บท
ตั้งค่า

บทที่ 1

ในยามเช้าตรู่ที่ดวงอาทิตย์กำลังจะโผล่ขึ้นจากบนขอบฟ้า เสียงนกพิราบฝูงเล็กฝูงน้อยออกจากรังบินออกหากิน และพวกมันก็ส่งเสียงอยู่บนหลังคาบ้าน พร้อมกับเสียงของไก่ที่คอยขันย้ำเตือนว่านี่มันเป็นเวลาเช้าของวันใหม่แล้ว

ในเวลานี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังพึ่งตื่นอย่างงัวเงียลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างช้าๆ เขาขยี้ตาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยวาจากับตัวเขาเอง

“เช้าแล้วซินะ.. วันนี้คงต้องขยันทำงานอีกเหมือนเดิม”

หนุ่มหน้าใสวัย 25 ปี พูดให้กำลังใจตัวเองอย่างนี้เช่นทุกๆเช้า ชายหนุ่มคนดังกล่าวมีนามว่า สิน หรือชื่อจริงๆของเขาคือ สินสมุทร สุดสาคร ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าตาดีเทียบเคียงแล้ว พอๆกับดาราหน้าใหม่ในวงการได้เลยก็ตาม แต่ว่าเขายังไม่เคยมีแฟนที่เป็นตัวเป็นตนเลยสักคนเดียว

เพราะด้วยเรื่องของฐานะของทางบ้านของเขาที่มันเรียกได้ว่า ค่อนข้างจะยากจน จึงทำให้เขาก็ไม่ต่างอะไรกับผู้ชายทั่วๆไป สำหรับสาวงามทั้งหลาย ในปัจจุบันนี้เขาเองก็อาศัยเพียงบ้านเช่าเล็กๆ เป็นอาคารชั้นเดียว แถบชุมชนหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่

เขาพยายามปรับสติเพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วไปอาบน้ำ เพราะจะต้องออกไปทำงานประจำกับพี่ชายของเขา และเรื่องราวทั้งหมดในการพลิกผันชีวิตของเขา มันคงต้องเล่าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สัก 7-8 ปี

ในตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น ครอบครัวของเขาประกอบไปด้วยคุณพ่อที่ทำงานบริษัทขนาดกลาง เงินเดือนก็ประมาณ 25,000 บาท ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้านที่คอยทำงานทุกอย่างภายในบ้าน และพี่ชายที่อายุห่างกันเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น

ซึ่งในวัยนั้นเขาก็กำลังเตรียมตัว เพื่อที่จะเข้ารับการศึกษาต่อที่มหาลัยชั้นนำในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งพี่ชายของเขาก็ศึกษาที่นี่เช่นเดียวกัน ตอนนั้นพี่ชายของเขาศึกษาอยู่ใน คณะศิลปะศาสตร์ และกำลังจะขึ้นเรียนในชั้นปีที่สอง ทุกอย่างเหมือนกับจะดูสวยหรู

แต่แล้ว...ชีวิตมันก็กลับตาลปัตรนำไปสู่หายนะครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัว ในวันนั้นเอง คุณพ่อ และคุณแม่ของเขาได้ออกไปทำธุระข้างนอก เขาจำได้ว่าในวันนั้นฝนตกหนักเป็นอย่างมาก และแล้วรถที่ทั้งคู่ใช้ในการเดินทางก็เกิดพลิกคว่ำเพียงเพราะมีสุนัขตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถ

และด้วยวิสัยทัศน์การมองเห็นที่ไม่ดีมากนัก จึงทำให้คุณพ่อตกใจ และตัดสินใจหักรถหลบ จนรถเสียหลักตกลงไปยังข้างทาง ในเวลาต่อมาพวกท่านทั้งสองก็เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล

นั่นมันก็ทำให้ชีวิตของเขากับพี่ชายเริ่มที่จะเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่เคยได้ใช้ชีวิตที่แสนจะสุขสบาย กลับกลายเป็นยากลำบากในชั่วพริบตาเดียว

ณ วัดใกล้บ้าน

“อย่าเสียใจไปเลยไอ้สิน พวกเราต้องอยู่ต่อไป พวกเราจะต้องอยู่เพื่อใช้ชีวิตในส่วนของคุณพ่อคุณแม่ด้วย”

พี่ชายของเขาพยายามปลอบเขา ในขณะที่น้ำตาของตัวเองก็ซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่เพื่อเป็นการแสดงความเข้มแข็งของตัวเอง และเพื่อไม่ให้น้องชายรู้สึกโดดเดียว ไร้ที่พึ่ง เขาก็จำเป็นต้องเข้มแข็ง และทำเป็นไหว ในฉากนี้มันเล่นทำเอาสินซาบซึ้ง และร้องไห้อีกพักใหญ่

บ้านที่พวกเราเคยอาศัยอยู่นั้น พี่ชายก็ตัดสินใจที่จะขายมันทิ้ง เพื่อนำมาเป็นทุนสำหรับทำธุรกิจของตัวเอง ในตอนแรกๆธุรกิจของเขานั้น ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม

แต่เมื่อพี่ชายมีเงินเยอะขึ้น เขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไป เขาหันไปเล่นการพนันจนเสียหมดตัว บริษัทที่ทำมาก็เริ่มพังทลายลง แต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่ดี เพราะหลังจากในวันนั้น พี่ชายก็เริ่มจะคิดได้ และหันกลับมาทำงานสุจริตอีกครั้ง

แต่อนิจจังเงินทองนะไม่ใช่กระดาษ เงินไม่มีติดตัวกันเลยสักกะบาท เราสองพี่น้องจึงเริ่มหันมาทำงานแบกหามให้กับร้านค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเจ้าของมีชื่อว่า ‘เฮียเฮ้ง’ จนวันเวลาล่วงเลยผ่านไป จนถึงปัจจุบันในตอนนี้ อายุของสินก็ได้เข้าใกล้เข้าเบญจเพสเข้าไปทุกที

เขาก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดใส และสดชื่น พร้อมกับเสียงนกร้อง และไก่ขันอีกตามเคย

“เช้าแล้วซินะ.. วันนี้คงต้องขยันทำงานอีกเหมือนเดิม” เขาพูดให้กำลังใจตัวเองในทุกๆเช้า

หลังจากที่สินทำธุระส่วนตัวของตัวเองเสร็จ เขาก็รีบลงมายังห้องนั่งเล่น มันเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่อยู่ในส่วนหน้าของบ้านเช่า ขนาด 3x3 เท่านั้น แต่เขาเมื่อเขาลงมายังห้องส่วนนี้ เขากลับไม่พบพี่ชายสุดที่รักที่ควรจะรอเขาเพื่อไปทำงานด้วยกันในเช้านี้ แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นกระดาษใบหนึ่งวางไว้

“นั่นมัน...กระดาษอะไรนะ” เขาเห็นกระดาษ A4 ที่ถูกวางเอาไว้อยู่บนโต๊ะกลางห้องรับแขก

“ไหนดูหน่อยซิ” เขาก็เปิดมันออกแล้วก็อ่านมันในทันที

“ถึงน้องชายสุดแสนจะเป็นที่รัก พี่ไม่อาจจะทนความเป็นอยู่อย่างยากลำบากของพวกเราต่อไปได้อีกแล้ว ดังนั้นพี่ชายสุดหล่อคนนี้จะยอมให้ตัวเองลำบาก เพื่อน้องชายสุดที่เลิฟเอง พี่จะออกไปทำงานที่ต่างประเทศ เมื่อพี่มีเงินเยอะๆเมื่อไหร่ พี่จะกลับมารับเราไปอยู่ด้วย ปล.1 รัก และคิดถึง”

‘ซึ้งสิครับ น้ำตาจิไหล พี่ชายยอมลำบากเพื่อเราขนาดนี้’ เขาคิดในใจ แต่น้ำตาก็ไหลพรากออกมาจากในตอนแรกมันเพียงแค่น้ำตาซึมๆเท่านั้น

“ปล.2 พี่เอาเงินที่เราสองคนเก็บไว้ทั้งหมดไปเป็นค่าเดินทางนะ ดูแลตัวเองด้วย รักนะจุ๊ฟๆ” แล้วเนื้อความในจดหมายก็จบลงที่ตรงนี้

“จะจุ๊ฟมาทำซากมะเขือเผาอะไรล่ะครับไอ่พี่ชายบ้า แล้วฉันจะทำอย่างไรต่อจากนี้ วันเวลาดีๆที่มีหมดความหมาย และฉันจะทนอีกนานสักเพียงไหน...ถ้าไม่มีเธอ... ถุย ไม่ใช่ละ ถ้าไม่มีตังเว้ย” เขาร้องเพลงออกมาเพื่อคลายความเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนเวลา 30 นาทีผ่านไป สินเริ่มที่จะทำใจได้ส่วนหนึ่งแล้ว

“เราจะต้องไม่ยอมแพ้.. ถึงพี่ชายจะชอบโกหกเราอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้พี่ชายคงทำมันจริงๆ... ฉันเชื่อพี่นะ.. ฉันจะรอ.. รอเธอหันมา... ถุย ใครมันจะไปเชื่อล่ะ” สินกล่าวออกแนวประชดประชันออกมา ก่อนที่จะเดินไปยังห้องของตัวเอง แล้วเขาก็หยิบกล่องใบหนึ่งขึ้นมาเปิดมัน

“ก็ยังดี..ที่เราพอจะมีเงินที่แอบเก็บไว้อยู่บ้าง ไม่งั้นไม่รอดแน่ๆ” เขานับจำนวนเงินจากเศษแบงค์ย่อยๆ ที่รวมกับได้แล้วมีมากถึง 10,000 บาทกับเศษที่ไม่เต็มร้อย ในความยากลำบากนี้ เขาจะต้องไม่ย่อท้อ ชีวิตที่ผ่านมาเขาก็เจออะไรมาตั้งมากมาย ถ้าขยันทำมาหากิน สักวันก็คงจะสบาย เขาคิดอย่างนั้น

เขาเริ่มคำนวณรายรับ-รายจ่ายของเดือนนี้ ถึงสถานการณ์จะแย่แค่ไหน แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กอมมืออายุ 18 ปีเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว

“ค่าเช่าบ้าน 5,000 บาท, ค่าข้าวสาร 300บาทตลอดทั้งเดือนของเรา, ค่าไฟประมาน 400 บาท, ค่าอาหาร(เนื้อ/ผัก)เพื่อให้ประกอบอาหารออกมาเป็นกับข้าว 60 บาทต่อวัน รวมทั้งหมดแล้วก็ 7,500บาท…อื้มมมม”

สินหยิบแบ่งเงินอย่างระมัดระวัง เขาต้องคิดดีๆแล้วว่าส่วนไหนมันควรที่จะลดลงได้บ้าง เขาจะต้องประหยัดค่าใช้จ่ายให้เยอะที่สุด

“คงจะต้องเปลี่ยนทุนให้เป็นผลกำไรบ้าง... จะว่าไป..เราควรเปิดร้านขายอาหารเล็กๆจะดีมั้ยน้า กับข้าวเราเองก็มั่นใจว่าอร่อยอยู่พอตัว..อีกอย่างเราก็จะได้ประหยัดค่าอาหารไปในตัว..ทำมันจากร้านตัวเองนี่แหละ”

สินเป็นคนที่ตัดสินใจทำอะไรเร็ว เพราะถ้ามันไม่ลองทำมันจะไปรู้ได้อย่างไงว่ามันจะออกมาดีหรือไม่ดี และเขาก็ยังเชื่อในเรื่องของความคิด ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูเหมือนไม่รอบครอบบ้างก็ตามที

“ไม่ลองก็ไม่มีรทางรู้... ลองดูสักตั้ง.. อย่างแย่สุดก็แค่กลับไปทำงานเป็นคนแบกหามเหมือนเดิม..ก่อนอื่นเราจะต้องหาข้อมูลดูซะก่อน” เมื่อเขาตัดสินใจได้แล้ว ก็รีบออกมาจากบ้านทันที เขาปั่นจักรยานคู่ใจ เพื่อที่จะเดินทางไปยังร้านหนังสือมือสอง จากที่หาๆข้อมูลสถานที่มันอยู่ใกล้ๆกับแถวสถานีรถไฟเชียงใหม่

“กว่าจะมาถึง..ไกลเหมือนกันนะเนี้ย”

สินบ่นออกมาเล็กน้อย เพราะสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่คือชุมชนหนองหอย และกว่าจะมาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ มันก็ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควร (เอาเป็นว่าประมาณ 4-5 กิโลเมตรนะครับ เผื่อใครไม่อยู่ในเชียงใหม่)

ถึงมันดูเหมือนจะไม่ไกล แต่ถ้าเปลี่ยนจากการขับรถมาเป็นเดินหรือปั่นจักรยาน มันก็ทำให้เหงื่อตกได้เหมือนกัน และเมื่อสินเดินทางมาถึงร้านหนังสือมือสอง เขาก็เดินเข้าไปในร้านทันที

“ยินดีต้อนรับครับ ไม่ทราบว่าให้ช่วยอะไรดีครับ” เจ้าของร้านหนังสือออกมาต้อนรับสินด้วยท่าทางที่ดูเป็นกันเองอย่างธรรมชาติ

“พอดีผมกำลังมองหาหนังสือเกี่ยวกับอาหาร เมนูอาหาร วิธีการทำอาหาร หรือไม่สูตรอาหารอะไรทำนองนี้แหละครับ”สินกล่าวออกไป

“ชั้นสองเลยไอ่น้อง แหม่ๆ ตอนแรกไอ้เราก็ไม่ทันมอง คิดว่าเป็นมนุษย์ป้าแก่ๆซะอีก.. ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว อายุประมานเราไม่ค่อยจะมาหาหนังสือไปอ่านเล่นสักเท่าไหร่.. พี่ก็เลยสุภาพไปหน่อย ปกติจะมีก็แต่คนแก่ๆเท่านั้นแหละที่เข้าร้าน ฮ่าๆ” ชายคนนั้นเอ่ยกล่าว

“อ้าวพี่.. อย่างนี้ก็ได้เหรอ.. เอาเถอะผมชื่อสินนะครับพี่ แล้วพี่พอจะแนะนำหนังสือให้ผมหน่อยได้มั้ย... คือว่าผมไม่ค่อยที่จะรู้เรื่องอะไรพวกนี้” สินกล่าวตอบอย่างขำๆ และขอความช่วยเหลือตามลำดับ

“ได้เลยไอ้น้อง เรียกพี่ว่า ‘เจษ เจษฎาพร’ ตามมาทางนี้เลย” เจษเดินนำหน้าสินไป ส่วนสินก็เดินตามไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ขึ้นมายังโซนหนังสือที่อยู่ชั้นสอง สินมองไปรอบๆก็พบกับกองภูเขามากมายของหนังสือหนังหา มองไปทางไหนก็มีแต่หนังสือแล้วก็มีแต่หนังสือทั้งนั้น แม้แต่ทางให้เดินยังไม่ค่อยจะมีเลย

“เลือกเอาเลย... พี่ขายให้ถูกๆ เล่มละ10 บาทเท่านั้น” พี่เจษยื่นมือออกไปแนะนำ

“เยี่ยม..ถูกมากเลยพี่.. ผมขอเลือกก่อนนะครับ” สินกล่าวออกมาพร้อมกับวิ่งเข้าใส่กองหนังสือในทันที

“ตามสบายเลย ขายราคา 10 บาททุกเล่ม ฮ่าๆ” แล้วพี่แกก็เดินลงบันใดหายรับจากไป

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel