อร์”
ลู่เมิ่งหันขวับมามองบุตรสาวด้วยความตกใจ เหตุใดบุตรสาวของนางถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้ หากจะหว่านเสน่ห์องค์รัชทายาทก็อย่าให้ผู้ใดจับได้สิ!
“มันเป็นอุบัติเหตุเจ้าค่ะท่านแม่ ลูกกำลังจะล้ม องค์รัชทายาทเลยช่วยลูกไว้เจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ข้าเพียงช่วยประคองคุณหนูรองเท่านั้น ไป๋ฮูหยินอย่าได้พูดเรื่องนี้อีกเลย มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
กงหนิงหลงยังคงยืนกรานตามเดิม
“แต่ที่หม่อมฉันเห็นไม่ใช่เช่นนั้นนะเพคะ ในเมื่อพระองค์ล่วงเกินเย่ม่านแล้ว พระองค์ก็ควรจะรับผิดชอบนางนะเพคะ”
“หมายความว่าอย่างไร”
กงหนิงหลงตวัดสายตาขุ่นมองมาด้วยความไม่พอใจ
“เปลี่ยนตัวคู่หมั้นจากปิงเอ๋อร์ของข้าเป็นคุณหนูรองเย่ม่านแทนอย่างไรเล่าเพคะ”
คำกล่าวของจ้าวเว่ยทำให้ทั้งห้องพลันเงียบสงัดด้วยความตกตะลึง
“ไม่!! ข้าจะแต่งกับคุณหนูใหญ่เย่เท่านั้น”
กงหนิงหลงแผดเสียงตวาดกร้าวขึ้นมาทันใด เขาไม่มีวันยอมให้เปลี่ยนตัวคู่หมั้นเพียงเพราะเรื่องในวันนี้หรอก
“รอให้หม่อมฉันถวายฎีกายื่นเรื่องนี้ให้ฝ่าบาททรงทราบก็ได้เพคะ”
“นี่เจ้ากล้าขู่ข้าเช่นนั้นหรือ”
เขากัดฟันกรอดมองจ้าวเว่ยด้วยสายตาขุ่น อยากจะฉีกทึ้งร่างกายของนางให้แหลกสลาย หากอยู่ในสนามรบเขาคงคว้าดาบมาฟันปากพล่อย ๆ ของจ้าวเว่ยไปแล้ว
“ไป๋ฮูหยินโปรดอย่าก้าวก่าย ข้ารู้ดีว่าท่านเป็นห่วงปิงเอ๋อร์ แต่เรื่องในวันนี้จวนตระกูลเย่จะเป็นคนตัดสินใจเอง”
ลู่เมิ่งออกหน้าขึ้นมาทันที นางเองก็ไม่พอใจที่เรื่องในตระกูลมีคนอื่นเข้ามาสอด ถึงอย่างไรนางก็เป็นนายหญิงของจวน
“ข้าเองก็ไม่ได้อยากยุ่ง หากไม่ใช่เพราะข้ามาเห็นเองกับตา เอาเถอะในเมื่อเย่ฮูหยินเอ่ยเช่นนี้ คงต้องรอให้ท่านแม่ทัพเย่เป็นคนตัดสินเรื่องราวในวันนี้เองแล้วล่ะ”
“ดีเจ้าค่ะ”
เรื่องในวันนี้จึงจบลงที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไป ส่วนการตัดสินใจนั้นต้องรอให้เย่ตงจื่อกลับมาจากสนามรบเสียก่อนว่าเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี
เย่ปิงปิงลืมตาตื่นขึ้นมาในยามห้าย (21.00 – 22.59 น.) ภายในห้องมีเพียงแสงสว่างจากเชิงเทียนเท่านั้น นางกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะรู้สึกว่ามีเงาดำอยู่ที่ปลายเตียง จมูกโด่งสวยยังได้กลิ่นเลือดโชยออกมาด้วย
“นั่นใคร!!”
เงียบ...ไม่มีเสียงใดดังลอดออกมา มีเพียงเสียงสวบสาบที่ดังขึ้นจากการขยับตัวของเงาดำ เมื่อมองดูแล้วเงาดำนั้นคงจะเป็นบุรุษเพราะร่างกายสูงใหญ่กำยำ
เย่ปิงปิงเริ่มหวาดกลัวในหัวใจ
“คะ อุ๊บ!!”
เย่ปิงปิงกำลังร้องให้คนช่วย แต่เงาดำสายนั้นกลับตรงเข้ามาปิดปากนาง ฝ่ามือของเขานั้นหยาบกระด้างนัก กลิ่นอายของบุรุษเพศและกลิ่นเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่วโพรงจมูกของเย่ปิงปิง
“ชู่! ขออภัยเจ้าด้วย ข้าขอหลบภัยเพียงชั่วครู่แล้วจะรีบจากไปทันที”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วเบา เสียงของเขาฟังแล้วช่างอ่อนแรงยิ่งนัก
“อ่อยอ้าอะ” (ปล่อยข้านะ)
“หากเจ้าสัญญาว่าจะไม่ตะโกนให้คนเข้ามาในห้องนี้ ข้าก็จะปล่อยเจ้า”
เย่ปิงปิงกลอกตามองบนกับการกระทำของบุรุษปริศนาตรงหน้า นางมีทางเลือกอื่นด้วยหรือ? เย่ปิงปิงได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ด้วยความจำยอม
เมื่อเขาเห็นว่านางดูว่าง่ายจึงได้ค่อย ๆ คลายมือออก แต่เย่ปิงปิงกลับรีบลุกขึ้นแล้วร้องตะโกนออกมาทันที
“ช่วย...”
“เจ้า!!”
เขารีบคว้าร่างของนางให้นอนลงกับที่นอน ร่างสูงทาบทับตามลงมาทันที เย่ปิงปิงเองก็ไม่ยอมแพ้ นางใช้เล็บเรียวยาวที่ตัดแต่งมาอย่างดีข่วนหน้าของชายผู้นั้นเต็มแรง
คนทั้งสองต่างสู้กันนัวเนียอยู่บนที่นอน เขาสบถออกมาด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะตัดสินใจจับล็อกมือเล็กที่พยายามข่วนเขาจนได้เลือด
“ปล่อยข้านะ เจ้า...อุ๊บ!”
เขาไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้ประกบริมฝีปากลงมาเพื่อปิดปากนาง จากคราแรกตั้งใจแค่ให้นางหยุดร้อง แต่กลับกลายเป็นเขาที่พึงใจกับสัมผัสอ่อนนุ่มละมุนที่ริมฝีปากนี้เสียอย่างนั้น
เย่ปิงปิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
จูบแรกของนาง!!
ถูกคนผู้นี้ช่วงชิงไปเสียแล้ว เย่ปิงปิงพยายามดิ้นขลุกขลักให้หลุดพ้นจากกำแพงหนาที่กักขังนาง เมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลจึงได้กัดริมฝีปากของเขาที่กล้าล่วงเกินนางเสีย
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วโพรงปากเล็กของคนทั้งสอง
เขารู้สึกเจ็บแปลบจึงคิดอยากแกล้งนางคืนบ้าง ลิ้นร้อนชื้นกวาดต้อนไล่ชิมความหวานของคนใต้ร่าง และยังแกล้งขบเม้มที่ริมฝีปากของนางจนบวมเจ่อ กว่าเขาจะตัดใจยอมผละริมฝีปากออกห่าง ร่างกายของเย่ปิงปิงก็อ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ข้าขอโทษ”
เย่ปิงปิงที่ได้รับอิสระรีบกอบโกยลมหายใจเข้าไปเต็มปอด นางมองเขาตาเขียวขุ่นด้วยความโกรธเคือง
“ออกไป!”
“ได้...อึก”
เขากำลังจะลุกจากไป เพราะมั่นใจว่าคนที่ไล่ล่าเขามันคงไปไกลแล้ว แต่เขาได้รับบาดเจ็บและเสียเลือดมาก จึงได้ล้มฟุบลงมาทับร่างของเย่ปิงปิง
“นี่เจ้า ออกไปเลยนะ”
เย่ปิงปิงดันใบหน้าของเขาให้ออกจากลำคอขาวผ่องของนาง แต่ไร้การตอบรับกลับมา เมื่อนางมองให้ดีจึงเห็นว่าเขาสลบไปแล้ว
“โอ๊ย นี่เจ้าจะทรมานข้าไปถึงไหนกันเนี่ย”
เย่ปิงปิงผลักร่างของเขาให้นอนกลิ้งไปด้านข้าง นางลุกขึ้นนั่งแล้วพิจารณาบุรุษที่บุกรุกเข้ามาในห้องนอนของนาง ใบหน้าคมคายที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าคลุมหน้าสีดำ ทำให้เย่ปิงปิงตกใจเสียยิ่งกว่าที่เขาขโมยจูบแรกของนางไปเสียอีก
“ชินอ๋องกงซ่างเหว่ย!! เหตุใดถึงเป็นท่าน?”
เย่ปิงปิงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่นางจะนึกถึงเหตุการณ์ในชาติก่อน ครานั้นจำได้ว่าเคยมีข่าวลือว่าชินอ๋องลอบเข้าไปยังจวนขุนนาง แล้วถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หลังจากนั้นข่าวลือก็จางหายไป
เมื่อข่าวลือซาลง ชินอ๋องก็มาปรากฏกายอีกครั้ง ในวันที่กองทัพเคลื่อนขบวนกลับมาจากการทำศึกกับแคว้นข้างเคียง ในวันนั้นมีท่านพ่อกับท่านพี่ของนางอยู่ในขบวนด้วย นางยังจำได้ดีว่ากองทัพของชินอ๋องยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงใด
เย่ปิงปิงรู้สึกปวดหัวยิ่งนัก นางจะปล่อยให้ชินอ๋องมาตายที่ห้องของนางก็ไม่ได้ แต่จะเรียกให้คนมาช่วยก็ไม่ได้อีก หากมีข่าวลือว่านางลักลอบพบกับชินอ๋อง คงได้มีเรื่องน่าปวดหัวตามมาอีกเป็นแน่
หญิงสาวลุกขึ้นไปหยิบผ้าคลุมมาคลุมร่างกายของตนเอง แล้วเดินไปเรียกซีซีที่อยู่ห้องด้านข้างของบ่าวรับใช้คนสนิท
“ซีซี ซีซี”
“เจ้าคะคุณหนู” ซีซีงัวเงียปรือตาขึ้นมามองด้วยความง่วงงุน
“ข้าเผลอทำมีดบาดมือตัวเองน่ะ เจ้าช่วยไปเอาน้ำอุ่นกับอุปกรณ์ทำแผลมาให้ข้าได้หรือไม่”
ซีซีพลันตื่นเต็มตาด้วยความตกใจ
“ไหนเจ้าคะ ให้บ่าวไปตามท่านหมอมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ ๆ แผลไม่ได้ลึกมาก เดี๋ยวข้าจะทำแผลเอง เจ้าช่วยไปเงียบ ๆ หน่อยนะ”
“เจ้าค่ะ”
เย่ปิงปิงรอไม่นานก็ได้ยินเสียงเรียกหน้าห้องของซีซี นางลุกเดินไปเปิดประตูแล้วนำกล่องทำแผลเข้ามา โดยไม่ได้ให้ซีซีเข้ามาด้วย
“เจ้ากลับไปนอนเถอะ หากมีอะไรข้าจะไปเรียกเจ้าเอง”
“จะดีหรือเจ้าคะ ให้บ่าวทำแผลให้คุณหนูดีหรือไม่เจ้าคะ”
ซีซียังคงลังเล นางเป็นห่วงเย่ปิงปิงมาก
“ไม่เป็นไร แผลแค่นี้ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าไปนอนเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ซีซีคารวะเย่ปิงปิง แล้วเดินกลับไปยังห้องพักของตน
หญิงสาวเดินกลับมาที่ห้อง เย่ปิงปิงยืนมองชินอ๋องด้วยความหงุดหงิดและรำคาญใจ เขาช่างเป็นบุรุษที่ทำให้นางปวดหัวเสียจริง
เย่ปิงปิงตรวจสอบบาดแผลของเขา พบว่าเขาถูกดาบแทงที่ท้องน้อย เลือดออกเยอะมากจนน่าหวาดหวั่น นางถอดเสื้อของเขาออก แล้วเอาสุราที่เก็บไว้ในห้องมาเทฆ่าเชื้อให้กับเขา
“อึก!!”
กงซ่างเหว่ยสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแสบตรงบาดแผล สติของเขาจึงพลันกลับคืนมา กงซ่างเหว่ยปรือตาขึ้นมามองเห็นว่าเป็นนางที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำแผลให้เขาอยู่นั่นเอง
“บาดแผลลึกมากเลยนะเนี่ย คงทำได้แค่ห้ามเลือดก่อนเท่านั้น”
หญิงสาวพึมพำออกมาเสียงเบา แล้วจึงหยิบยาห้ามเลือดในขวดหยกมาโรยที่บาดแผลของเขา เวลาผ่านไปยังไม่ทันน้ำชาในถ้วยคลายร้อนลง เลือดสีแดงสดพลันหยุดไหลแล้ว เย่ปิงปิงจึงหันไปหยิบขวดยาที่ช่วยสมานบาดแผลมาโรยที่บาดแผลให้เขาอีกครั้ง
ดวงตากลมโตพลันเงยหน้าขึ้นมาสบกับดวงตาคมกริบของกงซ่างเหว่ย
“ฟื้นแล้วหรือเพคะชินอ๋อง”
“เจ้ารู้จักข้าหรือ”
กงซ่างเหว่ยมั่นใจว่าเขาไม่เคยพบหน้านางมาก่อน เหตุใดนางถึงรู้ตัวตนของเขากันเล่า
“หม่อมฉันเป็นถึงบุตรสาวของท่านพ่อ ผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นลั่วหยาง จะไม่รู้จักใบหน้าของเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์เลยหรือเพคะ”
“อ้อ ขอบใจเจ้ามากคุณหนูเย่”
“จะเป็นการดีกว่านี้ถ้าพระองค์ไปให้ท่านหมอเป็นผู้รักษานะเพคะ”
“เข้าใจแล้ว”
“พระองค์ลุกขึ้นนั่งไหวไหมเพคะ หม่อมฉันจะพันแผลไว้ให้ก่อนเพคะ”
กงซ่างเหว่ยมองหน้าเย่ปิงปิงนิ่ง ก่อนจะพยายามขยับกายลุกขึ้นนั่ง
เย่ปิงปิงหยิบผ้าพันแผลออกมา แล้วพันรอบหน้าท้องแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของชินอ๋องด้วยความประหม่าเล็กน้อย ตั้งแต่ชาติก่อนและชาตินี้นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นบุรุษเปลื้องผ้า และใกล้ชิดเขาถึงเพียงนี้ เพราะต้องจับปลายผ้าให้พันรอบท้องของเขา นางจึงต้องแนบชิดกับเขาไปด้วย ลมหายใจอุ่นร้อนของบุรุษเพศรินรดถูกใบหน้าของนางโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เอ่อ...เสร็จแล้วเพคะ”
กงซ่างเหว่ยลอบยิ้มขำ คราแรกนางยังทำท่าทางไม่หวั่นเกรงเขาอยู่เลย แต่มาตอนนี้กลับเขินอายเขาเสียอย่างนั้น
‘ช่างน่าเอ็นดูนัก’
“ขอบคุณเจ้ามาก ข้ารบกวนเจ้ามามากพอแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน และขอโทษที่ล่วงเกินเจ้าไปด้วยเล่า”
เย่ปิงปิงมึนงงกับคำว่าขอโทษจากเชื้อพระวงศ์ชาย ก่อนที่นางจะคิดได้ว่าเขาหมายถึงตอนที่จูบนางไปนั่นเอง หญิงสาวรู้สึกถึงความร้อนที่แล่นขึ้นมาที่ใบหน้าของนาง แก้มขาวเนียนพลันร้อนผ่าว
“เอ่อ...เพคะ”
กงซ่างเหว่ยลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตน เย่ปิงปิงจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาสูงมากกว่านางถึงหนึ่งช่วงศีรษะเลย แต่ก่อนที่เขาจะจากไป นางกลับร้องเรียกเขาเสียก่อน
“คราหน้าเจอกันหม่อมฉันขอค่ารักษาพระองค์ในวันนี้ด้วยนะเพคะ ค่ายาของหม่อมฉันแพงมากเพคะ”
พรืด!
กงซ่างเหว่ยเผลอหลุดขำกับคำพูดของนาง
“ย่อมได้ ข้าจะมอบทองให้เจ้าหนึ่งหีบ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
กงซ่างเหว่ยหมุนกายจากไปในทันที โดยเขาได้ใช้วิชาตัวเบาเหาะทะยานออกไปทางหน้าต่างห้องของเย่ปิงปิง