บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 เอาคืนนางเอก

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกะพริบตา ในที่สุดก็ถึงวันฉลองวันพระราชสมภพของฉู่ฮ่องเต้ครบ 60 พรรษา ปีนี้เป็นปีที่จัดงานอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปี นอกจากจะทรงจัดงานเลี้ยงในวังหลวงแล้ว ฉู่ฮ่องเต้ยังมีพระกระแสรับสั่งให้ทหารแจกจ่ายสุราชั้นเลิศให้กับประชาชนชาวแคว้นหูอีกด้วย อันที่จริงนี่เป็นความคิดของจวีลู่ม่านที่เสนอต่อเปาเสี่ยวจิงฮองเฮา พระนางเห็นดีเห็นงามจึงนำเรื่องนี้ทูลขอพระบรมราชานุญาตจากฉู่ฮ่องเต้ ซึ่งก็ได้รับอนุญาตมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รถม้าของจวนสกุลฉู่เคลื่อนไปจนถึงประตูวังหลวงที่มีรถม้าต่อแถวเพื่อรอเข้าไปในวังหลวงอย่างยาวเหยียด ซึ่งรถม้าเหล่านั้นล้วนเป็นรถม้าจากขุนนางสกุลต่างๆที่เดินทางเข้ามาร่วมงานเลี้ยงอย่างคับคั่งเช่นกัน

ระหว่างทางที่ผ่านมาฉู่ไจ๋ไจ๋และฉู่ตี้หาวมองบรรยากาศภายในเมืองด้วยความตื่นตาตื่นใจ มีการประดับไฟหลากสีเรียงรายกันบนท้องถนน ประชาชนต่างพากันกินดื่มขับร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน

หลังจากที่ทหารรักษาประตูวังตรวจความเรียบร้อยของรถม้าเสร็จ รถม้าจากจวนสกุลฉู่ทั้งสองคันก็ได้เคลื่อนเข้าไปหยุดยังหน้าสถานที่จัดงาน ประตูรถม้าถูกดึงให้เปิดออกพร้อมๆกับร่างบางของฉู่ไจ๋ไจ๋และร่างเล็กของฉู่ตี้หาวที่พากันก้าวลงมาจากรถม้า

ทุกสายตาต่างทอดมองมายังครอบครัวสกุลฉู่ด้วยความชื่นชม ทั้งฉู่อ๋องและพระชายาจวีลู่ม่านแต่งกายด้วยชุดเรียบหรูดูสง่าและทรงอำนาจ ฉู่ตี้หาวเองก็แต่งกายคล้ายบิดา ส่วนฉู่ไจ๋ไจ๋นั้นอยู่ในชุดสีเขียวอ่อนตัวยาวกรอมเท้าจากร้านเทียนหมี่ที่เพิ่งมาส่งที่จวนสกุลฉู่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดวงหน้างามแต้มแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมเบาบาง เปิดเปลือยผิวใสน่าชื่นชม ผมยาวสลวยถูกรวบเป็นมวยไว้ครึ่งหัว ประดับด้วยปิ่นหยกเล็กๆน่ารัก ส่วนที่เหลือปล่อยสยายยาวเต็มกลางแผ่นหลัง

แต่แล้วไม่นานสายตาของผู้คนก็ต้องละจากไปฉู่ไจ๋ไจ๋ เมื่อมีร่างบางของใครบางคนเดินเข้ามา เรียกความสนใจจากทุกคนให้หันไปมอง จูจูลี่ในชุดสีชมพูขับผิวเดินเข้ามาพร้อมกับบุพการี หญิงสาวแจกยิ้มให้กับผู้คน รอยยิ้มของนางงดงามอ่อนโยนราวกับบุปผาแรกแย้ม งดงามสมกับได้รับบทเป็นนางเอกในนิยายเรื่องนี้

‘หากตัดเรื่องนิสัยใจคอที่แท้จริงออกไป จูจูลี่คงเป็นสตรีที่เพียบพร้อมที่สุดในแคว้นหูก็เป็นได้’ ฉู่ไจ๋ไจ๋คิดในใจพลางเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ลอบเบะปากใส่จูจูลี่ด้วยความหมั่นไส้ แต่เมื่อหันกลับมาต้องชะงักไปทันที เมื่อเห็นดวงตาคมกริบของเซี่ยตงหยางกำลังมองมายังนาง

ฉู่ไจ๋ไจ๋ตัวชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ตัวร้ายเห็นนางเบ้ปากใส่นางเอกเช่นนี้ เขาคงคิดว่านางอิจฉาจูจูลี่อย่างแน่นอน

“ไจ๋ไจ๋เป็นอะไรไปลูก” จวีลู่ม่านเห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของบุตรสาวจึงหันมาถามด้วยความห่วงใย

“เปล่าเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าแค่รู้สึกปวดหัวเหมือนไม่ค่อยสบาย”

“อดทนสักหน่อยนะลูก” จวีลู่ม่านแตะมือลงไปบนแผ่นหลังบางของฉู่ไจ๋ไจ๋ เพิ่งมาถึงวังหลวงหากกลับไปตอนนี้คงไม่สมควรเท่าใดนัก

“ท่านแม่ ข้าขอออกไปเดินเล่นรับลมนะเจ้าคะ เผื่อจะดีขึ้น” ฉู่ไจ๋ไจ๋ส่งยิ้มให้มารดาบางๆ จวีลู่ม่านจึงพยักหน้ารับ มองตามฉู่ไจ๋ไจ๋ที่เดินออกไปพร้อมกับมู่ตานด้วยความเป็นห่วง

“ท่านแม่ข้าขอไปวิ่งเล่นกับหลี่เห้อเหลียงนะขอรับ”

จวีลู่ม่านยังไม่ทันได้ตอบรับหรือปฏิเสธ บุตรชายตัวดีก็วิ่งแจ้นออกไปแล้ว หลี่เห้อเหลียงนั้นคือบุตรชายของหลี่เจ๋อหยวนกับบุตรสาวสกุลโม่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉู่ตี้หาว

ฉู่ไจ๋ไจ๋เดินไปจนเกือบจะถึงทางออก หากยังไม่ทันจะเดินออกจากประตู ฉู่ฮ่าวตงก็ขานเรียกนางเอาไว้เสียก่อน ฉู่ไจ๋ไจ๋หันไปมองตามต้นเสียงเห็นลูกพี่ลูกน้องควบตำแหน่งสหายคนสนิทกำลังโบกมือให้นางด้วยใบหน้าเริงร่า ยามนี้เขายืนอยู่ข้างๆฉู่หาวถงไท่จื่อ ฉู่ไจ๋ไจ๋เห็นเช่นนั้นจึงเบือนหน้าหนี พร้อมทั้งรีบสาวเท้าเดินจากไปด้วยความรวดเร็ว ฉู่ฮ่าวตงหน้าม่อยลงไปทันที คิดว่านางยังคงโกรธที่เขาลืมนางไว้ที่จวนสกุลเซี่ยอยู่เป็นแน่

ฉู่ไจ๋ไจ๋เดินออกมาถึงสวนอุทยาน ยามนี้ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า มีเพียงแสงสีแดงที่ระบายอยู่ด้านบนจางๆ ดวงไฟหลากสีประดับประดาเปล่งแสง ทำให้บรรยากาศในยามนี้งดงามราวกับภาพเขียน

“ท่านหญิงน้อยดีขึ้นหรือไม่เจ้าคะ” มู่ตานเองก็ห่วงใยท่านหญิงของนางไม่แพ้กัน แม้ยามนี้ฉู่ไจ๋ไจ๋จะเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง แต่สำหรับนางยังคงเป็นท่านหญิงน้อยฉู่ไจ๋ไจ๋เสมอ

“มู่ตานไม่ต้องเป็นห่วง ข้าดีขึ้นแล้ว”

มู่ตานพยักหน้ารับ สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความสบายใจขึ้น ฉู่ไจ๋ไจ๋นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหันมาสบตากับสาวใช้ควบตำแหน่งพี่เลี้ยงคนสนิท

“มู่ตาน วันที่องค์ชายฉู่ฮ่าวตงพาข้าไปที่จวนสกุลเซี่ย เจ้าบอกท่านพ่อกับท่านแม่ว่าอย่างไรหรือ” จากวันนั้นหญิงสาวลืมเรื่องมู่ตานไปเสียสนิท การที่นางหายออกไปจากจวน ท่านพ่อกับท่านแม่ต้องสงสัยมากแน่ๆ เพราะไม่มีมู่ตานติดตามไปด้วยเหมือนเช่นเคย

“บ่าวบอกท่านอ๋องกับพระชายาว่าองค์ชายฉู่ฮ่าวตงพาท่านหญิงออกไปเที่ยวเล่นเจ้าค่ะ”

คำตอบของมู่ตานทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋แทบล้มทั้งยืน มู่ตานกับนางตอบคำถามของท่านพ่อกับท่านแม่ไปคนละอย่าง เช่นนั้นท่านพ่อกับท่านแม่ก็รู้แล้วว่านางโกหกน่ะสิ!

‘โอย! ข้าอยากเป็นลมยิ่งนัก’

“ท่านหญิงหน้าซีดอีกแล้ว ไหวหรือไม่เจ้าคะ”

“มู่ตานไปหยิบขนมมาให้ข้าที ได้กินอะไรหวานๆคงจะดีขึ้น”

“เจ้าค่ะท่านหญิง” มู่ตานตอบรับคำสั่งของเจ้านาย

คล้อยหลังจากที่มู่ตานเดินจากไป ฉู่ไจ๋ไจ๋จึงเดินไปยังสระบัว นางจำได้ว่าวันฉลองพระราชสมภพของฉู่ฮ่องเต้ในภพชาติก่อน จูจูลี่ได้เข้ามาพูดจายียวนกวนโมโหนาง ยามนั้นฉู่ไจ๋ไจ๋ทนไม่ไหวจึงเดินเข้าไปผลักคนช่างยั่ว ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเพราะจูจูลี่นั้นบอบบางยิ่งกว่าปุยนุ่น หรือเป็นเพราะนางแกล้งทำกันแน่ ทำให้ร่างของนางถลาตกลงไปในสระบัว เสียงร้องของเมิ่งเกาสาวใช้ของจูจูลี่ดังลั่นไปทั่วทั้งสวนอุทยาน นางร้องโวยวายว่าเจ้านายถูกฉู่ไจ๋ไจ๋ผลักตกน้ำ

พระเอกหวงจื่อเฉาเป็นคนกระโดดลงไปช่วยจูจูลี่ขึ้นมาจากสระบัว ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนพร้อมกับสายตาที่มองมายังฉู่ไจ๋ไจ๋อย่างตำหนิ ยามนั้นนางรู้สึกอับอายยิ่งนัก ยอมรับว่าเป็นคนผลักจูจูลี่จริงๆ แต่มั่นใจว่าไม่ถึงกับแรงพอที่จะทำให้จูจูลี่ตกสระบัวได้ ทว่าไม่มีใครฟังคำแก้ตัวของนางสักคน ท่านพ่อฉู่เติ้งหาวเกรงว่านางจะโดนซิ่วไทเฮาสั่งลงโทษที่สร้างความวุ่นวายในวังหลวงจึงชิงขอลงโทษนางเสียเอง โดยการสั่งห้ามนางออกจากจวนสกุลฉู่เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนเต็ม

และถ้าหากเหตุการณ์ตรงกับที่เกิดขึ้นในภพชาติเดิม อีกไม่นานจูจูลี่จะต้องเดินเข้ามาหาเรื่องยั่วโทสะของนางเป็นแน่ เดิมทีฉู่ไจ๋ไจ๋ตั้งใจจะปล่อยผ่าน ไม่อยากเอาตัวไปยุ่งกับสตรีผู้นั้นเท่าใดนัก แต่เรื่องอุบัติเหตุรถม้าในวันนั้นรบกวนจิตใจของนางอย่างมาก บางทีถึงเวลาที่จูจูลี่จะต้องโดนสั่งสอนบ้างแล้ว

“ท่านหญิงฉู่ไจ๋ไจ๋มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียวหรือเจ้าคะ” จูจูลี่ขานเรียกคนที่ยืนกอดอก ดวงตาทอดมองไปยังสระบัวเสียงหวาน ฉู่ไจ๋ไจ๋กระตุกมุมปากขึ้นเบาๆ จากนั้นจึงหมุนกายหันหน้ากลับมา

“คุณหนูจูจูลี่”

“ข้าได้ยินข่าวว่าท่านหญิงเกิดอุบัติเหตุรถม้า ข้าเป็นห่วงท่านหญิงมากนะเจ้าคะ”

ฉู่ไจ๋ไจ๋กลั้วหัวเราะในลำคอ จูจูลี่บอกว่าเป็นห่วงนาง หากแต่แววตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน

“วันที่เราสองคนเจอกันที่ร้านเทียนหมี่ หลังจากที่ข้าวัดตัวตัดชุดเสร็จ ตั้งใจจะไปบอกลาคุณหนูก่อนกลับ แต่ก็ไม่เห็นคุณหนูเสียแล้ว คุณหนูหายไปไหนหรือ”

“ข้าก็กลับจวนของข้าน่ะสิเจ้าคะ” หญิงสาวตอบด้วยสีหน้างุนงง กระนั้นยังไม่ชอบใจเล็กๆที่เห็นแววตาสงสัยจับผิดของฉู่ไจ๋ไจ๋

“น่าแปลกยิ่งนัก คุณหนูบอกว่าคุณหนูกลับจวน ทว่ารถม้าของคุณหนูกลับวิ่งมาชนรถม้าของข้าจนเกิดอุบัติเหตุเสียได้ ไม่ทราบว่าตอนนั้นคุณหนูไปอยู่ที่ไหนกัน” ฉู่ไจ๋ไจ๋ยกมือขึ้นกอด ย่างสามขุมเข้ามาใกล้คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

“ท่านหญิงพูดอะไรของท่าน รถม้าของข้าจะไปวิ่งชนรถม้าของท่านหญิงได้อย่างไรกัน” จูจูลี่ถามด้วยความสงสัย นางยังนั่งรถม้ากลับจวนสกุลจูโดยสวัสดิภาพอยู่เลย

วาจาของจูจูลี่ทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋นิ่งไปทันที นางคาดการณ์ผิดไปตั้งแต่แรก หรือเป็นเพราะว่ามีคนใส่ร้ายสกุลจู หรืออีกประการหนึ่งคือรถม้าที่วิ่งมาชนนางกับรถม้าที่จูจูลี่โดยสารนั้นเป็นคนละคันกัน

“ท่านหญิงใส่ร้ายข้า”

“ข้าไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า” ฉู่ไจ๋ไจ๋สวนกลับทันควัน เรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก

“ท่านหญิงอิจฉาข้าเพราะเห็นว่าข้างดงามกว่าท่านสินะ” จูจูลี่ยืดคอขึ้นอย่างลำพอง แน่นอนว่าในแคว้นหูแห่งนี้ความงดงามของนางเป็นที่เลื่องลือยิ่งกว่าผู้ใด

“เจ้าไม่มีอะไรให้ข้าต้องอิจฉา” ฉู่ไจ๋ไจ๋ส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา เห็นว่าพูดคุยกับจูจูลี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ หากนางไม่ได้เป็นคนอยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุรถม้าก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก

ฉู่ไจ๋ไจ๋เยื้องกายเดินผ่านจูจูลี่ไป ทว่าเสียงของนางกลับทำให้ฉู่ไจ๋ไจ๋ชะงักฝีเท้าลงเสียก่อน

“ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านหญิงเห็นว่าข้ามีหลายสิ่งที่ทำให้ท่านอิจฉาข้าได้” กล่าวจบร่างบอบบางดุจกลีบบัวพลันหมุนกายวิ่งตรงไปยังสระบัวตั้งท่าจะกระโดดลงไปท่ามกลางความตกตะลึงของฉู่ไจ๋ไจ๋!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel