บทที่ 4
รรินธรมองกลับไปดูน้องสาวแบบแปลกใจ ว่าทำไมเจ้านายถึงเจาะจงอยากจะคุยกับน้องเธอโดยตรง
"ทำไมท่านประธานถึงเรียกเรา" แทนที่จะบอกให้น้องสาวรีบตามเข้าไป เธอต้องถามเอาความจริงก่อน
"ตกลงพี่จะให้ฉันเข้าไปไหม" ไม่รู้จะตอบพี่สาวยังไง เพราะเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
"อย่าทำให้พี่ลำบากใจเข้าใจไหม ..รู้ไหมว่างานสมัยนี้มันหายาก ยิ่งตอนนี้พี่ใกล้คลอด ต้องได้เก็บเงินไว้เลี้ยงหลานอีก"
"ค่ะ" ถ้าเขาไม่เริ่มก่อนนะ ..ประโยคหลังเธอได้แค่คิดเอาเพราะไม่กล้าพูดกลัวพี่สาวจะไม่สบายใจ
แล้วหญิงสาวร่างระหงก็ได้ก้าวเดินมาที่หน้าห้องของท่านประธาน พร้อมกับเคาะประตูเบาๆ
"เชิญ"
ประตูบานนั้นถูกเปิดเข้ามาทันทีที่เจ้าของห้องอนุญาต พอเธอเข้ามาก็เห็นว่าเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ สายตามองทอดออกไปนอกอาคารที่รอบล้อมไปด้วยกระจก
"เธอต้องการเท่าไร" ชายหนุ่มพูดออกไปแบบไม่อ้อมค้อม แต่ที่จริงมันก็เป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว
"คะ??" ดวงตากลมเปิดกว้างขึ้นเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากเจ้านาย
"ฉันจะให้เงินเท่าที่เธอต้องการ"
"บอสจะให้ฉันทำไม" หญิงสาวพยายามคิดถึงหน้าพี่สาวไว้ให้มาก เพราะถ้าบู่มบ่ามพูดอะไรออกไปกลัวพี่สาวจะลำบากไปด้วย
"ฉันไม่ได้พิศวาสอะไรในตัวเธอหรอก"
"อ้าว!" หญิงสาวเอ่ยพูดขึ้นโดยที่ไม่ได้รอฟังให้จบก่อน ในเมื่อไม่พิศวาสแล้วจะเรียกเธอเข้ามาหาพระแสงอะไร
"ฟังให้จบก่อนสิ"
"ว่ามา...ค่ะ" เกือบลืมมีหางเสียง
"ฉันจำเป็นต้องใช้งานเธอ ก็อย่างที่เธอเห็น แม่กับพี่สาวของฉัน.."
"ไม่ค่ะ"
"??" ชายหนุ่มถึงกับมองเธอให้เต็มตา เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีผู้หญิงที่ไหนปฏิเสธเขาแบบนี้ "เธอจะไม่ไปคิดดูหน่อยเหรอ"
"ทำไมต้องคิดด้วยล่ะคะ ถ้าบอสจะเรียกมาคุยเรื่องนี้ ฉันขอกลับไปทำงานก่อนนะคะ" ทำไมเธอต้องเอาตัวเองเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องครอบครัวของเขาด้วย เงินน่ะใครจะไม่อยากได้ แต่ถ้าได้มาแล้วมันทำให้ชีวิตวุ่นวาย ขอไม่เอาดีกว่า
ชายหนุ่มได้แต่มองตามผู้หญิงที่อวดเก่งอวดดี เพราะตอนนี้เธอออกจากห้องไปแล้ว
ธุรกิจเป็นหมื่นล้านเขายังจัดการมาได้ กับอีแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว..
สามวันผ่านไป..
"แม่เล่นแบบนี้เลยเหรอครับ" กลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าที่โต๊ะอาหารไม่ได้มีแค่ครอบครัวของเขา
"ก็ในเมื่อชวนลูกออกไปทานข้างนอกแล้วลูกไม่ไป ก็ชวนหนูเอมมี่มาทานที่บ้านเรามันจะไปยากอะไรล่ะ" แม่กับลูกพูดกันเพียงแค่เบาๆ
"วันนี้ผมทำงานมาเหนื่อย ไม่หิวครับ"
"ตาคฑา! ลูกจะทำให้แม่อกแตกตายเลยหรือไง รู้ไหมว่าแม่กลุ้มใจกับลูกมากแค่ไหน"
"คุณแม่ไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ"
"หยุดนะคฑาอย่าว่าให้แม่แบบนั้น!"
พอถูกพี่สาวตะคอกเขาถึงได้หยุดพูด
"พี่ว่าเรามานั่งทานข้าวดีกว่า" สันติพี่เขยก็เลยเลื่อนเก้าอี้ให้น้องชายของภรรยา คฑาถึงได้ยอมเดินไปนั่งด้วย
"เอมมี่ว่า.."
"ว่าอะไรครับ" ชายหนุ่มพูดสวนขึ้นโดยที่ยังไม่ให้ผู้หญิงได้พูดต่อ แต่มันไม่ใช่นิสัยของเขาหรอก เขาพยายามทำนิสัยไม่ดีออกมาให้ผู้หญิงที่แม่จัดหามาให้ได้เห็นเฉยๆ
จนผู้หญิงที่ชื่อเอมมี่ไม่กล้าพูดต่อ แต่สายตาของแม่และพี่สาวต่างก็เพ่งเล็งมาที่เขา
"ทานสิครับรออะไรอยู่" ว่าแล้วชายหนุ่มก็เริ่มทานข้าวแบบเอร็ดอร่อย แต่ทำไมแม่จะไม่รู้ว่าลูกชายกำลังทำประชด
วันต่อมา..
รรินธรมองดูสายตาของท่านประธานเวลามองมาที่น้องสาวของเธอมันดูแปลกๆ ถ้าจะว่าท่านสนใจในตัวน้องสาวก็คงไม่ใช่ เพราะคนระดับนี้แล้ว
เย็นวันนั้น..
เป็นอีกวันที่อัญชัญชวนเอมมี่มาทานข้าวที่บ้าน เพราะอยากจะให้ทำความรู้จักกับลูกชายไว้ให้มาก และเอมมี่ก็รู้เรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวกับตัวของเขาแล้ว และฝ่ายหญิงก็รับปากแม่เขาว่าจะช่วยให้เต็มที่
"ถ้าแม่ยังขืนทำแบบนี้อยู่อีก ผมจะไปค้างที่คอนโด"
"ลูกไม่ทำแบบนั้นอยู่แล้วแม่รู้ดี ลูกเคยสัญญากับพ่อไว้ก่อนที่จะตาย ว่าจะดูแลแม่แทนพ่อ"
เขาถึงกับพูดไม่ออกเมื่อแม่ทวงคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับพ่อก่อนตาย
"แม่แก่มากแล้ว ไม่รู้เมื่อไรแม่จะไปอยู่กับพ่อ แม่อยากจะอุ้มหลานก่อนไป"
"ไม่จริงหรอกครับ แม่ไม่ได้อยากอุ้มหลาน แต่แม่กลัวว่าผมจะไปคว้าผู้หญิง ที่แม่ไม่ชอบมาเป็นสมาชิกในครอบครัวมากกว่า"
"ในเมื่อลูกรู้แบบนั้นแล้ว ลูกก็อย่าทำให้แม่เสียใจสิ แม่รอเรือหลายๆ ตัวนั้น ไม่เหมาะสมกับลูกเลย"
"ใครรอเรือหลายๆ ตัวครับ" ชายหนุ่มถึงกับงงไม่รู้ว่าแม่กำลังพูดถึงใครอยู่
"ก็คนที่ลูกกำลังพัวพันอยู่ด้วยไง อย่าบอกนะว่าลูกไม่รู้จักชื่อของเธอ?"
"??" เขาลืมไปเลยแล้วเธอชื่ออะไร เคยเรียกแต่ชื่อเลขาที่เป็นพี่สาวของเธอ