ตอนที่1[แพรไหม]
หนี้[รัก]วิศวะเถื่อน
ตอนที่1
[แพรไหม]
เพล้ง!
เคล้ง!
เสียงอุปกรณ์แผงขายไก่ย่างร้านเล็ก ๆ ที่อยู่มุมหนึ่งของตลาดนัดขนาดเล็กแห่งหนึ่ง กระเด็นกระดอนกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ด้วยฝีมือของชายฉกรรจ์สามคนที่เข้ามาก่อเหตุ
โดยที่พ่อค้าแม่ค้าร้านอยู่ข้างเคียงไม่มีใครกล้าเข้ามาให้ความช่วยเหลือเลยสักคน ด้วยต่างเกรงกลัวอำนาจมืดและชื่อเสียงของเจ้าของเงิน อย่างนายหัวเมฆาหรือเมฆนั่นเอง
ชนชั้นรากหญ้าที่พบเจอกับเศรษฐกิจตกต่ำ ต่างพากันไปขอกู้ยืมเงินนายหัวเมฆา มาเพื่อต่อทุนต่อลมหายใจของตัวเองและครอบครัว ให้ได้ไปต่อในเศรษฐกิจที่กำลังจมดิ่งลงในขณะนี้
“เมื่อวานมึงนัดวันนี้ พอวันนี้มึงบอกยังไม่มี ตกลงจะเอายังไงวะ” เสียงเข้มของผู้ชายหนึ่งในสามเอ่ยขึ้น
“นายครับขอเวลาให้ผมอีกสองสามวันได้ไหมครับ” นายมั่นยกมือไหว้ชายฉกรรจ์ตรงหน้า
“กูไม่สน! นายกูต้องการเงินคืนทั้งต้นทั้งดอกภายในวันนี้”
“แต่วันนี้ผมเพิ่งมาตั้งร้าน ยังขายไม่ได้สักไม้เลยนะครับ” นายมั่นอธิบาย
“กูต้องรับรู้ไหม! เจ้านายกูปล่อยเงินกู้ พวกมึงกู้ไป ก็ต้องรีบเอามาคืน” หนึ่งในสามตวาดขึ้นเสียงดังลั่น
แพรไหมอยู่ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย ของโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง ก้าวลงจากรถประจำทาง เธอรีบเดินตรงดิ่งไปที่ตลาด เพื่อจะไปช่วยบิดาขายไก่ย่างอย่างทุกวัน
ทว่าเท้าเล็ก ๆ ถึงกับหยุดชะงักกึก เมื่อสายตามองไปเห็นร้านของบิดาข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น
“พ่อ! ทำไมเป็นแบบนี้คะ” แพรไหมรีบวิ่งหน้าตาตื่นมาจนถึงร้าน ได้แต่เอ่ยถามบิดาด้วยอาการงุนงง
“ไหม…” นายมั่นเอ่ยเรียกบุตรสาว พร้อมกลืนก้อนแข็งที่แล่นขึ้นมาจุกแน่นในอกลงอย่างยากลำบาก
“ฝีมือนายหัวเมฆอีกแล้วเหรอคะ” แพรไหมเอ่ยขึ้นอย่างเคียดแค้นชิงชัง ผู้ชายที่เธอไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยสักครั้ง
“ใช่! เราติดหนี้เขา…แต่พ่อไม่มีเงินคืนเขาไงลูก”
“แต่เขาก็ไม่น่าจะทำกันขนาดนี้ ข้าวของเสียหายแบบนี้ เราจะขายได้รึไง” แพรไหมได้แต่โมโหกับโชคชะตาของตนเอง ทำไมพวกมีอำนาจมีเงินที่สูงส่ง ถึงได้กระทำกับคนจนได้ป่าเถื่อนถึงเพียงนี้
“พ่อขอยืดเวลาเขาได้อีกสามวัน”
“สามวัน! แล้วเราจะหาเงินที่ไหนไปคืนเขาทั้งต้นทั้งดอกล่ะคะพ่อ” แพรไหมไปแต่กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืด ๆ
“เดี๋ยวค่อยคิดนะลูกตอนนี้เก็บไก่ที่ยังดี ๆ ย่างขายไปก่อน” บิดาเอ่ย
แพรไหมช่วยบิดาย่างไก่ที่เหลือขายจนหมดกระทั่งสามทุ่มจึงช่วยบิดาเก็บของกลับบ้าน
“พ่อเดี๋ยวพรุ่งนี้ไหมจะไปหางานเสริมทำนะ” แพรไหมหันมาบอกบิดา เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์เธอกะจะไปหางานทำช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์อีกทาง
“ไหมทำงานด้วยเรียนไปด้วยมันลำบากนะลูก รอให้เรียนจบก่อนดีไหม” นายมั่นสงสารบุตรสาวเพียงคนเดียว เพราะลำบากกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ มารดาของแพรไหมก็มาตายจาก ตั้งแต่แพรไหมมีอายุได้เพียงห้าขวบ
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อไหมทนได้ เดี๋ยวถ้าไหมเรียนจบไหมจะทำงานเลี้ยงพ่อ จะไม่ให้พ่อต้องลำบากแบบนี้อีก” แพรไหมบอกบิดา พร้อมเดินเข้าไปสวมกอดท่านด้วยความรัก
“พ่อรักลูกนะ แต่พ่อก็เสียใจที่ไม่มีโอกาสทำให้ชีวิตลูกได้พบกับความสุขสักที”
“แค่ไหมมีพ่ออยู่ด้วยกันทุกวันแบบนี้ ไหมก็มีความสุขที่สุดแล้วค่ะ พ่ออย่าคิดมากนะ” เธอสวมกอดบิดาไว้แน่น
“พ่อจ๋า…กินข้าวกันเถอะไหมหิวแล้ว”
แพรไหมหยิบเอาไก่ย่างและส้มตำมาแกะใส่จาน พร้อมร้องเรียกบิดาให้มานั่งกินข้าวด้วยกัน
เด็กสาวตื่นแต่เช้าช่วยบิดาเตรียมของขายจนเสร็จ จึงเตรียมตัวออกไปหางานทำ งานอะไรก็ได้ไม่ว่าจะขายของล้างถ้วยล้างชาม ไม่ว่าจะหนักหรือเบาขอให้ได้เงินเธอยอมทำทั้งนั้น
แพรไหมเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านของเพื่อนหนุ่มอย่างอาทิตย์
“อ้าว! ไหมจะไปไหนละเนี่ย” เสียงเพื่อนหนุ่มร่วมห้องเอ่ยทัก
“เราอยากหางานทำ”
“แต่เรายังเรียนอยู่นะ จะทำงานได้ไงล่ะไหม” อาทิตย์เอ่ย
“ไหมจะทำวันหยุดไง งานอะไรก็ได้” แพรไหมเอ่ยขึ้น เพื่อนหนุ่มได้แต่คิดตาม
“แล้วไหมไม่ช่วยพ่อขายของหรือไง”
“ขาย…แต่ไหมอยากทำงาน ไหมอยากได้เงินเพิ่ม”
“ทำไมพ่อไหมขายของไม่ดีเหรอ” อาทิตย์ได้แต่หันไปสบตาเพื่อนสาวอย่างไม่เข้าใจ
“ทิตย์ก็รู้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี พ่อไหมขายของยากจะตายบางวันก็ขาดทุน”
“เราเข้าใจนะแม่เราขายอาหารตามสั่งก็เงียบเหมือนกัน แต่ยังดีหน่อยที่ร้านมีลูกค้าประจำ”
“งั้นไหมขอตัวก่อนนะจะไปหางานก่อน” แพรไหมบอกเพื่อน จึงหันหลังจะเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อนสิไหม เธอจะเดินไปรึไง ให้เราไปส่งดีกว่า” อาทิตย์คว้ารถมอเตอร์ไซค์คู่ใจ เข็นออกมาหน้าบ้านพร้อมติดเครื่องขึ้น
“ไหมขึ้นมาสิเดี๋ยวเราไปส่ง”
ทั้งคู่ตระเวนออกหางานที่อยู่ใกล้ ๆ บ้านจนกระทั่งบ่ายอาทิตย์จึงขี่รถมาส่งแพรไหมที่บ้านของเธอ
“สวัสดีครับลุง จะออกไปตั้งร้านแล้วเหรอครับ” อาทิตย์ยกมือไหว้บิดาของเพื่อนสาว แล้วเอ่ยถามในตอนท้าย
“สวัสดี ทำไมถึงได้มาส่งไหมล่ะ” นายมั่นเอ่ยถาม
“ผมไปส่งไหมหางานมาครับ”
“พ่อบอกแล้วว่าลูกยังเด็ก งานสมัยนี้ก็หายาก อย่าคิดมากไปช่วยพ่อตั้งร้านเถอะ หน้าที่หาเงินไว้เป็นหน้าที่ของพ่อ ลูกมีหน้าที่เรียนก็ตั้งใจเรียนไปก่อน” บิดาเอ่ย
“งั้นไหมขอไปตั้งร้านก่อนนะ ขอบใจทิตย์มากที่ช่วยไหม” แพรไหมหันไปขอบคุณเพื่อนชาย ก่อนจะเข็นรถออกไปตั้งร้านที่ตลาด
ร่างเล็กอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นสีดำกับเสื้อยืดตัวหลวมสีขาวธรรมดา ๆ แต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเห็นหันมามองเธอทุกราย
แพรไหมเป็นเด็กสาวที่มีใบหน้ารูปไข่จมูกโด่งดวงตากลมโต ผิวพรรณขาวผ่องเนียนใสดั่งลูกผู้ดีมีสกุล แบบนี้จึงทำให้ร้านของเธอ มีลูกค้าหนุ่ม ๆ ค่อนข้างเยอะเข้ามาช่วยอุดหนุนกันอยู่เป็นประจำ
ยิ่งช่วงวันหยุดที่แพรไหมได้มาช่วยบิดาตั้งแต่หัววัน จึงมีหนุ่ม ๆ มายืนต่อคิวอยู่หลายคน
“น้องไหมครับ ของพี่เอาไก่ย่างสามไม้ ข้าวเหนียวสามห่อครับ” เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้น
“ของพี่หกสิบบาทค่ะ” แพรไหมยื่นส่งถุงให้ลูกค้า
“น้องไหมคนสวย ของพี่ไก่ย่างสิบไม้ ข้าวเหนียวสิบห่อด้วยครับ” เสียงของหนุ่มหล่อ เจ้าของร้านซ่อมมอเตอร์ไซค์ตรงข้ามตลาดเอ่ยขึ้น
“นี่ของพี่นนท์สองร้อยบาทค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ที่มาช่วยอุดหนุนร้านไหมทุกวัน” แพรไหมส่งของให้ชายหนุ่มที่เธอสนิท พร้อมส่งยิ้มขอบคุณ
“สำหรับน้องไหมพี่นนท์ต้องมาช่วยอุดหนุนทุกวันอยู่แล้วล่ะครับ” เสียงทุ้มเจ้าอู่เอ่ยพร้อมส่งยิ้มให้สาวน้อยตรงหน้า
“ไหมขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่มาช่วยอุดหนุน”
แพรไหมกับบิดาขายของต่อไปอีกประมาณทุ่มกว่า ของที่เตรียมมาก็หมดเกลี้ยง
สองพ่อลูกรีบเก็บของกลับบ้าน
“พ่อถ้าขายดีแบบนี้ทุกวันก็ดีนะ” แพรไหมหยิบเอาเงินในตะกร้าออกมานับ
“พ่อวันนี้เราขายได้ตั้งสามพันบาทแน่ะ หักทุนไว้ซื้อของขายในวันพรุ่งนี้ เราก็ยังมีเหลืออีกเกือบพันนะพ่อ” แพรไหมทำตาโต
“แต่เวลาแค่สามวันเราหาไม่ทันหรอกนะลูก ทั้งต้นทั้งดอกเงินไม่ใช่น้อย ๆ” บิดาเอ่ยขึ้นเสียงเบา
“ตอนนี้เราติดหนี้เท่าไหร่ล่ะพ่อ เดี๋ยวไหมแกะกระปุกออมสินช่วยพ่ออีกทาง” แพรไหมบอกบิดาแล้วลุกเดินเข้าไปในห้อง เพื่อไปอุ้มหมูอ้วนที่เธอได้หยอดเหรียญลงอยู่ทุกวัน
“ไหมเก็บกระปุกออมสินเถอะลูก แค่นี้ไม่พอหรอก พ่อติดหนี้ทั้งต้นทั้งดอกเป็นหลักครึ่งล้าน” นายมั่นที่ปิดบังบุตรสาวเรื่องหนี้สินมาช้านาน ยามไม่มีส่งดอกเจ้าหนี้ก็ทบต้นทบดอกจนบานปลาย ในที่สุดก็ตัดสินใจเอ่ยให้บุตรสาวเพียงคนเดียวได้รับรู้
“ครึ่งล้านเลยเหรอพ่อ” แพรไหมครางออกมาอย่างตกใจ
“ใช่! พ่อติดหนี้นายหัวเมฆมาตั้งหลายปีแล้ว โดยพ่อเอาโฉนดบ้านที่เราอยู่ไปค้ำเอาไว้”
“พ่อเอาเงินมาทำอะไรตั้งมากมาย” แพรไหมที่ตกใจได้แต่หันมาถามบิดา
“ก็ตั้งแต่ไหมเล็ก ๆ ไงลูก ไหมป่วยบ่อยเข้าโรงพยาบาลบ่อย จนพ่อไม่มีเวลาขายของ พ่อเลยเอาโฉนดบ้านไปค้ำขอกู้นายหัวนั่นแหละ” บิดาเอ่ยจบแพรไหมได้แต่นิ่งอึ้งกับหนี้ก้อนโต