จะเอายังไงก็ว่ามา (30%)
ครบสิบปี
ตั้งแต่วันที่มหรรณพไปหาเธอที่มหา’ลัยเพื่อจะประกาศว่าเขาจะหย่ากับเธอ หลังจากที่เธอเรียน Fellow จบ และได้เป็น Staff มาถึงตอนนี้ ก็กินเวลาทั้งสิ้นสิบปีตามกำหนด เธออายุสามสิบสองย่างสามสิบสาม ปานระพีเรียน Fellow จบเร็วกว่ากำหนดหนึ่งปี หลังจากรอให้เขามาทำเรื่องหย่า แต่อีกฝ่ายกลับเงียบหาย เพราะคาสิโนแห่งใหม่ประสบปัญหาหนัก เธอจึงตัดสินใจสอบชิงทุน และได้ที่หนึ่งของประเทศ ได้รับทุนในการศึกษาต่อยอดสาขาศัลยศาสตร์อุบัติเหตุ หลักสูตรหนึ่งปี ฉะนั้นหลังจากจบเธอจึงกลายเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ที่เรียกได้ว่าครอบคลุม เพราะเป็นทั้งหมอศัลย์กระดูกและข้อ หมอศัลย์อุบัติเหตุ และยังสามารถดูแลเคสที่เกี่ยวกับกะโหลกศีรษะ เพราะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ซึ่งเธอนั้นผ่านหลักสูตรมาแล้วในขั้นต้น ก่อนจะเรียนแพทย์เฉพาะทาง
ทุกวันนี้ปานระพีได้ชื่อว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Staff) อย่างเต็มตัว เธอดำรงตำแหน่งทางวิชาการในมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐ เป็นอาจารย์สอนนักเรียนแพทย์ จริงๆ แล้วก็เริ่มเป็นอาจารย์ตั้งแต่จบแพทย์เฉพาะทาง (Resident) นั่นแหละ และรับเคสของโรงพยาบาลเอกชนสัปดาห์ละสามวัน เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพอย่างที่น้อยคนนักจะทำได้ ท่ามกลางความภาคภูมิใจของผู้เป็นย่า แต่คงขัดใจสามีอยู่ไม่น้อย เพราะมหรรณพเคยโทรมาขู่หลายครั้ง ว่าจะหาทางทำให้เธอเรียนไม่จบ หากเธอยังดันทุรังที่จะสอบชิงทุน แต่พอบอกให้เขามาทำเรื่องหย่า พ่อคุณกลับบอกว่ากำลังยุ่งมาก ให้เธอเป็นฝ่ายบินไปหา ทว่าครั้นเธอจะไปเขาดันติดธุระสำคัญ เป็นอย่างนี้อยู่หลายครั้ง จนปานระพีถอดใจที่จะไปหย่ากับเขา ที่สุดเธอก็เรียนต่อยอดจนจบครบทุกหลักสูตร
ซึ่งในวันที่เธอเรียนจบเป็นเวลาครบสิบปี และได้เป็น Staff ตามที่ตกลงกันไว้ มหรรณพกลับหายเข้ากลีบเมฆ จนย่าของเธอเปรยๆ ว่าหลานชายคงไม่อยากหย่า แต่ปานระพีรู้ว่าท่านแค่พูดเล่น จึงทำเพียงฝืนยิ้มบางๆ ทว่าในใจกลับหนักอึ้ง เมื่อเรื่องหย่ากลายมาเป็นหัวข้อสนทนาอีกครั้ง
เธอจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย หากว่าสิบปีที่ผ่านมามหรรณพจะทำเหมือนเดินคนละเส้นทาง แล้วมาเจอกันอีกทีในวันหย่า แต่นี่เขาเล่นโผล่เข้ามาในชีวิตเธอหลายหนจนนับครั้งไม่ถ้วน แถมยังวนเวียนอยู่ในชีวิตเธออย่างน่าประหลาด และถึงแม้จะหัวเสียที่เธอเลือกสอบชิงทุนเรียนต่อยอด แทนที่จะบินเอาใบหย่าไปให้เขาเซ็นที่โมนาโก กระนั้นพ่อเจ้าประคุณก็ยังโทรศัพท์มาคุยด้วยแทบจะทุกอาทิตย์ ฉะนั้นต่อให้ไม่เห็นหน้ากันนานกว่าหนึ่งปี เธอก็ยังรู้สึกว่ามีเขาอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ควรรู้สึกอะไร แต่ใจเจ้ากรรมกลับสั่นไหวเสียทุกครั้งที่ได้ยินเสียงห้าวทุ้มผ่านโทรศัพท์ ครั้นจะไม่รับสายคนเอาแต่ใจก็ดันโทรเข้ามาก่อกวนที่โรงพยาบาลจนเธอไม่เป็นอันทำงาน
มีช่วงหลังๆ ที่ปานระพีเอ่ยปากเร่งรัดการหย่า ด้วยเกรงว่าเขาจะรอนานเกินไป กลายเป็นว่าเธอถูกอาละวาดหน้าหงายเหมือนกับเป็นฝ่ายผิด แล้วเขาก็ประกาศว่าจะกลับเมืองไทยมาหย่า และแต่งงานใหม่ ซึ่งเธอก็ทำได้เพียงรับคำ และกล้ำกลืนแสดงความยินดี แต่ท่าทีที่แสดงออกเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั้นกลับเหมือนไปกระตุกจุดเดือดให้เขาระเบิดอารมณ์ออกมา ทำเอาปานระพีอึ้งหนักมาก เพราะไม่เข้าใจว่าเขาจะโมโหทำไมกับอีแค่เธออวยพรให้ และงงหนักเข้าไปอีกเมื่อหลังจากนั้นก็ติดต่อเขาไม่ได้
“สวัสดีค่ะอาจารย์”
นักศึกษาแพทย์ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐกลุ่มหนึ่งต่างพนมมือไหว้อาจารย์หมอสาวอย่างนอบน้อม ก่อนจะเดินตัวลีบจากไป ในจังหวะที่เธอพยักหน้าเพียงเล็กน้อย
อันที่จริงนักศึกษาแพทย์พวกนั้น รวมทั้งคนที่เรียนแพทย์เฉพาะทาง (Resident) ซึ่งอยู่ในความดูแลของปานระพี ไม่มีใครชอบเธอหรอก เพราะทุกคนต่างบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่าเธอเข้าถึงยาก เขี้ยวลากดิน และออกข้อสอบโหดเหมือนโกรธใครมา แต่ถ้าเธอไม่เคร่งครัด ไม่ออกข้อสอบตามที่เห็นควร มาตรฐานของการศึกษาในวงการแพทย์ก็คงถดถอย ซึ่งนั่นหมายความว่ามันจะส่งผลต่อไปถึงอนาคต ในตอนที่นักศึกษาเหล่านั้นจบออกไปเป็นหมอ ไปทำงานในโรงพยาบาล หรือเปิดคลินิก พวกเขาจะไม่สามารถรักษาคนไข้ได้ ถึงรักษาได้ก็อาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
กาลเวลา หน้าที่การงาน และตำแหน่งทางวิชาการ ได้พรากความสดใส และเปลี่ยนให้ รองศาสตราจารย์แพทย์หญิงปานระพี พงศ์วิริยะสกุล กลายเป็นคนเข้าถึงยาก ไว้ตัว จนเรียกได้ว่ามนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นติดลบ ที่จริงแล้วเธอก็ยังคงเป็นปานระพีคนเดิมที่เก่งตำราเรียน แต่บกพร่องการเข้าสังคม หลังลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) พรากเพื่อนสนิทอย่างไคลีย์ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ อีกทั้งจันทร์เจ้าขายังมาหายสาบสูญไม่ต่างอะไรกับตายจาก เธอก็ไม่เคยคบใครเป็นเพื่อนอย่างจริงๆ จังๆ ทุกคนที่เข้ามาล้วนหวังผลประโยชน์ หากแต่ไม่นานคนเหล่านั้นก็ตีจาก จนปานระพีปลงตกว่าตนคงเหมาะที่จะอยู่คนเดียวมากกว่า ทว่าลึกๆ แล้วแสนจะอ้างว้าง ต้องการแค่ใครสักคนที่ต้องการเธออย่างแท้จริง ใครสักคนที่เป็นของเธอ ใครสักคนที่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น และพร้อมจะก้าวเดินไปด้วยกันไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเจอกับอะไร
“เฮ้อ…”
หลังจากถอนหายใจกับความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไม่มีวันเป็นไปได้ ร่างอวบอิ่มในชุดที่ค่อนข้างแก่เกินวัยแต่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าก็เดินเนือยๆ ลงมาจากตึกแพทย์ในเวลาเกือบสองทุ่มครึ่ง เธอเพิ่งสอนนักศึกษาแพทย์เสร็จ สุดสัปดาห์เช่นนี้หลายคนคงไปแฮงเอาท์กับเพื่อนฝูง บ้างท่องราตรี หรือไม่ก็อยู่กับครอบครัว คงมีแต่เธอเท่านั้นที่เอาแต่ทำงานเป็นบ้าเป็นหลัง ทำจนเหมือนร่างกายจะกลายสภาพเป็นหุ่นยนต์เข้าไปทุกที
งานทำให้เธอมีค่า
ต้องขอบคุณมันสมองอันชาญฉลาดที่ทำให้เธอเดินมาถึงจุดนี้ได้
ถึงแม้ว่าความอัจฉริยะจะแลกมาด้วยการเสียอะไรไปหลายอย่าง แต่อย่างน้อยมันก็ยังทำให้เธอเชิดหน้าอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ และไม่อายใคร
หลังจากส่ายหัวขับไล่ความฟุ้งซ่าน ปานระพีก็มุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ อากาศร้อนอบอ้าวทำให้คุณหมอสาวคิดถึงแอร์เย็นฉ่ำในรถของตัวเองใจแทบขาด หากแต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูรถ เสียงโทรศัพท์ในมือก็ดังขึ้น ครั้นก้มลงมองหน้าจอเห็นว่าผู้เป็นย่าโทรมาเธอก็กดรับสายทันที
“สวัสดีค่ะคุณย่า คุณย่ามีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่าไม่สบาย ถึงได้โทรหาแพรเวลานี้”
หญิงสาวกรอกเสียงหวานลงไปในสาย ตอนท้ายเอ่ยเป็นเชิงถามไถ่ เพราะพลิกนาฬิกาที่คาดอยู่ตรงข้อมือดูแล้วเห็นว่ามันเป็นเวลาเข้านอนของอีกฝ่าย
“เปล่าลูก ย่าไม่ได้เป็นอะไร ย่าก็แค่จะโทรมาบอกว่าตาหวงกลับมาแล้ว ย่าก็เลยอยากให้แพรหาวันว่างกลับมานอนที่บ้านบ้าง จะได้นัดตาหวงมากินข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา”
“เอ่อ…ช่วงนี้แพรไม่ว่างเลยค่ะคุณย่า แพรติดเคสผ่าตัดติดๆ กันทั้งสัปดาห์ คงต้องพักที่แฟลตของโรงพยาบาลหรือไม่ก็คอนโด แล้วว่างๆ แพรจะกลับไปนอนที่บ้านนะคะ”
ปานระพีหาทางเลี่ยงอย่างเนียนๆ ที่จริงเธอไม่ได้ติดเคสด่วนอะไร ก็แค่เลี่ยงที่จะไปพบหน้ามหรรณพ และรอวันที่เขาจะโทรมานัดหมายให้ไปหย่าตามที่เลขาเขาแจ้งมา
“งั้นก็ได้ลูก เอ้อ…ย่าเกือบลืมบอกไปแน่ะ”
คนแก่เอ่ยขึ้นทันทีที่นึกได้ “ตาหวงห่างกับยัยหมอคนนั้นนานแล้วนะ เห็นว่ารับกับความเจ้ากี้เจ้าการและขี้วีนไม่ได้ หรือไปแอบรู้อะไรมานี่แหละ”
วาจาในตอนท้ายทำให้คนฟังหายใจติดขัด
“อะไรที่คุณย่าว่า คงไม่ใช่เรื่องที่แพรเอาไตข้างหนึ่งให้เขาใช่ไหมคะ”
“ไม่น่าจะใช่ เรื่องที่ตาหวงไปรู้มาคงเกี่ยวกับความเลวของครอบครัวยัยหมอคนนั้นมากกว่า นี่ย่าจะบอกอะไรให้ ตระกูลเครือวัลย์ไม่ได้รวยเพราะธุรกิจนำเข้าส่งออกอย่างที่ใครต่อใครเข้าใจหรอกนะ ดีไม่ดีพ่อของยัยหมอควีนนั่นคงกะจะให้ลูกสาวจับตาหวง เพื่อเปิดเส้นทางทำเรื่องเทาๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้”
“คุณย่าแน่ใจนะคะ ว่าคุณหวงไม่รู้เรื่องไตจริงๆ” ปานระพีถามย้ำอย่างเป็นกังวล
“อืม แพรสบายใจได้ ย่าใช้เส้นสายปิดเรื่องนี้ไว้อย่างมิดชิด ต่อให้ตาหวงสืบให้ตายก็ไม่มีวันรู้ นอกเสียจากยัยหมอควีนจะเป็นคนบอกเสียเอง ซึ่งเราก็รู้ๆ กันอยู่ว่ายัยนั่นอยากได้ตาหวงจนตัวสั่น แล้วเรื่องอะไรหล่อนจะยอมเปิดปากเผยความเลวของตัวเองออกมาล่ะ จริงไหม”
“แต่แพรว่ามันชักจะยังไงๆ อยู่นะคะ”
“ฮื่อ…อย่าคิดมากน่า ตาหวงไม่รู้เรื่องไตหรอกเชื่อย่า ไม่งั้นเขาจะโทรมาบอกแพรเหรอ ว่าจะกลับมาหย่า”
“นั่นสินะคะ”
เธอเอ่ยอย่างเศร้าๆ แล้วฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้
“เอ่อ…แพรขอถามคุณย่าได้ไหมคะ ว่าทำไมคุณย่าถึงไม่ยอมให้เราสองคนหย่ากันตั้งแต่ที่คุณหวงกลับมาตอนแพรกำลังจะเรียนจบหกปี”
“ย่าอยากยืดเวลาให้ทั้งสองคนได้ลองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันดูบ้าง แต่ไม่คิดว่าตาหวงจะเอาคืน ด้วยการยอมเล่นไปตามเกม แต่ดึงเอายัยหมอควีนนั่นเข้ามาเอี่ยว”
“ก็เขารักของเขานี่คะ”
“โอ๊ย…รักอะไรล่ะ ก็แค่ประทับใจที่อีกฝ่ายเอาไตให้แค่นั้นแหละ ที่เราเห็นข่าวรักหวานแหววตามสื่อกับในโซเชียลก็มีแต่ยัยนั่นปั่นกระแสทั้งนั้น”
“แต่เขาบอกว่าจะกลับมาหย่ากับแพร แล้วไปแต่งงานใหม่ ถ้าไม่แต่งกับหมอควีน แล้วคุณหวงจะแต่งกับใครล่ะคะ” หญิงสาวแย้งด้วยความสงสัย
“แต่งกับใครก็ช่างหัวมัน ไอ้หลานไม่รักดี! แต่ถ้ามันกล้าแต่งกับยัยหมอขี้วีนนั่น ย่าก็จะหาผัวใหม่ให้เรา เอาที่รวยกว่า เด็กกว่า และหล่อกว่าร้อยเท่า ไม่เชื่อก็คอยดู!”
“โธ่! ใครเขาจะมาสนใจผู้หญิงที่เรียนจนแก่อย่างแพรกันล่ะคะคุณย่า”
หญิงสาวเอ่ยค้านเสียงอ่อย ชีวิตเธอจมอยู่กับตำราและโรงพยาบาลจนแก่อย่างที่ว่าจริงๆ แต่ปานระพีก็ไม่เคยนึกเสียใจที่เลือกทางเดินชีวิตเช่นนี้ เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ชีวิตเธอมีค่ามีความหมายขึ้นมา มันสมองและสองมือของเธอสามารถต่อลมหายใจให้คนไข้ได้นับไม่ถ้วน
“มีถมไป เดี๋ยวย่าจะคัดที่ดีๆ ให้”
“แต่คุณย่าคะ…”
“ไม่มีแต่จ้ะ ผัวแรกรู้สันดาน ผัวสองคือนิพพาน…เชื่อย่า”
วาจาสุดเฟี้ยวของคนแก่ทำให้ปานระพีอ้าปากค้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย ด้วยการถามไถ่ไปถึงหลานสาวอย่างนลินนิภา ถึงได้รู้จากปากผู้เป็นย่าว่าช่วงนี้ยัยเด็กแสบนั่นเก็บตัวเงียบผิดปกติ และไม่สุงสิงกับใคร ตบท้ายด้วยการถามถึงอาการป่วยด้วยโรคชราของท่าน จากนั้นก็วางสายไป
เพราะดันไปโกหกผู้เป็นย่าเพื่อเอาตัวรอด ฉะนั้นคนที่คิดจะกลับไปนอนบ้านจึงเปลี่ยนที่หมาย ไหนๆ ก็ลงทุนปดคำโต งั้นคืนนี้ก็นอนแฟลตแล้วกัน คิดได้ดังนั้น เธอจึงเลือกที่จะขับรถไปยังอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงพยาบาลรักษ์ ซึ่งสร้างไว้สำหรับเป็นที่พักของบุคลากร
หลังจอดรถ ร่างอวบอิ่มก็เดินเข้าสู่ตัวอาคาร รอไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก เธอก้าวเข้าไปในลิฟต์ด้วยท่าทางเนือยๆ แล้วกดปุ่มหมายเลขชั้นที่ต้องการ ทว่าในจังหวะที่ลิฟต์จะเลื่อนปิดก็มีแขนของใครบางคนสอดพรวดเข้ามา และบังเอิญว่าปานระพีดันตาดีเห็นเสี้ยวหน้าคมเจ้าตัวเข้าพอดี
มหรรณพ!
เป็นเขาจริงๆ
ปานระพีได้แต่มองเขาหน้าตื่นเพราะตั้งตัวไม่ทัน
เธอไม่ได้เจอหน้าอีกฝ่ายเกือบสองปีเห็นจะได้ แต่กาลเวลาทำอะไรผู้ชายคนนี้ไม่ได้จริงๆ มหรรณพในวัยสามสิบเก้าย่างสี่สิบ ยิ่งดูดีและภูมิฐาน ร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างกำยำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วงแขนกล้ามเป็นมัดๆ ภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวถลกแขนขึ้นถึงข้อศอกเป็นตัวบ่งชี้ ใบหน้าหล่อเหลาดูกระด้าง ดุดัน และเย็นชามากกว่าเก่า บุคลิกโดยรวมของเขาเหมือนจะทวีความดิบเถื่อนขึ้นตามวัย แต่กลับชวนมองจนแทบละสายตาไม่ได้
ว่าแต่…เขามาทำอะไรที่นี่?
ความสงสัยได้รับคำตอบในเสี้ยวนาที เมื่อประตูลิฟต์เปิดอ้าออกเต็มๆ ภาพที่เห็นทำให้ปานระพีตัวแข็งทื่อ เพราะมหรรณพมากับคณิสรา แถมแม่สาวงามยังจ้องหน้าเธออย่างฟาดฟัน จากนั้นก็ขยับเข้าไปควงแขนกำยำของคนที่ยังคงสบตากับเธออย่างแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่
ก็ไหนคุณย่าบอกว่าเขาห่างกับคณิสราแล้วไง ไหงยังมาด้วยกันได้ แต่ก็ช่างประไร ไม่ใช่เรื่องของเธอเสียหน่อย เขาจะมากับผู้หญิงคนไหนมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ
ปานระพีคิดอย่างหยิ่งๆ ทั้งที่ในใจปวดแปลบ กระทั่งเสียงห้าวทุ้มดังขึ้น
“แทนที่จะจ้องหน้าคนอื่นอย่างไร้มารยาทแบบนั้น คุณควรจะทักทาย หรือไม่ก็ยกมือไหว้ดีกว่าไหมคุณหมอ”
คนถูกตำหนิซึ่งๆ หน้าเม้มปาก จำใจเอ่ยทักทายและยกมือไหว้อย่างเสียไม่ได้
“สวัสดีค่ะ”