บทย่อ
เพทรา วอลลิส สาวน้อยช่างกล้องของกองถ่ายภาพยนตร์โทรทัศน์ หล่อนเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ทำงานอยู่ในกลุ่มผู้ชายซึ่งล้วนกร้าวร้าว เดน คิงสตัน ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับการแสดงซึ่งเป็นนายจ้างของเพท เขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ รูบี้ เกล ดารานักร้องเจ้าอารมณ์ที่เขาต้องคอยเอาใจทุกรูปแบบ หล่อนใช้ความเป็นดารายอดนิยมต่อรองกับเดนให้ผลักดันเพทออกจากการร่วมงาน เพทต้องเผชิญทั้งปัญหาของหัวใจ และการทำงานที่ท้าทายความสามารถของหล่อนอย่างหนัก
บทที่ 1
โต๊ะกลมสองตัวถูกเลื่อนมาต่อกันภายใต้แสงสลัวของห้องค็อกเทล เล้านจ์ ภายในโรงแรมไม่มีส่วนใดบนโต๊ะที่จะ ว่างจากการตั้งแก้วเครื่องดื่ม ที่เขี่ยบุหรี่ จานใส่เครื่องแกล้ม ที่เป็นขนมปังกรอบแผ่นเล็กๆ และแก้วทรงคุ้มที่จุดเทียนไขให้แสงแสว่าง เก้าอี้สิบกว่าตัวที่ตั้งรายเรียงอยู่รอบโต๊ะนั้น มีผู้ชายจับจองอยู่แล้วทั้งหมด นอกจากตัวเดียวเท่านั้น
เพทรา วอลลิส เป็นสาวน้อยนางเดียวที่นั่งอยู่ในกลุ่ม แต่เธอก็ชินเสียแล้ว นอกจากเสื้อผ้าชุดสีกากีที่เธอสวมใส่อยู่แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่บอกว่าเธอเป็นผู้ชาย เสื้อกางเกงที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้ได้ทั้งสองเพศนั้น เน้นให้เห็นเรือนร่างที่สูงระหง ซึ่งตัดกับเรือนผมสีบลอนด์ ที่ถูกรวบไปไว้ข้างหลังรัดไว้ด้วยคลิปสีทอง พวงผมนั้นยาวลงไปจรดแผ่นหลังงามระยับราวม่านสีทอง
ธรรมชาติได้มอบพรให้เธอมาด้วยผิวพรรณอันนวลผ่องหาที่ตำหนิมิได้และยังโครงสร้างของใบหน้าที่งามแบบคลาสสิค บอกถึงจิตใจที่เข้มแข็ง ปากที่แม้จะค่อนข้างกว้างแต่ก็ประกอบด้วยเรียวปากที่อิ่มเต็ม จมูกโด่งเป็นสันตรงปลายเชิดเล็กน้อยที่แสดงออกถึงความเป็นคนทิฐิ ดวงตาสีเขียวเข้มราวสีแห่งน้ำทะเล ประกอบด้วยแผงขนตาสีน้ำตาลเข้มราวปีกผีเสื้อ
เพื่อนๆที่สนิทๆเรียกเธอว่าเพท และมักจะบอกว่าเธอควรเลือกอาชีพเป็นนางแบบจะดีกว่า แต่เธอก็ไม่สนใจที่จะยืนอยู่หน้ากล้อง พอใจที่จะอยู่เพียงแค่หลังกล้องมากกว่า
ในท่ามกลางเสียงพูดคุยหยอกเย้าและคำพูดตลกๆคละเคล้าอยู่ด้วยเสียงหัวเราะนั้น เพททำตัวให้เข้ากับบรรยากาศด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง
“เออ...พวกคุณมีใครเคยเห็นข้างในรถแวนของชาร์ลีบ้างไหมล่ะ” คำถามเป็นเชิงล้อนั้น ได้รับคำตอบเป็นเสียงหัวเราะขบขันอยู่ในลำคอ ในขณะที่ชาร์ลี ซัททัน ซึ่งนั่งตรงข้ามกับเธอ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีเลศนัยอยู่
“ก็แสดงว่าคุณนั่งรถมาที่นี่กับชาร์ลีใช่ไหมล่ะ เพท” เพื่อนชายคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“ก็ใช่น่ะสิ จนกระทั่งฉันปีนขึ้นไปนั่งบนรถคันนั้นแล้ว ถึงได้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า นี่ฉันกำลังหาเรื่องยุ่งใส่ตัวอยู่ หรือว่าชาร์ลีควรจะถูกตบหน้าสักเพียะดี” เธอเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสำราญใจ “รถคันนั้นดูข้างนอกเหมือนไม่มีพิษสงอะไรเลย”
“แต่งรถอย่างที่อยากได้เสียเรี่ยมเลยหรอ ชาร์ลี” เพื่อนชายอีกคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“ก็เกือบแล้วล่ะ” ชาร์ลีไหวไหล่ ดวงตาคู่สีน้ำตาลเป็นประกายวับ “ยังมีอีกสองอย่างที่ผมอยากจะใส่เข้าไปอีก”
“แหม...ฉันนึกไม่ออกจริงๆนะว่าควรจะเป็นอะไร” เพทโต้ออกไปด้วยท่าทางหมั่นไส้เต็มที่ “เขาบอกว่า เขาใช้รถคันนี้ไปแค็มปิ้ง มันก็เหมือนกับโรงฆ่าสัตว์ของหนุ่มโฉดทั้งหลายนั่นแหละ พื้นปูด้วยพรมสีน้ำเงินเชียวนะ ทั้งผนังด้านใน และตรงหลังคาก็เป็นสีเดียวกันหมด มีเตียงเดี่ยวปูด้วยพรมขนสัตว์สีดำ แล้วก็มีบาร์เล็กๆอีกด้วย” เพทอธิบายถึงภายในของตัวรถ “แล้วก็มีการซ่อนลำโพงไว้ทั่วไปหมดเลย แค่กดสวิทช์นิดเดียว ก็มีเพลงรักล่องลอยออกมาให้ฟังแล้ว นอกจากนั้นยังมีตู้เย็นเล็กๆสำหรับทำน้ำแข็งไว้ใส่เหล้ากินด้วย”
“เฮ้ย...บนเพดานแกน่าจะใส่กระจกด้วยนี่หว่า ชาร์ลี” ใครคนหนึ่งเสนอแนะขึ้น “แล้วลูกเมียแกเขาคิดยังไงกับรถคันนี้ล่ะ” มีเสียงถามอย่างยั่วเย้าตามมา
“แซนดี้ชอบมากเลย” ชาร์ลีตอบด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “พอถึงวันหยุดสุดสัปดาห์ เราก็ขึ้นรถขับไปเรื่อยๆ ที่ไหนน่าอยู่ก็จอดพัก สบายกว่าห้องตามโมเต็ลเสียอีก แล้วก็ไม่ต้องเสียค่าเช่าด้วย”
“อ้าว...ก็ค่าเช่านั่นน่ะจ่ายล่วงหน้าไปแล้วตอนที่แกแต่งรถไงล่ะ” ลอน แบ๊กซเตอร์ ซึ่งนั่งอยู่ในเก้าอี้ถัดจากเพทเอ่ยขึ้น พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบแก้วเบียร์แก้วหนึ่งขึ้นมาถือไว้
“คุณรู้ได้ยังไงว่าใบไหนเป็นใบไหน” เขามองดูแก้วที่มีเบีย์อยู่เพียงแค่ครึ่ง รู้สึกเสียดายใบที่ยังมีเบียร์อยู่เต็มในมือของเพท
“ถ้าคุณไม่ได้ทาลิปสติกละก้อ ใบนี้เป็นของฉันแน่” เธอพูดปนหัวเราะ ก่อนที่จะยื่นให้เขาดูรอยลิปสติกสีแดงติดอยู่ตรงขอบแก้ว
“พุทโธ่เอ๊ย แสงแค่นี้คุณไม่น่าจะมองเห็นอะไรเลยด้วยซ้ำ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงล้อๆ แสร้งทำเป็นว่าเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงต้นแขนของเธอเข้า “เอ๊ะ...นั่นอะไรน่ะ”
เขาวางแก้วที่ถืออยู่ในมือลง ถือโอกาสที่เพทยังถือแก้วของเธอไว้ โน้มร่างเข้าไปใกล้ มือข้างหนึ่งยื่นข้ามท้องไปจับอยู่ตรงชายโครงใต้เนินทรวงที่อวบอิ่ม
“นี่...ลอน ในห้องนี้มันมืดก็จริงนะ” เพทยิ้มหวานใส่เขา “แต่ฉันรู้นะว่ามือของคุณอยู่ตรงไหน และถ้าคุณขยับมือแม้แต่นิดเดียว ฉันจะเอาข้อศอกนี้ทิ่มคอหอยคุณ”
คำเตือนนั้นแม้จะดูคล้ายกับพูดเล่น แต่น้ำเสียงที่พูดมิได้บอกว่ามันเป็นการพูดเล่นเลยแม้แต่น้อย สามัญสำนึกบอกว่าขณะนี้คนอื่นกำลังให้ความสนใจอยู่ เพทรู้ว่าเธอจะต้องจัดการกับลอนอย่างจริงจัง เพื่อมิให้เขามายุ่มย่ามกับเธอมากกว่านี้
ลอน แบ๊กซเตอร์ เป็นคนหนึ่งในกลุ่มที่ยังเป็นโสดอยู่ เขายังหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย และพร้อมที่จะแสดงความเจ้าชู้กับผู้หญิงทุกคน เพทยอมรับว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจคนหนึ่ง แต่เธอก็เรียนรู้มาแล้วว่า ถ้าต้องการจะได้รับความเคารพนับถือจากเพื่อนๆร่วมทีมงานแล้ว เธอจะต้องไม่ยอมให้ตัวเองมีความสัมพันธ์กับเพื่อนชายคนใดทั้งสิ้น
ลอนเป็นบุคคลที่เธอควรจะหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลในทุกสถานการณ์ เพราะก็เธอยังสงสัยอยู่ว่าคนคนนี้จะมีความจริงใจกับผู้หญิงคนไหนบ้างหรือไม่ แต่ก็ยังมีเพื่อนชายบางคนที่เพทไม่รังเกียจจะออกเดทด้วย เธอเคยออกเดทกับเพื่อนชายที่ทำงานร่วมกันมาบ้าง แต่การทำเช่นนั้น มันส่งผลเสียไปยังถึงเรื่องงานจริงๆ ดังนั้น เพทจึงตั้งกฎไว้ว่าเธอจะออกเดทแต่เฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการโทรทัศน์ด้วยกันเท่านั้น
เธอได้ยินเสียงเขาแสร้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อชักมือออก และเอนหลังพิงเก้าอี้เอื้อมไปหยิบแก้วเบียร์ขึ้นมาถือไว้ มีเสียงหัวเราะของเพื่อนๆที่นั่งล้อมวงกันอยู่ดังขึ้นอย่างขบขัน
“ไง หน้าแตกไหมล่ะ ลอน” ใครคนหนึ่งยั่วเย้าขึ้น
“เฮ้อ...สักวันหนึ่งจะต้องเกี้ยวให้สำเร็จให้ได้สิน่า” เขาหลิ่วตาให้ ซึ่งเพทก็รู้อยู่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ล้มเลิกความตั้งใจอะไรง่ายๆเลย
“ทำไมไม่ช่วยให้มันคลายเศร้าเสียหน่อยล่ะ เพท ออกเดทกับมันสักครั้งเถอะน่า” ชาร์ลีเอ่ยขึ้นเป็นเชิงแนะนำ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า เพทมีความคิดเกี่ยวกับลอนอย่างไร
“ก็เพราะฉันรู้ว่าคู่แข่งของฉันกำลังจะเข้ามาในอีก 2 อาทิตย์ข้างหน้านี้น่ะสิ” เธอตอบ มิได้รู้สึกโกรธเคืองที่ถูกเขายั่วเย้า “ฉันกับรูบี้ เกล น่ะมันเปรียบกันไม่ได้หรอก เขาน่ะมันประเภทนักร้องดาวยั่ว เมื่อไหร่ลอนเห็นเขาเข้าละก้อ เป็นไม่เหลียวมามองฉันอีกต่อไปแน่”
“อ๋อ...รูบี้ เกล พลับพลึงแห่งนิว เจอร์ซี่นั่นเอง” แอนดี้ เทอร์เนอร์ ช่างกล้องคนที่ 4 ในทีมงาน ยกแก้วที่ถืออยู่ในมือชูขึ้นด้วยท่าทางหยันเยาะต่อดาราโทรทัศน์ คนที่พวกเขายกกองกับมาถ่ายทำเทปโทรทัศน์
เพท ชาร์ลี แอนดี้ และลอน คือทีมงานช่างภาพที่เพทมิได้รังเกียจกับการที่ตัวเองเป็นหญิงสาวคนเดียวในทีม
“เขาเป็นคนมีเสน่ห์มากนะ” ช่างเทคนิคคนหนึ่งกล่าวแก้แทนดาราสาวคนนั้น “คุณว่าเขาจะรังเกียจไหมนี่ ถ้าผมจะขอลายเซ็นเขาสักหน่อย เมียผมสะสมรูปเขาไว้เต็มอัลบั้มเลย”
“ผมเห็นจะไม่ขออะไรจากยายคนนี้จนกว่างานชิ้นพิเศษนี่จะถ่ายทำเสร็จหรอก” แอนดี้พูดเป็นเชิงแนะนำ “ท่าทางแกร้ายกาจออก หัวสูงก็ปานนั้น”
“คุณเคยทำงานร่วมกับเขามาแล้วมิใช่หรือ” ใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“ก็ตอนแจกรางวัลตุ๊กตาทองเมื่อ 2 ปีก่อนนั่นไง” แอนดี้ตอบ “ไม่เห็นเขาจะทำอะไรเลยนอกจากร้องเพลงแค่เพลงเดียว แล้วก็มอบรางวัล ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีละมั้ง แต่แกจุ้จี้จนทุกคนหัวปั่นไปหมด อันที่จริงผมก็เคยทำงานกับนักแสดงเจ้าอารมณ์มาเหมือนกันนะ แต่ยายรูบี้ เกล คนนี้แย่ที่สุด ที่เรามาที่นี่ก็ไม่ได้มาปิกนิกกันนะ”
“เดน เขาจัดการได้หรอกน่ะ” ช่างเทคนิคด้านแสงเอ่ยขึ้น
มุมปากของเพทเครียดขึ้นทันที
“เดน คิงสตัน น่ะ เขาเองก็ใหญ่อยู่แล้วนี่ สงสัยคราวนี้คงเป็นทั้งผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับเองเลยละมั้ง”
“ดูเหมือน ซิด ลอเรนซ์ จะเป็นผู้อำนวยการสร้างนะ” คนที่อาวุโสกว่าใครเอ่ยขึ้นเป็นเชิงสงสัยในคำพูดของเธอ
“นั่นน่ะแค่ผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างเท่านั้นละ” แอนดี้แย้ง “ถ้าคุณเป็นรูบี้ เกล ละก้อ สามารถจะเรียกร้องมือดีๆมาใช้งานได้ทั้งนั้นแหละ”
“เดนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็คงเพื่อดูแลเรื่องเงินที่ตัวเองลงทุนไปมากกว่า” ชาร์ลีว่า “ยิ่งไปกว่านั้น การถ่ายทำเป็นพิเศษนี่ มันก็ทำให้กระเป๋าเบาไปแยะทีเดียว ผมว่าเขาจะต้องดูแลให้มันอยู่ในงบประมาณด้วย”
“ฉันเห็นด้วยถ้าคุณจะพูดว่า เขาต้องการจะปกป้องเรื่องผลประโยชน์ของเขามากกว่า” เพทสอดขึ้น “เงินสำหรับเขามันมีความหมายเท่าๆกับยายรูบี้ เกล นั่นแหละ”
“ที่พูดมานี่หมายความว่ายังไงนะ เพท” โจ ไวล์ส ช่างเทคนิคด้านแสงอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณปู่ของกลุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจในความหมายในคำพูดของเธอ
“อ้าว ก็เดน คิงสตัน กับรูบี้ เกล กำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในข่าวสังคมซุบซิบน่ะสิ แล้วจากข่าวนั้นมันก็บอกให้รู้อยู่แล้วว่า เขามีอะไรต่อกันเป็นพิเศษอยู่” รอยยิ้มอย่างดูหมิ่นปรากฏขึ้นบนเรียวปาก ขณะที่เธอเอื้อมไปหยิบบุหรี่มวนหนึ่งออกมาจากซองบนโต๊ะ และลอนผู้ช่างปรนนิบัติผู้หญิงก็รีบเอนกายเข้าไปจุดให้
“เห็นเขาว่ากันว่า เขาต้องพาเธอไปกินหล้ากินข้าวอยู่พักใหญ่กว่าจะทำให้เธอเซ็นสัญญา ถ่ายทำหนังชุดพิเศษได้” ลอนเอ่ยต่อ
“แต่รูบี้ เกล ก็เป็นนักแสดงที่มีคววามสามารถมากนะ” เพทพ่นควันบุหรี่เป็นทางยาว “เพราะฉะนั้น มันก็เลยทำให้ฉันมีความรู้สึกว่า เขากับเดน คิงสตัน น่ะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุด”