บทที่2
บทที่2
“พระชายา ตัดสินใจทำเช่นนี้จะดีหรือเพคะ”
“ข้าตัดสินใจดีแล้ว เจ้าอย่าได้มาพูดให้ข้าเปลี่ยนใจเลยไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่ยังดึงข้าเอาไว้มีเพียงเลี่ยงหลิงเท่านั้น”
พระชายาเฟยหย่าปรายตาก้มลงมองพระธิดาของตนที่ยังนอนหลับใหลในอ้อมกอด
นางพรากตำแหน่งองค์หญิงของราชวงศ์มาจากเลี่ยงหลิง แต่จะให้ทำใจปล่อยให้เลี่ยงหลิงเข้าไปอยู่ในวังกับฮองเฮาได้อย่างไร ฮองเฮาลี่หมิงสตรีที่วางแผนและตั้งเงื่อนไขแย่งชิงตำแหน่งฮองเฮาไปจากนางได้อย่างเลือดเย็นเช่นนั้นย่อมไม่มีทางที่จะเอ็นดูบุตรสาวของนางแน่นอน
นางเป็นพระชายาของรัชทายาทมาสิบกว่าปี ร่วมฝ่าฟันอุปสรรคด้วยกันมามากมาย จนวันที่รัชทายาทได้ก้าวขึ้นเป็นฮ่องเต้ พระองค์กลับเลือกสตรีอื่นมาเป็นฮองเฮายืนเคียงข้าง เพียงเพราะว่าตระกูลลี่จะสามารถหนุนหลังพระองค์ได้มากกว่า
แล้วความรักที่มีให้กันมาสิบกว่าปีของนางล่ะ ไร้ความหมายเช่นนั้นหรือ ฮ่องเต้จึงจะให้นางเข้าไปอยู่ในวังหลังเป็นเพียงพระสนม
“บ้านที่ให้ซื้อเรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม”
“เพคะ” หนิงอันตอบรับ
“ข้าฝากเจ้าดูแลนางด้วย แม้ข้านั้นจะปลงผมออกบวชแล้ว แต่ใช่ว่าจะตัดขาดสายเลือดได้ เจ้าเป็นคนเดียวที่ข้าไว้ใจ”
หนิงอันทำได้เพียงพยักหน้าหงึก ๆ ตอบรับ ก้มหน้ามองพื้นซ่อนน้ำตาเอาไว้ รู้แล้วว่าคงไม่อาจเปลี่ยนใจพระชายาได้แล้ว
“หลังจากนี้ข้าจะเป็นเพียงแม่ชีถือศีลกินเจอยู่ที่อารามแห่งนี้ เลี่ยงหลิงก็จะเป็นเพียงคุณหนูตระกูลอัน ไม่ได้ข้องเกี่ยวใด ๆ กับราชวงศ์อีกต่อไป”
แม้จะผิดหวังในสามี จนต้องตัดสินใจออกบวช แต่ก็ยังไม่อาจละทิ้งห่วงเดียวในชีวิตได้ หวังเพียงให้เลี่ยงหลิงยังคงอยู่ในสายตา เฝ้ามองนางเติบโตอยู่ไม่ห่าง หลังจากละทิ้งทุกอย่างที่เมืองหลวงหนีมาที่เมืองเทียนจิง เฟยหย่าได้หอบสินเดิมมาด้วยมากมาย มากพอที่จะให้เลี่ยงหลิงใช้จ่ายไปชั่วชีวิต
“ตื่นแล้วเหรอ” เมื่อเห็นบุตรสาวในอ้อมกอดค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมา เฟยหย่ายกฝ่ามือลูบไล้ดวงหน้าจิ้มลิ้ม
“เพคะเสด็จแม่” เลี่ยงหลิงยกมือขึ้นขยี้ตา สอดส่องสายตาไปรอบ ๆ “พวกเรามาถึงอารามแล้วเหรอ”
“จ้ะ มาถึงแล้ว จากนี้ไปเจ้าจะพูดกับแม่แบบเดิมไม่ได้แล้ว เข้าใจไหม” เฟยหย่าพูดกำชับบุตรสาว จ้องมองดวงหน้าเล็ก ๆ นั้น เพื่อให้แน่ใจว่าเลี่ยงหลิงจะเข้าใจสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
“หม่อม…ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ” เลี่ยงหลิงพยักหน้า นางรู้ดีว่ามาที่อารามแห่งนี้เพื่ออะไร ก่อนที่จะเดินทางมาพระมารดาได้บอกเหตุผลทั้งหมดกับนางแล้ว และนางก็ยินดีติดตามมาด้วยความสมัครใจของตนเอง เลือกที่จะอยู่เป็นสามัญชนมากกว่าที่จะเข้าวังตามพระบิดาไปเพื่อรับตำแหน่งองค์หญิง
“ที่นี่ไม่มีอะไรน่ามองเท่าไรนัก เจ้าออกไปเดินเล่นข้างนอกเถิด” เฟยหย่าเห็นหัวหน้าแม่ชี และแม่ชีอีกหลายคนเดินเข้ามา คงถึงเวลาทำพิธีแล้ว จึงสั่งให้เลี่ยงหลิงออกไปข้างนอก ไม่อยากให้นางต้องมองมารดาของตนเองถูกปลงผมออกจนหมดศีรษะ ไม่ลืมส่งถุงขนมกุ้ยฮวาให้นางติดตัวออกไปด้วย เผื่อนางหิว
มือน้อย ๆ เอื้อมไปรับถุงขนมของโปรด ยิ้มจนแก้มปริ ก่อนจะวิ่งตื๋อออกจากอารามไป
“ให้คุณหนูออกไปคนเดียวเช่นนั้นจะดีหรือเจ้าคะ” หนิงอัน ชะเง้อคนตามด้วยความเป็นห่วง
“ภายในบริเวณวัดเป็นเขตอภัยทาน ไม่มีอะไรให้เป็นกังวล เจ้าอย่าห่วงเลยนับจากนี้ข้าอยากให้เลี่ยงหลิงใช้ชีวิตเช่นเด็กชาวบ้านทั่วไป” เฟยหย่าหันไปหาคณะแม่ชี ทรุดตัวนั่งลงพนมมือ นางพร้อมแล้ว พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ดินแดนใต้ร่มธรรม
เลี่ยงหลิงวิ่งออกมาจากพ้นอาราม เท้าน้อย ๆ ผ่อนความเร็วลง หางตามองเห็นเงาดำทะมึนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ความอยากรู้อยากเห็นทำให้นางค่อย ๆ เดินเข้าไปดู มองจนแน่ใจว่าก้อนประหลาดนั้นคือสิ่งใด
เด็กชายผิวดำขลับในชุดมอซอก้มหน้าซุกหว่างขา สะอื้นไห้จนตัวโยน
เลี่ยงหลิงมองถุงขนมในมือตน ก่อนจะเดินไปทรุดนั่งเคียงข้าง
“เจ้าร้องไห้ทำไม มีใครรังแกเจ้าหรือ ลองกินขนมกุ้ยฮวาสิ ได้กินของหวาน ๆ จะทำให้อารมณ์ดี” มือน้อย ๆ ขาวเนียนยื่นขนมกุ้ยฮวาสุดรักสุดหวงของตนให้เด็กชายแปลกหน้า นางเห็นเขาร้องไห้จนตัวสั่น คงถูกหลวงพ่อ หรือใครในวัดรังแกมา
โอวหยางเจิ้งหัว เงยหน้าหน้ามองมือเล็ก ๆ พร้อมขนมชิ้นโตที่ยื่นมาตรงหน้าของตน กลิ่นหอมของขนมที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตนี้ โอวหยางเจิ้งหัวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ยกมือปาดน้ำตา ถูมือของตนลงบนเสื้อจนแน่ใจว่ามันสะอาดอ้านมากพอที่จะรับขนมจากมือขาวสะอาดนั้น เมื่อถูจนแน่ใจแล้วก็เอื้อมไปรับขนม สีผิวของเขาและนางช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
“ขอบคุณคุณหนูขอรับ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่เกี่ยงงอนที่จะรับไมตรีจากตน เลี่ยงหลิงยิ้มจนตาหยี มาวันแรกนางก็มีสหายแล้ว
“ข้าชื่ออันเลี่ยงหลิง เจ้าชื่ออะไร”
“ข้าน้อยชื่ออี๋นั่ว” โอวหยางเจิ้งหัว บอกชื่อเล่นที่บิดาตั้งให้ อี๋นั่ว ‘รักษาสัญญา’ ย้ำเตือนสัญญาใจลูกผู้ชาย ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีชีวิตรอด มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้ตระกูลโอวหยาง แต่ในตอนนี้พลังของเขาคงหลับใหลอยู่จึงทำได้เพียงปิดบังตัวตนและหลบซ่อนในเงามืดไปจนกว่าเวลานั้นจะมาถึง ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานเท่าใดเขาก็จะสู้ อีกแค่แปดปีเท่านั้น