EP 4 ทำไมต้องน่ารัก
เช้านี้ที่แสนจะไม่สดชื่นเลยของหมูแดง เมื่อคืนกว่าจะกลับถึงห้องได้ก็ปาเข้าไปดึกโขละ แล้ววันนี้ก็ดันมีเรียนเช้าอีกไงแปดโมงครึ่งอยากหยุดนอนตีพุงให้เต็มอิ่มนะแต่เมื่อวานก็ดันหยุดไปโดยไม่ใช่เหตุสำคัญแล้วน่ะสิ ซึ่งความผิดนี้มันไม่ใช่ของฉันแต่ความผิดนี้มันคือของไอ้บ้าขุนคนเดียวเลย บอกให้พากลับก็เดี๋ยวอยู่นั่นแหละจนฉันตาจะปิดจริงๆถึงได้ยอมบอกลาทุกคน สภาพตอนนี้คืออยู่ในชุดนักศึกษาแต่หน้าสดทาแค่ครีมกันแดดกับแป้งฝุ่นบางๆไม่ได้ลงเมคอัพเขียนแค่คิ้วมงกุฎของใบหน้าเพิ่มความสวยให้กับตัวเองเท่านั้น มาในลุคใสๆมากกว่าทุกครั้ง ลืมตาเล็กๆบ่งบอกถึงความเป็นอาหมวยน้อยเดินออกจากห้องมาได้นี่ก็นับว่าดีมากๆแล้วล่ะ เดินอ้าปากหาวแล้วหาวอีกจนน้ำตาเล็ดเช็ดไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ นอนไม่พออ่ะมันเลยพาลให้หงุดหงิด
ย้อนกลับไปเมื่อคืน
เสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานออกรสออกชาติเฮฮาปาจิงโกะ ตามประสาวัยรุ่นแหกปากโหวกเหวกโวยวายราวกับที่นี่รวบรวมกลุ่มคนบ้ามาไว้ด้วยกัน ร้องเพลงเพราะบ้างเพี้ยนบ้างสลับกันไป ชนแก้วกันครื้นเครงประหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในร้านเหล้า ซึ่งมันเป็นแบบนี้มาสักประมาณหนึ่งชั่วโมงได้แล้วหลังจากที่นายพวกนี้ปิดร้านแล้วตั้งวงดื่มกินกันพร้อมหน้าทั้งเจ้านายและเหล่าลูกน้อง
แค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นเหล้าราคาแพงที่ขนมาตั้งเอาไว้หมดไปแล้วสามสี่ขวดเห็นจะได้ โซดาอีกไม่รู้เท่าไหร่ไม่ได้นั่งนับ นายขุนนี่ก็ตัวดีเหมือนกันขยันเติมมันอยู่นั่นแหละ พอฉันมองตาขวางก็ทำมายิ้มอ่อนประจบประแจง เอาหน้ามาถูแขนฉันเป็นแมวเหมียวเลยพอเลิกสนใจก็เป็นแบบเดิมมันน่าจับหักคอจิ้มน้ำพริกจริง ไอ้เรื่องดื่มของมึนเมาเนี่ยฉันก็พอจะดื่มเป็นกับเขาอยู่หรอกแต่ไม่ได้เสพติดมันไง ส่วนใหญ่ถ้าดื่มเน้นค็อกเทลมากกว่า
“หมูอย่าเอาแต่ก้มหน้าเล่นแต่โทรศัพท์ดิ ช่วยสนใจกันหน่อยสิเว้ย เงยหน้ามาเดี๋ยวนี้เลย อย่าเอาโทรศัพท์เป็นที่หนึ่งแทนฉันสิฉันไม่ยอมนะยัยหมูปีศาจ” จมูกโด่งของขุนพลคลอเคลียอยู่แถวลำคออย่างเรียกร้องความสนใจ กลิ่นลมหายใจนี่ออกมาเป็นแอลกอฮอล์เลยเวลาพูดเนี่ย ไม่ได้ดื่มด้วยก็มึนได้ มือสองข้างก็จับเอวอยู่ที่เขย่าพุงอันไร้ไขมันส่วนเกินของฉันไปด้วยเลยต้องละสายตาจากการอ่านแชทของเพื่อนที่กำลังเม้าท์กันสนุกหันไปมองคนหน้าตายับยุ่งที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหลังโดยมีฉันนั่งพิงหลังอยู่ตรงกลางระหว่างขายาวๆของเขานี่แหละ เราสองคนไม่ได้นั่งอยู่ห่างไกลเกินเอื้อมมือถึงหรือคนละมุมกันเลยนะนั่งแทบจะสิงร่างกันอยู่แล้วเนี่ย
“ไม่ให้ฉันเล่นโทรศัพท์แล้วจะให้ฉันทำอะไรไม่ทราบคะคุณขุนพล นั่งดูพวกนายคุยเล่นกันเฉยๆงั้นเหรอน่าเบื่อตายเลย ฉันบอกให้พาไปส่งที่ห้องก่อนนายก็ไม่ยอมไป เดี๋ยวเกิดเมาขึ้นมานายก็ไปส่งฉันไม่ได้พอดี กระดกกันอย่างกับมันน้ำเปล่า ตับแข็งเข้าสักวันแล้วจะรู้สึก ไม่รู้จักรักตัวเองกันบ้างเลย” มันอดบ่นเขาไม่ได้ไงเห็นคาตาอยู่แบบเนี้ย แล้วไอ้รอยยิ้มนี่มันคืออะไร
“หือ ไม่เมาหรอกน่ามีเมียมาด้วยมั่นใจได้ ว่าแต่เป็นห่วงพี่ขุนเหรอคะน้องหมู เมียหมูของพี่ขุน” ฮือ ฉันเกลียดคำว่าเมียหมูของพี่ขุนมาก ความรู้สึกเหมือนฉันเป็นแม่หมูจริงๆยังไงก็ไม่รู้อ่ะ แต่หมอนี่มันสนใจที่ไหนกันล่ะ ยิ้มกริ่มแล้วยังยึดปลายคางฉันเอาไว้แน่น แถมทำปากจู๋ได้น่าหมั่นไส้มาก ไม่พอยังจุ๊บลงบนปากฉันเต็มๆ และมันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว จุ๊บๆจนจะแทะปากฉันอยู่แล้ว เขินหนักมากค่ะเพราะสายตาทุกคนมองมาที่เราเป็นตาเดียวเลย
“บอกว่าไม่ชอบให้เรียกแค่หมูคำเดียวไงทำไมไม่เคยฟังบ้างเลยเมียก็ยังไม่ใช่ขี้ตู่เกินไปไหมคนหน้ามึน” ฉันบ่นและเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากอุ่นของขุนพลที่จ้องจะตะครุบปากฉันลูกเดียวเลย เห็นปากเป็นขนมรึไงนะ
“ก็ฉันไม่อยากเรียกเธอเหมือนใครอ่ะ แบบนี้น่ารักสำหรับแล้ว และเธอก็คือเมียฉันด้วย อย่าเถียงไม่งั้นปล้ำจับทำเมียจริงๆมันตรงนี้แหละพยานเยอะดีจะได้เลิกปฏิเสธว่าฉันไม่ใช่ผัวเธอสักที เอาดิวะหมูปฏิเสธอีกดิ” ขุนพลยียวน
“ไอ้คนทะลึ่ง! เงียบปากไปเลยไม่อยากฟังอะไรแล้ว” ฉันถลึงตาใส่ พลางคิดว่าตบหน้าคนปากมอมโชว์เพื่อนโชว์ลูกน้องมันตรงนี้ดีไหมเพราะชอบพูดจาไม่เข้าหูให้ของขึ้นอยู่เรื่อยเลยให้ตาย ความอายนี่คงไม่เคยมีอยู่ในตัว สงสัยมีแต่ความด้านล้วนๆเลยผู้ชายคนนี้
“ไม่พูดก็ได้แต่” ขุนพลหรี่ตาแคบลงแล้วยิ้มน้อยๆ
จ๊วบ!
“อื้ออ!”
จุ๊บ!
“คนบ้า!” จูบเสียงดังจ๊วบไม่พอยังมีแถมจุ๊บตบท้ายมาอีกด้วย เป็นฉันเองที่อับอายเพียงคนเดียวส่วนไอ้คนทำน่ะเหรอ หึ! หน้าตาช่างระรื่นชื่นบานจนเกินเหตุ ไม่อยากสู้หน้าหรือสบสายตาล้อเลียนของใครฉันเลยเลือกซุกหน้าซ่อนความอายเข้ากับซอกคออุ่นๆของไอ้บ้าขุนพลแทน อ้อมแขนเขาแข็งแรงของเขาโอบรอบบั้นเอวฉันเอาไว้อยู่แล้วก็เพิ่มแรงกอดกระชับให้แน่นกว่าเดิมเข้าไปอีก แทบจะหลอมละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกันอยู่รอมร่อ จมูกโด่งๆนี่ก็ดมผมฉันอยู่นั่น
“โอยๆ มึงช่วยเกรงใจคนโสดไม่มีเมียสวยๆให้กอดให้จูบให้อ้อนออเซาะได้บ้างไหมวะไอ้ขุน นั่งก็แทบจะสิงร่างกันอยู่แล้ว นี่ยังมาจุ๊บมาดูดปากโชว์พวกกูอีกน่ารำคาญโว้ย! รีบกลับบ้านมึงไปเลยไปถ้าจะไม่สนเพื่อนแบบนี้ อิจฉาด้วยเข้าใจไหมเฮ้ย!” จิวโวยวายคนอื่นเลยพลอยเออออไปผสมโรงไปด้วย
“เสียงนกเสียงกาไม่ต้องฟังพวกมันหรอก มลพิษทั้งนั้นไอ้พวกเวรพวกเนี้ย” ขุนพลยกมือขึ้นมาปิดหูฉันเอาไว้ทั้งสองข้างเหมือนเด็กกลัวเสียงดัง และฝังหน้าซบลงกับไหล่ฉัน ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นทำหน้ายังไงแต่คิดว่าคงไม่ได้ยิ้มแน่นอนเพราะเสียงโห่ร้องและอะไรต่อมิอะไรที่แข่งกันพูดออกมา
“เมื่อไหร่จะกลับอ่ะ พรุ่งนี้ฉันมีเรียนเช้านะ” ฉันอดถามไม่ได้เพราะใจตอนนี้ก็เริ่มอยากจะกลับแล้ว
“อีกสักพักแหละ ถ้าง่วงก็หลับไปเลยนะหมู ฉันจะไม่ดื่มมากแล้วล่ะถ้าเธอไม่อยากให้ดื่มน่ะ” เสียงทุ้มกระซิบที่ข้างหู ฉันเลยอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
กลับมายังปัจจุบัน
ตอนนี้ฉันลากสังขารมาถึงมหาวิทยาลัยเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยการโบกแท็กซี่นั่งมาเพราะอาการนี้ไม่เหมาะแก่การขับขี่บนท้องถนนด้วยตัวเองเป็นอย่างมาก อันที่จริงคอนโดกับมหาลัยก็ไม่ได้ไกลจากกันเท่าไหร่หรอกอยู่ในละแวกเดียวกันนั่นแหละ แต่ว่าบ้านกับที่เรียนเนี่ยมันไกลกันไงเลยต้องมาอาศัยอยู่คอนโดแทนการไปกลับ เสาร์อาทิตย์ถึงจะกลับไปนอนบ้านให้ป๊าม๊าหายคิดถึง ปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมาก็อยู่บ้านช่วยขายทองยาวเลยเพิ่งกลับมาเมื่อวันเปิดเทอมวันแรกนี่เอง
“แหม! เหม่อนะคะหล่อน ทำไมมัวแต่คิดถึงพี่ขุนสุดหล่ออยู่รึไงจ๊ะนังหมวย หน้าสดมาด้วยเหรอเนี่ยว๊าว น่ารักแบบโคเรียมากค่ะวันนี้เพื่อนฉัน” มินนี่เอ่ยทักเสียงใสดั่งระฆังแก้วแสบหูทันทีเมื่อหย่อนก้นนั่งลงฝั่งตรงข้ามนาง เรานัดเจอกันที่โรงอาหารเพื่อมาฝากท้องหาข้าวเช้าใส่ท้องก่อนจะขึ้นไปเรียน
“ง่วงนอนต่างหากไม่ได้เหม่อย่ะแล้วก็ไม่ได้คิดถึงหมอนั่นด้วยอย่ามารู้ดีไปหน่อยเลย ส่วนเรื่องหน้าสดเนี่ยทำอย่างกับแกไม่เคยเห็นฉันเปลือยมันงั้นแหละชอบเว่อร์วังอลังการตลอด ไปหาซื้อข้าวกินเหอะหิวด้วยง่วงด้วยเนี่ย ว่าแต่ยัยพิ้งค์เถอะหายไปไหนล่ะมันมาถึงนานแล้วไม่ใช่เหรอ” เราสามคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว จากนั้นก็เรียนที่เดียวกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี่แหละ ตัดกันไม่ขาดแยกกันไม่ได้คือสโลแกนของพวกเรา
“ไปซื้อกาแฟแก้ง่วงน่ะสิ รายนั้นอาการคล้ายแกไม่มีผิด หน้านี่ง่วงพอๆกันเลย จะไปซื้อข้าวก็ไปเหอะซื้อเผื่อด้วยละกันฉันเอาแบบแกอ่ะเดี๋ยวเฝ้าของเอง” ยัยคนขี้เกียจเดินยิ้มแฉ่ง ฉันเลยมองค้อนไปทีอย่างหมั่นไส้
“อือๆ” ฉันพยักหน้ารับรู้ก่อนจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกจากกระเป๋าสะพาย แต่เดี๋ยวนะทำไมมันไม่ได้มีแต่ของฉันแค่คนเดียวล่ะ กระเป๋าหนังสีดำสนิทใบหรูยี่ห้อดังทรงสั้นแบบผู้ชายที่เป็นของใครไปไม่ได้นอกจากของขุนพล ซึ่งมันตุงมากสงสัยพกเงินสดเยอะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น คำถามคือมันอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย เมื่อคืนก็ไม่ได้ทันสังเกตสิ่งแปลกปลอมตอนออกจากห้องก็ไม่ได้สนใจตรวจดูข้าวของดูด้วยสิ คว้าได้ก็เดินออกมาเลยไม่ได้เปลี่ยนเป็นใบใหม่ ว่าแต่ไอ้คนที่เป็นเจ้าเนี่ยของจะรู้แล้วหรือยังว่ากระเป๋าตังค์ตัวเองมาอยู่กับฉัน ถ้ายังไม่รู้อย่าหวังว่าฉันจะปริปากบอกก่อนปล่อยให้หาเอาเองนั่นแหละจะได้รู้ว่าของสำคัญคู่กายอย่าเที่ยวไปหลงลืมไว้กับใครมั่วซั่ว
“อ้าว ทำไมไม่ไปสักทีอ่ะยืนขมวดคิ้วอยู่นั่นแหละเดี๋ยวก็ไม่ได้กินพอดี ไปเลยเร็วๆอย่าชักช้าหมวย” มินนี่ถามอย่างสงสัยแต่ฉันไม่ได้พูดอะไรเดินออกมาเลย
ร้านข้าวมันไก่คือร้านที่ฉันเลือกกิน คนไม่เยอะและได้เร็วด้วย ระหว่างรอคิวฉันก็มองอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้โฟกัสอะไรเป็นพิเศษ ยอมรับแหละว่าตัวฉันเองก็มีคนจ้องมองเหมือนกันนะขนาดว่าวันนี้หน้าสดมานะเนี่ย
“ชอบกินข้าวมันไก่เหรอ”
“ไม่ได้ชอบกินเป็นพิเศษหรอกแค่อยากน่ะแล้วไม่รู้ว่าจะกินอะไรด้วย ร้านอื่นคนเยอะขี้เกียจต่อแถวนานๆ” ฉันตอบคำถามและคลี่ยิ้มเพราะคนที่ถามน่ะเพื่อนในคณะของฉันเองแหละ เขาชื่อโฮป หน้าตาดีหล่อ สูง ยาว ขาว ตี๋ อ่อใส่แว่นด้วย สาวๆในคณะนี่ต่างพากันอยากจะทำความสนิทสนมด้วยเป็นแถว
“เรื่องขี้เกียจคือสาเหตุหลักๆของหมูแดงเลยสินะ” เขาแซวฉันเสียงเบาแล้วอมยิ้มน้อยๆสไตล์โฮปเขาเลยล่ะ เราสองคนสนิทกันในระดับหนึ่งเลยแหละเพราะทำงานกลุ่มด้วยกันบ่อยๆเมื่อเทอมที่แล้วและยังลอกการบ้านกันประจำ
“รับอะไรดีจ๊ะแม่หนู ไก่ทอดหรือไก่ต้ม” ฉันไม่ได้ตอบโฮปเพราะถึงคิวของตัวเองพอดี
“หนูเอาข้าวมันไก่ค่ะ เอาแต่เนื้ออกล้วนไม่เอาหนังทั้งสองจานเลยค่ะป้า” สั่งแบบที่กินประจำ ระหว่างรอข้าวก็หยิบถ้วยน้ำจิ้มมาตักรอ พร้อมถาดใส่อาหาร
“เดี๋ยวตามไปนั่งด้วยนะ” โฮปบอกฉัน ซึ่งฉันก็พยักหน้าตอบรับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าจะนั่งด้วยเพราะเห็นเพื่อนเขาคนอื่นๆก็นั่งออกินข้าวกับพวกยัยมินนี่และยัยพิ้งค์แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเราจะนั่งกินข้าวด้วยกัน
“วันนี้พวกเราต้องเลือกชมรมนะอย่าลืมนะจ๊ะเพื่อนๆ” ยัยพิ้งค์คลายหลอดกาแฟออกจากปากแล้วพูดขึ้น ก่อนหน้านี้คุยเรื่องอะไรกันก็ไม่รู้เดินมาได้ยินประโยคนี้พอดี
“ปีที่แล้วเราเลือกลงของมนุษย์ศาสตร์ ปีนี้ชมรมอะไรดีอ่ะหมูแดงแกเลือกเดี๋ยวฉันกับพิ้งค์ตาม” มินนี่ถามฉัน ซึ่งฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะลงของคณะอะไรด้วยสิ
“ขอดูก่อนดิว่าปีนี้คณะอะไรแจ่มสุด แต่ขอยกเว้นวิศวะไว้นะเพราะชมรมของคณะนี้ไม่น่าจะเหมาะกับลุคพวกเราแน่นอน หมูแดงปล่อยผ่านค่า แต่ถ้าแกสองคนอยากเลือกก็ตามสบายนะเผื่อจะได้เกียร์มาครอบครองไว้แบบเก๋ๆให้ฉันอิจฉาเล่น” ฉันพูดยิ้มๆก่อนจะวางถาดอาหารลงแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างมินนี่ที่สั่นหน้าแรง
“ไม่เอาหรอกค่ะเกียร์วิศวะน่ะ ขออิจฉาแกก่อนดีกว่าตอนเนี้ยหมั่นไส้ที่สุดอ่ะบอกเลย” พิ้งค์จิ้มไหล่ฉันจึกๆแล้วยิ้มอย่างล้อเลียนพอๆกับมินนี่ที่ทำท่าเขินอาย คนอื่นๆก็เกิดความสงสัยขึ้นฉับพลันถามนั่นนี่กันใหญ่แต่ฉันก็เลือกที่จะกินข้าวเงียบๆ ไม่ตอบยิ้มสวยๆอย่างเดียว
Kunpon Talk
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเกียจคร้านเพราะเสียงริงโทนโทรศัพท์ที่เพิ่งวางสายไปเมื่อสักครู่ ไอ้จิวมันบอกให้เข้าไปมหาลัยเพื่อเข้าชมรมที่เราสามคนสุมหัวคิดกันขึ้นมาเองเพราะไม่อยากไปอยู่ภายใต้คำสั่งของใคร อาศัยเส้นใหญ่คับมหาลัยของมันคนอื่นๆเลยไม่กล้ามีปัญหาหรือต่อกรด้วยเลยสักคนแม้แต่อาจารย์ ที่นี่มีมันกฎบังคับว่านักศึกษาชั้นปีที่สามต้องก่อตั้งชมรมของแต่ละคณะขึ้นมาทุกปีเพื่อให้น้องปีหนึ่งปีสองคณะอื่นมาแลกเปลี่ยนทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่อนุญาตให้เข้าชมรมคณะตัวเองยกเว้นปีสี่ไม่ต้องยุ่งใกล้จบแล้วเป็นไงดีไหมล่ะ หมูแดงเองก็ต้องมาอยู่ชมรมเดียวกับผมเท่านั้น นั่นคือสิทธิ์ขาดที่ผมเลือก เรื่องอะไรจะยอมปล่อยให้เลือกตามความสมัครใจของตัวเองไม่มีทางซะหรอกยิ่งดื้อบวกพยศอยู่ด้วย ชมรมที่ว่าก็ไม่ได้จะให้ทำอะไรมากหรอกสบายจะตายเผลอๆแค่นั่งนอนหรือไม่ต้องเข้าเลยด้วยซ้ำ
ใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวไม่นานผมก็ขับรถตรงดิ่งมามหาวิทยาลัย ไม่ต้องวนหาที่จอดรถนานเหมือนคนอื่นเพราะเรามีที่จอดค่อนข้างส่วนตัวโทรหาหมู หมูก็ดันไม่ยอมรับสาย ไลน์ไปก็ไม่อ่านถ้าเจอตัวต้องจัดการหน่อยแล้ว โทรศัพท์มีไว้ใช้ไม่ได้มีไว้ประดับกระเป๋าเฉยๆ ทีเวลาอยู่ด้วยกันเห็นเล่นมันอยู่นั่นจนต้องเรียกร้องความสนใจอยู่บ่อยๆ
“อ๊ะ!”
ครับแล้วผมก็ถูกผู้หญิงเดินชนหรือผมชนเองนี่แหละเพราะเอาแต่ก้มหน้าพิมพ์ข้อความหาหมูเลยไม่ทันได้มองทาง พอเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณีก็พบรอยยิ้มหวานหยดที่เจ้าตัวตั้งใจมอบให้ซึ่งผมไม่ได้ยิ้มตอบ แบบนี้แถวบ้านเรียกอ่อยด้วย หน้าตาดีใช้ได้แต่ลูกหมูตัวน้อยๆของผมดีกว่าเป็นร้อยเท่า
“โทษทีนะไม่ทันได้มอง” ผมพูดสั้นๆและเบี่ยงตัวเดินไปอีกทาง ใครจะผิดจะถูกไม่รู้ขอโทษเอาไว้ก่อน
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ขุน” แน่ะรู้จักชื่อผมด้วย แต่ก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจอะไรมากมายนักหรอก คนในมหาลัยใครๆก็รู้จักผมถ้าไม่นับพวกเด็กใหม่อ่ะนะ อ่ออีกคนคือหมูของผมเอง
“อ้าวไอ้เวรขุน มายืนบื้อเป็นสากกะเบืออะไรตรงนี้ไม่ทราบวะแดดร้อนจะตายชัก ไปๆ ว่าแต่เมียน้องหมูแดงของมึงไปไหนวะทำไมปล่อยให้มึงยืนเอ๋อแดกอยู่คนเดียว” ไอ้เคนคนปากหมานั่นเอง ไม่รู้ก็ชอบพูดไปเรื่อยเปื่อย โดนมันเกี่ยวคอผมเลยเลิกสนใจยัยเด็กนี่แล้วเดินไปกับมันเลยมองอย่างกับจะแทะแน่ะ
“เอ่อเดี๋ยวก่อนค่ะพี่ขุนพี่เคนอย่าเพิ่งไปค่ะ คือหนูมีเรื่องจะถามน่ะค่ะ” ยัยเด็กปากแดงคนนั้นวิ่งมาดักหน้าผมกับไอ้เคนเราเลยต้องหยุดเดิน
“มีเรื่องอะไรจะถามพี่สองคนเหรอครับน้อง ถ้าตอบได้พี่ก็จะตอบ” เคนเป็นคนพูดเมื่อผมยืนเฉยๆ ทีอย่างเงี้ยทำเป็นสุภาพขัดกับตัวตนที่แท้จริงของมันราวฟ้ากับเหวเลย
“เอ่อคือว่าหนูกับเพื่อนอยากเข้าชมรมของพวกพี่ไม่ทราบว่าต้องทำยังไงบ้างเหรอคะ” ยัยเด็กปากแดงจ้องหน้าผมกับไอ้เคนนิ่งอย่างมีความหวัง ดูท่าคงจะเป็นเด็กปีหนึ่ง
“อ๋อ อยากรู้เรื่องชมรมของพวกพี่นั่นเอง ว่าแต่น้องคนสวยอยู่คณะอะไรเอ่ยพี่จะได้แนะนำได้ถูกจุด ชมรมนี่ถ้าเลือกผิดไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนนะจะบอกให้ เพราะต้องทนอยู่กับมันเป็นปีๆ กลั้นกลืนฝืนทนสุดๆเลยแหละหลายๆคนเจอปัญหานี้มาแล้ว” ไอ้เคนสบตาผมยิ้มๆ ผมยืนนิ่งไม่ได้พูดอะไรกับใครปล่อยให้มันจัดการตอบเอง
“หนูเรียนอยู่คณะมนุษย์ค่ะพี่เคน เพิ่งจะเข้าปีหนึ่ง ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากเลยค่ะ” ยัยเด็กนี่ตอบยิ้มๆอย่างภาคภูมิใจ สงสัยจะถูกใจที่ไอ้เคนมันพูด ลืมไปแล้วล่ะมั้งว่าตัวเองอยากรู้เรื่องอะไร เมื่อไหร่จะพูดพล่ามกันจบวะเริ่มรำคาญแล้ว
“สวยๆอย่างน้องไม่เหมาะกับชมรมใช้แรงงานของพวกพี่หรอก เข้าชมรมที่มันสบายๆอย่างนิเทศสิเหมาะสุด เชื่อพี่เหอะน้อง” ไอ้นี่มันเข้าใจพูด
“จะ...จริงเหรอคะ”
“จริงสิครับ ลองไปคิดดูนะเพราะตัวน้องกับเพื่อนที่ต้องเป็นคนตัดสินใจเลือก แต่ถ้าเป็นพี่บอกเลยว่าถ้าเจอเจ้าของชมรมพูดงี้ไม่มีทางเข้าไปให้โง่หรอก ไปล่ะ บาย” มันโบกมือลาก่อนจะถูกผมลากคอออกมา
“บายค่ะ”
“เด็กนั่นหลงเสน่ห์มึงเข้าอีกคนแล้วว่ะ ระวังน้องหมูแดงคนสวยจะหักคอมึงตายคามือก่อนวัยอันควรนะเว้ยไอ้ขุน ยิ่งดุๆอยู่ด้วย” มันแซวหลังจากเราเดินออกมาไกลจากตรงนั้นแล้ว แค่ชอบฝ่ายเดียวผมไม่ได้เล่นด้วยกลัวทำไมจริงใจซะอย่าง
“กูคงไม่ตายเพราะถูกหมูบีบคอหรอกว่ะแต่กูอาจจะตายคาอกสวยๆของเมียกูนี่สิ อันเนี้ยน่าเป็นห่วงกว่าอีก แล้วก็นะในมหาลัยนี้มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่ชอบกูมั่งวะถามจริง” ผมกระตุกยิ้มแล้วยักคิ้วให้มันก่อนจะปัดแขนมันออก
“โอ้โห! มั่นหน้าและหน้าหมั่นไส้ไปอีก” มันประชด
“เรื่องของกู มึงไปนอนรอในห้องชมรมก่อนไป กูจะไปหาหมูหน่อย” เราเดินกันมาเรื่อยๆจนถึงทางแยกเล็กๆที่จะเลี้ยวไปตามตึกต่างๆผมก็บอกมันทันที
“เออ”
“ขุน”
ผมเงยหน้าขึ้นมองทันทีเพราะจำน้ำเสียงได้ดี แทนที่จะยิ้มหวานๆให้ทำหน้างอใส่ซะงั้นแหละ ผมแย่งกระเป๋ามาถือเองอีกตามเคยและวางมือลงบนผมนุ่มแล้วจัดการยีจนมันยุ่งหน่อยๆ แก้มป่องๆนี่ก็เหมือนกันน่าหอมโคตรๆ อาศัยจังหวะที่เจ้าตัวหันหน้าไปคุยกับผองเพื่อนผมเลยขโมยหอมแม่งเลย
“ไอ้บ้าขุน!” เสียงใสๆหันมาดุผมเสียงขุ่นแล้วมองค้อนเพื่อนตัวเองที่ยืนหัวเราะคิกคัก เพิ่งจะสังเกตว่าวันนี้ลูกหมูของผมมาแบบใสๆเลย ไม่ได้แต่งหน้า
“ทำไมน้องหมูของพี่ขุนน่ารักงี้วะเนี่ย หืมม” ผมดึงแก้มนุ่มๆให้ยืดออกอย่ามันเขี้ยว ถ้าไม่เกรงใจสายตาหลายคู่ที่มองเราสองคนอย่างสนใจผมจับจูบปากและคว้ามากอดแน่นๆไปแล้ว
“ก็คนมันน่ารักตั้งแต่เกิดไง” ตอบอย่างมั่นใจและตีมือผมแรงๆเพื่อให้ปล่อย และก็เพิ่งสังเกตอีกเหมือนกันว่าในกลุ่มเพื่อนที่ออกกันอยู่นี่มีผู้ชายรวมอยู่ด้วย
“รู้แล้วว่าน่ารักตั้งแต่เกิดไม่เถียงเธอหรอก แล้วเราจะไปกันได้ยังอ่ะหมู หิวข้าวไส้จะขาดแล้วเนี่ยมัวแต่ยืนโม้โอ้เอ้อยู่ได้เสียเวลาต้องเข้าชมรมอีกนะเว้ย” ผมเร่ง เริ่มไม่สบอารมณ์แล้วด้วย ถึงมันจะเป็นเรื่องปกติที่จะมีเพื่อนผู้ชายก็เหอะ
“ถ้าหิวมากก็ไปหาอะไรกินก่อนสิ เดี๋ยวต้องไปเลือกชมรมกับเพื่อนต่อ ยังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” หน้าคว่ำหน้างอเลยสงสัยโกรธที่ผมว่าเธอยืนโม้ แต่มันก็เรื่องจริงปะวะ
“ฉันเป็นเจ้าของชมรมเธอจะต้องเลือกของคณะอื่นทำไม่ทราบ มินนี่กับพิ้งค์ด้วยนะไปอยู่ด้วยกัน” ผมบอกสองสาวที่ยืนมองเรานิ่งก่อนจะฉุดข้อมือเล็กให้ออกเดิน
Kunpon End