ตอนที่ 6 เป็นง่อย
เมื่อถึงเวลาเข้านอนเกสรมองดูห้องของตัวเองด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เธอย้อนกลับมาในปีสองพันห้าร้อยยี่สิบ ปีที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ ทุกอย่างยังห่างไกลกับคำว่า ‘เจริญ’ อยู่มาก ภายในห้องเธอจุดเทียนไข มุ้งที่กางอยู่ก็ไม่ได้ดูดีนัก ช่วงนี้เป็นฤดูฝนยุงค่อนข้างชุม คืนนั้นกว่าเธอจะหลับลงได้เวลาก็คงล่วงเข้าวันใหม่แล้ว เพราะมัวแต่คิดเรื่องสามีกับลูก
เช้าวันต่อมาเกสรตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น สวมผ้าซิ่นมัดหมี่ที่พี่สาวทอกับเสื้อแขนยาวผ้าฝ้ายสีดำที่พี่สาวตัดให้ เดินลงมาจากบ้านที่เป็นบันไดลิงพาดผ่านตัวบ้านที่เป็นไม้ทั้งหลังใต้ถุนยกสูง ฝั่งซ้ายทำเป็นคอกควาย ฝั่งขวาเป็นกี่ที่พี่สาวกำลังนั่งทอหูก
พ่อกำลังนอนให้แม่รมควันสมุนไพรให้อยู่บนแคร่ที่อยู่ไม่ห่างจากพี่สาวนัก เมื่อวานแสงเทียนไปตามเสถียรที่นาโดยขี่ควายออกไป พอขากลับด้วยความรีบร้อนจึงควบมันเร็วไปหน่อย มันก็พาวิ่งเร็วจนแกพลัดตกจากหลังควาย วันนี้จึงต้องหาสมุนไพรมาสุมไฟย่างให้คลายปวดตามความเชื่อของชาวบ้าน
เกสรเดินเข้าไปหาทั้งสามคน
“เอ็งจะไปไหน” สองปีที่ลูกสาวหนีไปอยู่กับสมชาย เกสรยังไม่เคยกลับมาบ้านเลยสักครั้ง แต่วันนี้เธอทำเหมือนจะออกไปข้างนอก ทั้งที่เพิ่งฟื้นเมื่อวาน
“จะไปบ้านพี่ดำค่ะ” บ้านของเขาเดินไปประมาณเจ็ดร้อยเมตรก็ถึง
“ไปทำไม”
“ฉันอยากเจอลูก”
“บ้านนั้นเขาเกลียดเอ็งกันทั้งตระกูล เอ็งไม่อายเขาหรือไง” พรดีพูดขึ้น เพราะกลัวน้องสาวจะไม่รู้ตัวเพราะไปอยู่กรุงเทพฯ หลายปี อีกอย่างเธอก็ไม่เห็นด้วยที่น้องสาวทำตัวแบบนั้นตั้งแต่แรก ชาวบ้านต่างประณามน้องสาวเธอว่าเป็นหญิงเลวกันทั้งหมู่บ้าน
เกสรนั่งลงบนตั่งไม้ที่พี่สาวเอาไว้นั่งเข็นฝ้ายหันหน้าไปหาทุกคน
“อายจ้ะ แต่ฉันก็ต้องไปเหมือนเดิม” ตอนนี้เธอต้องเดินหน้าอย่างเดียว เธอกลับมาเพราะอยากแก้ไขชะตาโดยที่เธอไม่ต้องตายในวัยยี่สิบห้า เพราะฉะนั้นเธอจะถอยหลังไม่ได้
พ่อกับแม่และพี่สาวต่างแปลกใจที่เกสรยอมอ่อนข้อให้คนอื่นทั้งที่ไม่เคยเป็น ปกติเธอเป็นคนดันทุรัง ใครบอกใครเตือนก็ไม่ฟัง ตั้งแต่คราวที่เธอแอบคบกันกับสมชายแล้ว
“เอ็งคงไม่รู้ว่าไอ้ดำมันพาลูกออกไปอยู่นาตั้งแต่เอ็งหนีไป และมันก็ตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย มันไม่ค่อยคุยกับใครหรอก” แสงเทียนเล่าเรื่องอดีตลูกเขยที่เขากับภรรยาเป็นคนเลือกให้ลูกสาวฟัง
“ไปอยู่นาเหรอ” เกสรมีสีหน้าครุ่นคิด
“อือ อีกอย่างตอนนี้ขามันก็เป็นง่อยข้างนึง มันเดินไม่ได้เหมือนคนปกติหรอกนะ” ที่พรดีบอกน้องเพราะอยากให้น้องตรองดูอีกครั้ง จะได้ไม่ไปทำให้ดำเจ็บอีก
“เป็นง่อย? พี่พรหมายความว่ายังไงคะ” เธอมีสีหน้าตื่นตระหนกกับคำบอกเล่าของพี่สาว
พรดีละมือจากกระสวยแล้วหันหน้าออกมานั่งเหยียดขามองน้องเต็มสองตา ผู้เป็นแม่ก็นั่งอยู่ที่แคร่ตรงปลายเท้าของพ่อ
“ปีที่แล้วเห็นคนเขาลือกันว่าน้าดำนอนขี่เปลอยู่ดี ๆ พอจะลุกขึ้นเปลกลับพลิกกลับด้านเสียก่อน แขนทั้งสองข้างก็ติดอยู่ที่เปล ลำตัวเขาเลยบิดเบี้ยว ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ปวดเอวแล้วก็ร้าวลงไปที่ขาข้างขวา ต่อมาขาข้างขวาก็ชาและอ่อนแรงจนตอนนี้บางครั้งก็ใช้งานไม่ได้เลย เห็นเขาว่าแกนอนปวดอยู่หลายเดือน”
“แล้วพี่ดำไม่ได้ไปหาหมอหรือคะ”
“ไป แต่ไม่ได้ไปโรงพยาบาลหรอกนะ พ่อกับแม่พาขี่เกวียนไปฉีดยาหลายหมู่บ้านที่เขาว่ามีหมอเก่ง ๆ แต่ก็ไม่หาย เขาก็เลยเลิกไปและก็อยู่ไปตามสภาพอย่างนั้น”
“แล้วเขาทำมาหากินยังไง” เขาจะเลี้ยงดูลูกอย่างไรถ้าเขาพิการและเดินไม่ได้
“ไอ้ดินลูกชายคนโตของเอ็งมันก็เก่งมากแล้วนะ ช่วยพ่อได้ทุกอย่าง” ดินลูกชายคนโตที่อายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น
นี่เธอแต่งงานตั้งแต่อายุสิบห้าเลยหรือ?
“ปีที่แล้วเห็นชาวบ้านบอกว่ามันทำนาไม่ได้เลย แม่ก็เอาข้าวไปแบ่งมันบ้าง แต่ข้าวเราก็มีไม่มาก” ฝ้ายอยากไปหาหลานบ่อย ๆ แต่ดำไม่อยากให้ใครไปยุ่งกับครอบครัวของเขา จึงไม่มีใครกล้าเข้าไปหา นอกจากญาติทางฝั่งเขา อีกอย่างเขาก็คงรังเกียจครอบครัวของอดีตภรรยาด้วย
“เอ็งก็คิดดูดี ๆ แล้วกัน ว่าจะทำอย่างไรถ้ามันไล่ตะเพิดเอ็งกลับมา” พรดีย้ำน้องสาวอีกครั้งแล้วกลับไปสนใจกับหูกทอผ้าของตัวเองต่อ
หัวใจดวงเล็กรู้สึกหนักอึ้งเมื่อได้ฟังสิ่งที่ทุกคนเล่าให้ฟัง ที่ผ่านมาเขาเจ็บปวดแค่ไหนเธอไม่เคยรับรู้เลย เธอช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุด