ตอนที่ 6 ข้าวไข่เจียว
วันนี้ฉันมาทำงานตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะอู่เปิดเวลานี้และจะได้เก็บชั่วโมงทำงานของวันนี้ให้ได้ถึงห้าชั่วโมง พอถึงตอนเที่ยงก็อาบน้ำแต่งตัวไปเรียนตอนบ่ายครึ่ง
“ตั้งเตกำลังจะไปโรงเรียนเหรอครับ”
เด็กชายตัวน้อยสวมชุดนักเรียนของโรงเรียนเอกชนชื่อดังกำลังเดินออกมาพร้อมกับกระเป๋านักเรียนใบเล็ก เสื้อผ้าของเขาสะอาดสะอ้านและถูกรีดจนดูดี เพียงแต่การแต่งตัวรู้สึกจะไม่เรียบร้อยดีนัก ทั้งกระดุมและชายเสื้อที่ไม่เข้าที่เข้าทาง
“ครับ”
“ทานข้าวหรือยังเอ่ย” ฉันย่อตัวนั่งลงไปจัดการเสื้อผ้าของตั้งเตให้เรียบร้อยก่อนจะยิ้มให้เขาและตั้งเตก็ยิ้มตอบกลับมา
“เตไม่เคยทานข้าวเช้าหรอก” เด็กชายส่ายหน้าไปมาแล้วจึงบอกฉันด้วยสายตาละห้อย
“อยากกินอะไรไหม เดี๋ยวพี่ทำให้กินแล้วค่อยไปโรงเรียน”
“แต่ว่า…”
“ไปเถอะ ยังไงก็ทันเขื่อพี่”
เมนูที่ตั้งเตอยากทานก็แค่ไข่เจียว สำหรับฉันคือเรื่องง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากเสียอีก เพราะแต่ละวันฉันต้องช่วยแม่ทำกับข้าวตั้งแต่มัธยมจนตอนนี้หลับตาทำยังได้
“ทำไมไม่ออกไปรอรถ” เสียงเข้มของพี่อี้เต๋อดังขึ้นตอนที่เราสองคนกำลังเดินจุงมือกันเข้าไปในครัว พอหันไปมองก็เห็นหน้าดุๆของเขากำลังจ้องน้องชายตัวเองอยู่
“ตั้งเตยังไม่ได้กินข้าว หนูก็เลยจะไปทำไข่เจียวให้ทาน”
“ดูเวลาด้วยกี่โมงแล้ว”
“ไม่เป็นไร ถ้าไม่ทันรถรับส่งพี่จะไปส่งเราที่โรงเรียนเองนะ” เดี๋ยวจับเอามอเตอร์ไซค์ของแม็คไปก็ได้ไม่เห็นยาก
ฉันแกล้งไม่สนใจคำพูดของพี่อี้เต๋อที่คุยกับน้องแล้วก้มลงไปบอกกับคนตัวเล็กพร้อมกับลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน
“ปั่นจักรยานยังเป็นเรื่อง” เขาทิ้งท้ายเอาไว้แล้วก็เดินจากไป อยากจะตะโกนไล่หลังดังๆนักแต่ก็ทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าลึกเต็มไปปอดแล้วหลับตาลงเพื่อให้ตัวเองใจเย็น
“ไปกันเถอะตั้งเต เดี๋ยวพี่ทำไข้เจียวที่อร่อยที่สุดในโลกให้ทาน”
หลังจากไปส่งตั้งเตที่โรงเรียนแล้วฉันก็กลับมาทำงานจนถึงเที่ยง เก็บชั่วโมงทำงานได้อีกสี่ชั่วโมงแล้วก็ไปอาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าไปเรียนช่วงบ่าย
โชคดีที่ระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัยไม่ได้ไกลกันมากนักทำให้ใช้เวลาเดินทางเพียงครึ่งชั่วโมง แต่ที่แย่คือข้าวเที่ยงต้องเปลี่ยนเป็นขนมปังแซนด์วิชแบบง่ายๆเพื่อให้ทันไปเรียนบ่ายโมงครึ่ง
“ทำไมมาสาย แล้วสภาพเหมือนคนป่วย”
วาวาเพื่อนในคณะเทคโนโลยีฯที่เรียนอยู่เอ่ยปากถามอย่างเป็นห่วงหลังจากหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ได้ไม่ถึงนาที
“มีปัญหากับชีวิตนิดหน่อย”
“อะไร”
“ไว้ค่อยเล่า”
เพราะตอนนี้อาจารย์กำลังบรรยายอยู่หน้าห้องแถมยังจ้องฉันที่มาช้าเกือบยี่สิบนาที ขืนมานั่งคุยกับเพื่อนอีกคงโดนอาจารย์ดุแน่ๆ
น้องจากวาวาแล้วฉันยังสนิทกับเพื่อนอีกคนซึ่งเรียนคนละคณะกัน มันชื่อว่าดรีมเรียนคณะบริหาร เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนมัธยมต้น พอเข้ามหาวิทยาลัยเราสองคนได้เจอกันน้อยลงแต่ก็ยังคุยกันผ่านโซเชี่ยลเหมือนเดิม
แถมยังนัดกันเที่ยวบ่อยกว่าตอนมัธยมเสียอีก ยกเว้นก็แต่ตอนนี้ที่มันเริ่มมีคนคุยจึงไม่ค่อยจะได้คุยกันนัก
“วันนี้วันเกิดฟินิกซ์แกไปไหมร้าน XXX” วาวาถามตอนที่เราสองคนเดินออกจากห้องเรียน ที่จริงฉันพอจะเห็นในแชทกลุ่มเพื่อนผ่านๆตามาบ้างแล้วแต่ไม่ได้สนใจเพราะมัวแต่ช่วยงานที่อู่
“ขี้เกียจกลับดึกจัง”
“ทุกทีไม่เห็นบ่น”
“ช่วงนี้ต้องตื่นเช้าน่ะสิ อย่างที่บอก” ฉันเพิ่งเล่าเรื่องนั้นให้มันฟังไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว แต่มันก็บังคงชวนเที่ยวเหมือนเดิม
“งั้นก็ไม่ต้องกลับดึก” วาวายิ้มเล็กๆ พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าทำไมถึงอยากไปนัก “ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะที่รัก”
“อืม ไม่เกินเที่ยงคืนนะ” ถ้าไม่เห็นใจมันที่แอบชอบเจ้าของวันเกิดอย่างฟินิกซ์ก็คงขอบายก่อน เพราะตอนนี้เริ่มเหนื่อยกับการทำงานและการตื่นเช้ามากจริงๆ
“หนึ่งทุ่มฉันไปรับที่บ้านนะ”
“อย่ามายิ้ม น่าเกลียดน่ากลัว”
วาวาหัวเราะคนเดียวแถมยังยิ้มจนปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีพีชนั้นเป็นรูปโค้ง บ่งบอกถึงความรู้สึกข้างในของมันได้เป็นอย่างดี
วันนี้ฉันมีเรียนสองวิชาติดกัน ตั้งแต่บ่ายครึ่งจนถึงห้าโมง หลังจากเรียนเสร็จฉันกับวาวาจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำอาบท่าและแต่งตัวไปเที่ยวกันในคืนนี้
สำหรับฉันการเที่ยวกลางคืนไม่ได้ถูกพ่อแม่สั่งห้าม เพราะต่อให้เที่ยวดึกแค่ไหนฉันก็จะกลับมานอนที่บ้านหรือมีบางวันที่ไม่ไหวก็นอนหอยัยดรีม ซึ่งมันเป็นคนเดียวที่พ่อกับแม่ไว้ใจให้พักด้วยแต่ถ้าช่วงไหนที่เที่ยวบ่อยมากๆก็จะถูกพ่อดุบ้างก็เท่านั้น
“พรุ่งนี้ไปหาหมออย่านอนดึกนะพ่อ” ฉันเดินไปบอกพ่อที่นอนดูรายการโทรทัศน์ช่วงค่ำของวัน เวลานี้พ่อจะอยู่ติดหน้าทีวีเลยล่ะเพราะท่านชอบดูรายการแข่งร้องเพลงนี้มาก
“น้องก็อย่ากลับดึกนักล่ะ”
“รู้แล้วค้าบ วันนี้เที่ยงคืน” ฉันว่าแล้วก็ย่อตัวลงไปกอดผู้ชายที่รักมากที่สุดอย่างเต็มรัก “ญ่าไปก่อนนะ”
ตั้งแต่เด็กที่พ่อใจดีกับฉันเสมอ แถมยังตามใจฉันมากกว่าแม่ จนสมัยเด็กพี่ธูปเคยน้อยใจคิดว่าพ่อรักฉันมากกว่า แต่พอโตขึ้นเขาเองก็ไม่ต่างจากพ่อเลย
ไม่ใช่ว่าพ่อรักมากกว่าเพียงแต่ท่านจะเป็นห่วงลูกสาวมากกว่าลูกชายเท่านั้นเอง เดี๋ยวนี้พี่ธูปก็ทำกับฉันเหมือนพ่อนั่นแหละ ถึงจะขี้บ่นแต่ก็คอยต่มใจฉันทุกอย่าง
“แกว่ามันโป๊ไปไหม”
ทันทีที่ขึ้นมาบนรถของวาวามันก็รีบถามพร้อมกับสีหน้าขาดความมั่นใจ กับชุดที่ใส่วันนี้ เป็นเดรสสายเดี่ยวสีครีมเรียบๆ แต่ดูสวยแพงในความคิดของฉันเลย
“ไม่โป๊ สวยสุด วันนี้ฉันแต่งตัวธรรมดามาเพื่อแกเลยนะ” ฉันแกล้งแซวเพื่อน
“ทำดีแล้วเพื่อน อย่าแต่งตัวมาเกินฉัน” วาวาตบไหล่ฉันเบาๆพร้อมกับยิ้มกวนก่อนที่เราสองคนจะหัวเราะขึ้นมาอย่างรู้กัน
เรามาถึงร้านตอนเกือบสองทุ่ม มีลูกค้านั่งในร้านแล้วแต่ยังบางตา อาจเป็นเพราะวันนี้คือวันจันทร์ วันแรกของการเรียนหรือทำงานคนถึงไม่นิยมเที่ยววันนี้กัน
“เค้กจะมาส่งตอนสามทุ่ม” วาวาเปรยขึ้นมาหลังจากคุยสายกับเจ้าของร้านเค้กชื่อดังในย่านนี้
มันดูตั้งใจและตื่นเต้นกับวันเกิดของฟินิกซ์เหลือเกิน และฉันเห็นมันเป็นแบบนี้ทุกปีตั้งแต่เรียนปีหนึ่งจนตอนนี้เราอยู่ปีสามกันแล้วมันก็ยังมีสถานะเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม เพราะยัยนี่ไม่คิดจะสารภาพก่อน ส่วนฟินิกซ์ก็คุยกับคนนั้นคนนี้ไม่คบใครจริงจังสักคน
“พวกมันอยู่โต๊ะไหนกัน”
“ข้างในสุดเลย”
เราสองคนเดินเข้าไปในร้านก็เจอกับเพื่อนในสาขาที่มากันก่อนแล้วสี่ห้าคน เป็นพวกผู้ชายทั้งหมดเพราะส่วนใหญ่สาขาเรามีแต่ผู้ชาย มีผู้หญิงเรียนกันแค่หกคนเท่านั้น
“ดื่มอะไรกัน” เจ้าของวันเกิดหันมาถามวาวาที่นั่งลงข้างๆ ก่อนจะมองชุดที่เพื่อนใส่แล้วขมวดคิ้ว “ใส่ชุดนอนมาทำไมวะ รีบเหรอ หรือกะเมาแล้วนอนเลย”
คำพูดของฟินิกซ์ทำเอาวาวาอ้าปากค้าง ไม่รู้ว่ามันรู้สึกยังไงแต่ถ้าเป็นฉันคงข่วนหน้าไปสักทีเพราะทำให้เสียความมั่นใจ
“กะจะมานอนนี่แหละ ถ้ากลับไม่ไหว” วาวาตอบเสียงเรียบ ท่าทางเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร “ยุ่งอะไรกับชุดกูล่ะ”
สองคนนี้เคยเรียนห้องเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมแต่เท่าที่รู้คือไม่ได้สนิทกันเท่าตอนนี้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าวาวาชอบฟินิกซ์ก่อนหน้านี้แล้วหรือเพิ่งมาชอบตอนเข้ามหาวิทยาลัย แต่ถ้าให้เดา ที่มันมาเรียนคณะนี้ สาขานี้ คงเป็นเพราะไอ้อดีตเดือนคณะคนนี้นี่แหละ
ฉันนั่งดูสองคนนั้นเงียบๆ ครู่หนึ่งก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ วาวาก็อาสาไปส่งเพราะตอนนี้เราดื่มกันแล้วมันคงเป็นห่วง
“มีเงินเที่ยวแต่ไม่มีมาใช้หนี้ หึ” เสียงหนึ่งดังขึ้นตอนที่ฉันออกมารอวาวาอยู่หน้าห้องน้ำที่เป็นทางเดินมืดๆ จนต้องหันไปมองเพราะไม่รู้ว่าเขาคนนั้นคุยกับใคร “คนแบบเธอนี่ไม่รู้จะพูดยังไงดี”
“เฮียอี้เต๋อ!”
“โคตรแย่เลยว่ะ”