8 อยากรู้
“ขอบคุณมากนะคะคุณลุงคุณป้า อาหารอร่อยมากค่ะ”
“ถ้าอร่อยหมอพั้นช์ก็มาทานบ่อยๆ สิจ๊ะ เลิกงานแล้วกลับมาพร้อมป้าเลยก็ได้นะ มาทานแล้วค่อยกลับคอนโด”
“พั้นช์เลิกงานไม่ตรงเวลาหรอกค่ะ ไม่อยากให้ทุกคนรอเอาไว้ถ้าช่วงที่งานไม่เยอะ พั้นช์ค่อยแวะมาทานข้าวด้วยนะคะ”
“ได้จ้ะ บ้านนี้ต้อนรับหมอพั้นช์ตลอด”
“พั้นช์ไปก่อนนะคะ” หญิงสาวยกมือไหว้เจ้าของบ้านอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงรถมาจอด
“จะกลับคอนโดเลยไหม หรือจะให้ผมไปส่งที่ไหน” นิโคไลถามอย่างเอาเรื่องเพราะไม่รู้ว่าวันนี้หญิงสาวคิดจะหนีเขาไปนอนที่ไหนอีก
“กลับคอนโดค่ะ”
“ได้ยินแล้วนะธนัท กลับคอนโด” พูดจบเขาก็กดปุ่มเพื่อให้ม่านกั้นระหว่างผู้โดยสารและคนขับ
“อันที่จริงคุณไม่ต้องส่งฉันที่คอนโดก็ได้นะ ส่งแค่ปากซอยก็ได้เดี๋ยวฉันนั่งแท็กซี่ไปเอง”
“ผมรับปากแม่ไว้แล้วยังไงผมก็ต้องส่งคุณให้ถึงที่”
“ฉันไม่พูด คุณไม่พูดคุณป้าไม่รู้หรอก”
“ผมเป็นคนรักษาคำพูดน่ะ ไม่เหมือนคนบางคน”
“ฉันรักษาคำพูดตลอด”
“ผมก็ไม่ได้ว่าคุณนี่ครับ”
“แต่หน้าคุณมันฟ้อง”
“ผมว่าคุณร้อนตัวมากกว่า ถ้าคุณคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดก็ไม่เห็นต้องหลบหน้าผมเลย”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ได้หลบ ลูกน้องคุณดูไม่ดีเองแล้วมาหาว่าฉันหนี”
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้คุณต้องให้ผมไปรับ”
“ได้สิ”
“กี่โมง”
“เจ็ดโมงเช้า ถ้าช้าแม้แต่วินาทีเดียวจะมาหาว่าฉันหนีไม่ได้นะ”
“แล้วคืนนี้คุณต้องไปโรงพยาบาลกลางดึกไหม”
“ไม่ วันนี้ใช่เวรฉัน”
“เวรคุณวันไหนบ้าง”
“คุณไม่ต้องรู้หรอกน่า”
“ก็ผมจะคอยรับส่งไง ถ้าไม่รู้จะเตรียมตัวทันไหมล่ะ””
“เอาเป็นว่าวันไหนเป็นเวรของฉันแล้วฉันจะบอกตกลงไหม” พัณณ์ชิตาคิดว่าเขาคงรับส่งเธอไม่กี่วันเดี๋ยวก็คงเบื่อไปเอง
“ตกลง”
“นี่คุณ ฉันถามหน่อยเถอะ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าสิ่งที่คุณทำอยู่นี่มันไร้สาระมากเลยนะ”
“ไม่เลย ผมทำเพื่อหลาน”
“ฉันรู้เรื่องของคุณหมดแล้วนะ เพราะฉะนั้นคุณมั่นใจได้เลยว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นอีกอย่างแน่นอน” หญิงสาวอยากให้เขามั่นใจว่าจะไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นอีก เพราะเธอติดตามอาการของทารกน้อยกับคุณหมอไอรดาอยู่ตลอดและตอนนี้ทารกก็ไม่ได้อยู่ในขั้นวิกฤติหรือต้องกังวลอะไรเลย
“คุณรู้ได้ยังไง”
“แม่คุณเล่าให้ฉันฟัง”
“แม่เล่าให้ฟังแค่ไหน” น้อยครั้งที่เขาจะพูดถึงเรื่องนี้ให้คนอื่นฟังเพราะถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว
“ก็เล่าว่าคุณสูญเสียลูกจากการคลอดก่อนกำหนด แต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมาก” พัณณ์ชิตาอยากให้เขาเปิดใจคุยเผื่อจะหายเครียดได้บ้าง
“อือ ผมเสียลูกไปจริงๆ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันเขาเหมือนอาการจะดีขึ้นนะ เริ่มหายใจเองได้ ผมก็เลยวางใจ แต่อีกสองวันต่อมาเขาก็เริ่มซึมแล้วจู่ๆ ก็หยุดหายใจ”
“ถ้าฉันเป็นคุณก็คงเสียใจมากเหมือนกัน และก็คงให้หมอชันสูตรจะได้รู้สาเหตุ พอครั้งต่อไปจะได้หาทางป้องกัน”
“ผมก็ชันสูตรนะ แต่หมอก็ไม่ได้บอกอะไรแค่บอกว่าเกี่ยวกับหัวใจ”
“ไม่นะคะ คุณป้าบอกว่าภรรยาของคุณบอกหมอไม่ให้ชันสูตรเพราะสงสารลูก”
“คุณเอาอะไรมาพูด” นิโคไลมองหน้าหญิงสาว เขาไม่เชื่อว่าอดีตภรรยาจะทำแบบนั้น
“ฉันก็พูดตามที่ได้ยินมา คุณจะมาทำหน้ายักษ์ใส่ฉันทำไมกันล่ะ ถ้าคุณอยากรู้ว่ามันจริงไหมคุณก็ไปถามภรรยาคุณดูเองสิ”
ชายหนุ่มได้แต่นิ่งเพราะเขาไม่รู้ว่าทำไม่มารีนาอดีตภรรยาของเขาถึงทำแบบนั้น
“บางทีมันก็ถูกของเธอนะ”
“ถ้าคิดว่าเธอทำถูกแล้วคุณจะทำหน้าเครียดทำไมล่ะ”
“มันคาใจ”
“คุณก็ถามเธอสิ คนเป็นสามีภรรยากันมันต้องคุยกันได้ทุกเรื่อง เพราะถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยอมให้อะไรมันค้างคาใจจนฉุดเราไม่ให้เดินไปข้างหน้า” เพราะพัณณ์ชิตาเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย ถ้าอยากรู้อะไรก็ต้องรู้ให้ถึงที่สุด การรู้อย่างครึ่งๆ กลางๆ และเก็บมาคิดเองแบบนี้ไม่ใช่นิสัยของเธอ
“ผมเลิกกับเธอได้เกือบห้าปีแล้ว”
“ฉันเสียใจด้วยนะคะ และก็ขอโทษที่พูดไม่ดีกับคุณ” หญิงสาวรู้สึกผิดที่พูดกับเขาไปแบบนั้น เพราะเธอไม่รู้ว่าเขากับภรรยาเลิกกันแล้ว
“ผมไม่คิดมากแล้ว เราไปกันไม่ได้ก็เลิกกันแค่นั้นเอง แต่ที่ผมยังติดใจอยู่ก็คือเรื่องลูก” นิโคไลไม่หลงเหลือความรักให้กับมารีนาแล้วเขาจึงไม่เสียที่เลิกกับเธอ
“ฉันไม่รู้นะว่าระบบโรงพยาบาลที่ประเทศคุณเป็นยังไง แต่ที่ประเทศไทยตามโรงพยาบาลจะเก็บประวัติคนไข้ห้าปีก่อนจะทำลายทิ้ง”
“ถ้าได้ประวัติมาแล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนไปไหมล่ะ” นิโคไลไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะทำยังไงดี
“มันคงไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่มันจะทำให้ความกลัวและความกังวลที่คุณมีอยู่ตอนนี้หายไปและคุณก็จะได้เลิกตามฉันไงล่ะ”
“ที่พูดมาทั้งหมดก็เพื่อตัวเองใช่ไหม”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิดเลยนะ ถ้าคุณตามฉันจนหลานคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วคุณคิดว่าเรื่องลูกของคุณจะจางหายไปไหมล่ะ”
“ถ้าผมได้ประวัติมา คุณจะช่วยดูไหมล่ะ” ชายหนุ่มเองก็อยากรู้และจะได้หลุดพ้นจากกังวลที่ตนเองเป็นอยู่ตอนนี้
“ฉันไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น แต่จะหาคนที่พอรู้เรื่องช่วยดูให้ได้” พัณณ์ชิตาก็อยากช่วยเขาอย่างเต็มที่
“ขอบคุณมาก”
“อย่าเพิ่งขอบคุณเลยค่ะ ฉันไม่รู้ว่าถ้าได้แฟ้มมาแล้วเรื่องมันจะเป็นยังไงต่อ”
“แค่คุณคิดจะช่วยผมก็ดีใจแล้ว” นิโคไลรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยขอความช่วยเหลือจากใครและเคยมีใครเสนอจะช่วยเหลือเขา ทุกคนต่างเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์ของตนเองด้วยกันทั้งนั้น
“งั้นฉันไปได้แล้วใช่ไหม”
“พรุ่งนี้ผมมารับนะ หวังว่าเราจะได้เจอกันที่นี่ไม่ใช่ที่โรงพยาบาล”
“ฉันไม่ใช่เด็กนะคะ ดีเสียอีกมีคนรับส่งฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถเองไงล่ะ” พัณณ์ชิตาพยายามมองโลกในแง่ดีเอาไว้ก่อน
“ดีครับ เพราะช่วงนี้ผมก็ไม่มีอะไรทำอยู่เหมือนกัน” นิโคไลรอจนกระทั่งหญิงสาวเดินเข้าไปในคอนโดแล้วบอกธนัทกลับ
ระหว่างชายหนุ่มก็เอาแต่คิดว่ามารีนามีเหตุผลอะไรที่ไม่ให้หมอชันสูตรต่อ เธอไม่อยากรู้เหมือนเขาเหรอว่าทำไมอยู่ดีๆ ลูกถึงจากไปแบบนั้น แค่เพียงสงสารลูกมันฟังดูไม่ขึ้นเท่าไหร่
มารดาของเขาไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเขาเลยคงเป็นเพราะไม่อยากให้เขาเก็บไปคิดมาก แต่ในเมื่อเขารู้แล้วเขาก็จะหาคำตอบว่าเพราะอะไรลูกสาวของเขาถึงเสียชีวิต แม้มันจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แต่มันก็จะปลดล็อกความรู้สึกของเขาอย่างที่คุณหมอคนสวยพูดไว้