ตอนที่ 2 - 1 จดหมายทวงสัญญา
เรื่องนี้จ้าวฟางเซียนนั้นรู้ดี ว่าพี่หญิงใหญ่ของนางนั้นไม่มีวันยินยอมที่จะออกเรือนไปกับตระกูลเซี่ยเป็นแน่ เช่นเดียวกับชีวิตก่อน ที่จ้าวฟางหรูชิงออกเรือนไปกับบัณฑิตทั่นฮวาของแคว้นเจิ้ง แล้วทิ้งหน้าที่ออกเรือนกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยให้นางแทน
“แต่ก็เป็นตระกูลที่มีเกียรติ และน่าเคารพนับถือนะเจ้าคะ ตายในสนามรบย่อมมีเกียรติกว่าการตายโดยเปล่าประโยชน์” จ้าวฟางเซียนที่กินอาหารอยู่อย่างเพลิดเพลินก่อนหน้า แสดงความคิดเห็นของตนออกมา
จ้าวฟางหรูที่ได้ยินเช่นนั้นได้แต่นึกขบขันอยู่ภายในใจ น้องสาวของนางนั้นช่างมีความคิดที่ไร้เดียงสา และเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดียิ่งนัก หาได้คาดการณ์ถึงเรื่องราวในภายภาคหน้าไม่ ผู้ใดกันที่อยากจะมีสามีอายุสั้น นางคนหนึ่งล่ะที่ไม่ปรารถนา
“เจ้ายังเป็นเด็กอยู่ จะไปรู้เรื่องอันใด หากวันหน้าเจ้าต้องออกเรือน เจ้าจะเลือกบุรุษที่มีอายุขัยสั้นกว่าเจ้ามาเป็นคู่ครองเช่นนั้นรึ” จ้าวฟางหรูติเตือนน้องสาวออกมา
ทว่าครานี้จ้าวฟางเซียนกลับไม่เก็บเอาคำพูดของพี่สาวมาใส่ใจ เพราะนางเคยใช้ชีวิตเป็นฮูหยินแม่ทัพมาหนหนึ่งแล้ว ทว่าชีวิตก่อนนางนึกเสียดายและเสียใจ ที่ไม่ได้แสดงความรักที่มีต่อสามีออกไป ครั้นมีโอกาสย้อนเวลากลับมา นางก็อยากจะแก้ไขชีวิตคู่ของนางและเขาในอดีต แม้สุดท้ายแล้วเขาจะต้องจากไปก่อน นางอาจจะต้องพบเจอกับความเสียใจอีกหน แต่ทว่านางก็ไม่ต้องรู้สึกผิด และไม่ต้องรู้สึกว่ามีสิ่งใดให้เสียดายอีกแล้ว
“นางยังเด็กที่ใดกัน อีกไม่กี่วันนางก็จะเข้าพิธีปักปิ่นอยู่แล้ว แต่พี่หญิงใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเซียนเอ๋อร์เลย เพราะเจ้านี่ในหัวมีแต่เรื่องบัญชีกับการค้า สามีของนางในภายภาคหน้าจะต้องมาจากตระกูลคหบดีเป็นแน่”
จ้าวฟางฉีแก้ต่างให้น้องสาว จ้าวฟางเซียนได้แต่ยิ้มแห้งออกมา เพราะสิ่งที่พี่ชายรองมั่นใจนักหนานั้น หาใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าไม่
“ช่างเถิด!! พวกเจ้าอย่าเพิ่งถกเถียงกันถึงเรื่องนี้เลย ยามนี้ไม่มีผู้ใดที่รู้ว่า ท่านปู่ของพวกเจ้าเรียกท่านพ่อของพวกเจ้าไปพบด้วยเรื่องใด กินอิ่มแล้วก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนเสียเถิด”
หวงฟางหรงเอ่ยปรามลูกๆ ทั้งสาม จ้าวฟางหรูที่อิ่มก่อนแล้วจึงลุกขึ้นคำนับลามารดา จากนั้นจึงรีบเดินออกจากเรือนฟางเฟยไป วันนี้นางจะออกไปเที่ยวที่โรงน้ำชาอู๋เหลียง เพราะวันนี้เหล่าบัณฑิตมีแข่งขันต่อบทกวีกันที่นั่น มีหรือสตรีที่ชื่นชอบบทกวีเช่นนางจะพลาด ครั้นคุณหนูใหญ่จากไปแล้ว คุณชายรองจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้บ้าง
“เซียนเอ๋อร์… วันนี้พี่จะออกไปเที่ยวชมตลาด เจ้าอยากไปกับพี่หรือไม่” จ้าวฟางเซียนพยักหน้าก่อนที่จะบอกพี่ชายรอง
“เจ้าค่ะ…เพราะถึงเช่นไร วันนี้ข้าก็ต้องเข้าไปตรวจสอบบัญชีที่ร้านจ้าวจางในตลาดอยู่แล้ว” จ้าวฟางฉีพยักหน้าก่อนที่สองพี่น้องจะคำนับลามารดา แล้วพากันออกจากเรือนฟางเฟยไปเช่นเดียวกัน
หวงฟางหรงมองตามบุตรสาวและบุตรชายที่เพิ่งจะเดินออกจากเรือนไปด้วยแววตาเป็นกังวล สำหรับฟางฉีนั้นนางไม่ห่วงอันใดเขามากนักเพราะเป็นบุรุษ แต่กับฟางหรูและฟางเซียนนั้นต่างออกไป นางกำลังกังวลว่าที่ท่านพ่อของสามีเรียกสามีเข้าไปพบ จะเกี่ยวกับบุตรีของนางทั้งสอง
ณ ห้องตำรา ภายในเรืองฟงเฟย
จ้าวหวังเหล่ยกำลังแสดงสีหน้าหนักใจออกมา ครั้นได้รับรู้ว่าเพราะเหตุใดบิดาถึงได้เรียกหาตน จดหมายตรงหน้า เขาอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ จับใจความถึงความต้องการของเจ้าของจดหมายได้เป็นอย่างดี ในจดหมายเขียนมาถึงท่านพ่อของเขา แม้ช่วงเริ่มต้นท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ยจะถามไถ่ถึงสุขภาพ และชีวิตความเป็นอยู่ของบิดาเขาตามปกติ แต่ทว่าพออ่านไปเรื่อยๆ จึงได้รู้ว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการส่งจดหมายฉบับนี้มานั้น หาได้เพียงแค่อยากถามสารทุกข์สุกดิบของบิดาไม่ แต่เป็นการทวงถามถึงสัญญาที่บิดาเคยให้ไว้ในอดีตมากกว่า
การได้เกี่ยวดองกับตระกูลแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ มันก็ดีและนับว่าเป็นเกียรติต่อวงศ์ตระกูลอยู่หรอก แต่ทว่าบุตรีคนใดกันเล่า ที่เขาจะสามารถยินยอมเสียสละให้ออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพได้ จ้าวฟางหรูนั้นดื้อรั้น แม้จะเข้าสู่วัยออกเรือนแล้ว แต่ทว่านางกลับเลือกมาก และมีอคติกับพวกขุนนางฝ่ายบู๊ ส่วนจ้าวฟางเซียนนั้นถือว่ายังเยาว์วัยนัก เขายังอยากให้บุตรีอยู่ช่วยงานของตระกูลจ้าวไปอีกสักสองสามปี เพื่อสั่งสมประสบการณ์เสียก่อน
“เจ้ามีความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเช่นไร” คำถามของบิดาทำให้จ้าวหวังเหล่ยมีสติกลับมา
“การที่ตระกูลคหบดีเช่นเรา ได้เกี่ยวดองกับตระกูลเซี่ยที่เป็นถึงตระกูลแม่ทัพ หาใช่เรื่องที่ไม่ดีไม่ขอรับท่านพ่อ แต่ข้าเกรงว่า…หรูเอ๋อร์กับเซียนเอ๋อร์จะไม่มีผู้ใดยินดี ที่จะออกเรือนไปกับหลานชายของท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย พวกเราตอบแทนพวกเขาด้วยการมอบเงิน หยก หรือไม่ก็ผ้าไหมไปให้แทนมิได้หรือขอรับ”
จ้าวหวังเหล่ยคิดหนัก เขาตัดสินใจแสดงความเห็นของตนเองออกมา ทว่าน้ำเสียงที่บิดากล่าวออกมาทำให้จ้าวหวังเหล่ยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เจ้าเป็นบิดา…เจ้าจะลองโน้มน้าวพวกนางสักนิดไม่ได้เชียวหรือ หนี้ชีวิตก็ต้องตอบแทนด้วยชีวิต จะให้ตอบแทนด้วยทรัพย์สินเงินทองได้เยี่ยงไร หรือเจ้าอยากจะให้ข้าเอาชีวิตข้าไปให้พวกเขาแทนเช่นนั้นรึ เจ้าถึงจะพอใจ”
“ท่านพ่อ… ท่านกล่าวอันใดเช่นนั้นเล่าขอรับ เอาเถิด…ข้าจะลองไปคุยกับหรูเอ๋อร์ดูก่อน นางก็ถึงวัยออกเรือนมานานหลายปีแล้ว เห็นทีคงจะต้องให้นางออกเรือนไปเสียที”
จ้าวหยวนจงพยักหน้าอย่างพอใจ จ้าวหวังเหล่ยจึงขอตัวลา เป็นเพราะได้คำตอบที่น่าพอใจ ท่านผู้เฒ่าจ้าวจึงไม่ได้รั้งบุตรชายเอาไว้ จ้าวหวังเหล่ยเดินออกจากเรือนฟงเฟยไปด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เพราะเขาไม่รู้ว่าจะพูดคุยกับจ้าวฟางหรูเช่นไรดี หากน้องชายของเขามีบุตรีสักคนก็คงจะดีไม่น้อย แต่ทว่าจ้าวหวังหย่งกลับมีแต่บุตรชาย ทำให้ภาระเช่นการแต่งงานตอบแทนบุญคุณนี้ ต้องตกเป็นของบุตรีของตนอย่างมิอาจเลี่ยง