บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 อำมหิต

ค่ำคืนเดือนเพ็ญมาเยือนอีกครา จันทรากลมโตจึงลอยเด่นบนม่านนภาอีกครั้ง

ทุกครั้งที่จันทร์เด่นชัด ดรุณีน้อยนางหนึ่งมิรู้ได้ว่าเหตุใดถึงชอบคืนเพ็ญนัก

ยิ่งเห็นจันทร์จรัสแสง ดวงตาสุกใสของนางก็ยิ่งเปล่งประกายเจิดจ้า

ในม่านราตรีสลัว ซิงเยว่ยืนนิ่งไม่ไหวติง แหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่เช่นนั้น

นางยืนมองดวงจันทร์จากบนต้นไม้สูงตระหง่านท้ายเรือนปีกข้าง เกิดเป็นเงาระหงเลือนรางตกกระทบยอดหญ้า ข้างกายนางคือต้นไม้ใหญ่มีกิ่งก้านสาขามากมาย

ช่างน่าแปลกใจที่นางไม่คิดยืนอิงแอบแนบแผ่นหลังกับต้นไม้ หากแต่นางกลับมีความคิดผิดแผกถึงขั้นปรารถนาปีนป่ายขึ้นมาบนยอดไม้อย่างอาจหาญ

แน่นอนว่าความทรงจำของนางยังคงว่างเปล่า ทว่าสัญชาตญาณบางอย่างในตัวกำลังบอกกล่าวแก่นางว่าการปีนต้นไม้มิใช่เรื่องยาก หากต้องการใกล้ชิดดวงจันทร์ การขึ้นมายืนบนนี้เป็นเรื่องสามัญสมควรกระทำ

ยามทอดสายตามองเหม่อไปแสนไกลถึงม่านนภา ภาพในห้วงนิทราอันเลือนรางเริ่มผุดพรายในคำนึง

ซิงเยว่มักจะฝันเห็นเงาร่างของหญิงสาวสองคนกำลังยืนคุยกันใต้เงาจันทร์

ภาพนั้นไม่ชัดเจนว่าเป็นใคร เพราะไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงความมืดมัวสลัวรางจากทางด้านหลังของอิสตรี ทว่าถ้อยวจีที่พวกนางต่อขานกลับชัดเจนอย่างยิ่ง

‘น้องพี่ ไม่นานจากนี้เกรงว่าค่ายจันทราคงสั่นคลอนยากยืนหยัด มิอาจต่อกรกับเภทภัยที่ย่างกรายมาเยือน หากเป็นไปได้ จงอย่าดึงผู้อื่นมาข้องเกี่ยวกับตัวเจ้าเด็ดขาด สหายก็ดีคนรักก็ช่าง หากเจ้ามีผู้ใดให้ห่วงใยจงสลัดทิ้งเสีย’

ในฝัน ซิงเยว่เห็นสตรีผู้หนึ่งเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยฉะฉาน ทว่าสตรีอีกผู้หนึ่งกลับเป็นเพียงฝ่ายรับคำเสียงเบาดุจปุยนุ่น ท่าทีลำบากใจอย่างยิ่ง

‘ข้าทราบแล้วพี่ใหญ่...’

ทุกครั้งที่ฝันเห็นภาพนั้น ซิงเยว่มักตื่นขึ้นกลางดึกด้วยความรู้สึกสนเท่ห์งงงันมิเคยเข้าใจสักกะผีก

ทั้งเงาทะมึนสองสตรีทั้งถ้อยวจีช่างชวนฉงนโดยแท้

ชั่วยามนี้ ขณะที่ซิงเยว่ชั่งใจว่าจะปีนขึ้นไปถึงยอดไม้เพื่อดูดวงจันทร์ให้ใกล้และชัดเจนมากกว่าเดิมดีหรือไม่ นางพลันก้มหน้าลงมองร่างกายของตนเอง

วันนี้นางสวมชุดสีฟ้าตัวใหม่ จะอย่างไรคงต้องรอให้ชุดนี้เก่าขมุกขมัวกว่าเดิมสักหน่อยถึงจะทำใจให้ชุดเปื้อนได้

เมื่อคิดดังนั้น ซิงเยว่จึงหยุดปีนป่ายต้นไม้และเลือกที่จะกระโจนลงมาอย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวชวนกังขา ทว่านางกลับไม่นำพา

หญิงสาวกระชับเสื้อคลุมเพิ่มความอบอุ่นให้ตนเอง เกล็ดหิมะร่วงใส่จมูกเชิดรั้นจนนางต้องยู่หน้าย่นจมูกน้อยๆ

ใต้แสงจันทรา ดวงหน้าจิ้มลิ้มแลดูน่ารักเป็นพิเศษ

ซิงเยว่เร่งฝีเท้าเดินไปตามทางหินกรวด ลัดเลาะจากเรือนปีกข้างไปยังเรือนหลักอย่างชำนาญ

หากแต่จะบอกว่าเดินอาจไม่ถูกนัก เพราะร่างเล็กระเหิดระหงในชุดกะทัดรัดของสาวใช้กำลังย่างเท้าลักษณะเหยียบย่องกึ่งก้าวกระโดด ฝีเท้าแผ่วเบาว่องไวนั้นมั่นคงยิ่ง ความเร็วนี้ส่งผลให้ดวงหน้านวลเนียนคล้ายมีเลือดฝาดจนอมชมพูระเรื่อยิ่งขึ้น นัยน์ตาคู่งามยิ่งแวววาวสดใส สายตาจับจ้องแน่วนิ่งเพียงเบื้องหน้า ยามนางเคลื่อนกายเดินผ่าน ดอกสีแดงบนกิ่งเหมยพลันแกว่งไกวเบาๆ

ความว่องไวปราดเปรียวที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ นางแค่กำลังรีบไปดูแลปรนนิบัติส่งนายน้อยเข้านอนเท่านั้น หาใช่จอมยุทธ์ลอบสืบเรื่องราวผู้คนให้หน่วยข่าวกรองที่ใด

กระนั้นหญิงสาวกลับเหมือนแบบหลังอย่างไม่ตั้งใจ

นับแต่ซิงเยว่ได้เป็นสาวใช้ของนายน้อยหลิวไท่หยาง เวลาพักผ่อนก็แทบไม่มี

ต้องคอยดูแลปรนนิบัติเกือบทั้งราตรี ทั้งวี่ทั้งวัน

สาวใช้คนอื่นได้แต่พร่ำบ่นด้วยคำถามไร้ซึ่งคำตอบ

‘มิรู้ว่านายน้อยพึงใจอันใดในตัวซิงเยว่นักหนา!’

นอกจากคำถามหลายคนยังจ้องมองด้วยความอิจฉา มีแรงริษยาในแววตาไม่เจือจาง

ทว่าทุกวันซิงเยว่ไหนเลยจะมีเวลาใส่ใจสายตาผู้ใด แค่วิ่งวุ่นดูแลคุณชายหลิวไท่หยางก็แทบแย่แล้ว

กระนั้น คนจำพวกหนึ่งกลับระรานไม่คิดปล่อย

ราตรีหนึ่งในคืนเดือนเพ็ญ จันทร์กระจ่างงามเด่น ซิงเยว่ผู้ชื่นชอบแสงจันทราอย่างน่ากังขากำลังเดินเล่นเลียบริมสระบัวมาเรื่อยๆ หมายพักผ่อนหลังเสร็จงานในแบบตน นั่นก็คือปีนต้นไม้ขึ้นไปยืนมองดวงจันทร์

หากแต่ยังไม่ทันถึงที่หมาย พลันมีฝ่ามือปริศนายื่นตรงมาที่แผ่นหลังบาง ซิงเยว่มิทันรู้สึกตัวถึงฝ่ามือนั้น พริบตาร่างเล็กกลับเซถลาลื่นไถลใกล้ริมฝั่งหมิ่นเหม่

ดวงตาซิงเยว่เบิกกว้าง แน่นอนว่านางตกใจ อีกทั้งยังไม่ทันได้ตั้งรับอันใด กลับรับรู้ได้ถึงกระแสลมเย็นวูบหนึ่ง จากนั้นเสียงตูมพลันเกิดขึ้น ม่านน้ำซ่านเซ็น สองหูอื้ออึง ม่านตามืดมน ร่างทั้งร่างจมดิ่งลงสระบัว

ซิงเยว่รีบตะเกียกตะกายตามสัญชาตญาณเพราะเท้าที่แตะไม่ถึงพื้นใต้น้ำกำลังบอกว่าสระแห่งนี้ลึกเกินหยั่ง ระหว่างนั้นนางพลันได้ยินเสียงคนหัวเราะอยู่ริมตลิ่ง

คฤหาสน์หลิวซิงค่อนข้างกว้างขวาง และมุมที่ซิงเยว่เลือกชมจันทร์คือมุมอับไร้ใครเดินผ่าน เวรยามยังไม่สนใจ ดังนั้นยามนี้จึงไม่มีใครอื่น นอกจากซิงเยว่และอีกคนที่กำลังก่อเหตุอุกอาจต่อนาง

“เป็นอย่างไรเล่า หนาวหรือไม่?”

คนผู้นั้นเป็นสตรีอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเสียงที่เอื้อนเอ่ยเย้ยหยันนั้นช่างหวานแหลมสิ้นดี

ซิงเยว่ในน้ำเย็นเยียบเริ่มครองสติแล้วเร่งสดับฟัง ไม่นานนางก็จับกระแสเสียงของอีกฝ่ายได้ สตรีผู้นี้คือซิวอิ๋ง สาวใช้คนใหม่ที่นอนห้องเดียวกับนางร่วมกับสาวใช้อีกคน

ทั้งๆ ที่ต่อหน้ายิ้มแย้ม กลางวันยื่นไมตรีช่วยแบ่งเบาภาระงาน แล้วเหตุใด?

ซิงเยว่ไม่เข้าใจ นางไม่เคยมีความแค้นหรือสร้างเรื่องบาดหมางอันใดกับสตรีผู้นี้

แต่เมื่อได้ฟังวาจาอีกฝ่ายเอ่ยถึงนายน้อยหลิว

“กินน้ำเข้าไปเยอะๆ เลย หนาวตายในน้ำเลยยิ่งดี จะได้ไม่ต้องกลับมาเสนอหน้าอยู่ใกล้นายน้อยอีก ฮ่าๆ”

ชัดเจนแล้วว่าต่อให้คนผู้หนึ่งยิ้มให้ด้วยความจริงใจ แต่เมื่อมีเรื่องบุรุษมาเกี่ยวข้อง ความเกลียดชังอันไร้เหตุผลย่อมเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

ซิงเยว่แค่นเสียงเย็นในใจ

นางหยุดตีน้ำ หยุดตะเกียกตะกาย

เท้ายืนไม่ถึงแล้วอย่างไร

หญิงสาวหรี่ตา ปล่อยกายาจมดิ่ง ผิวธาราเริ่มแน่นิ่ง

เนิ่นนานที่ผิวน้ำหยุดกระเพื่อม ไร้เกลียวคลื่น ปราศจากการขยับไหว สตรีริมตลิ่งนามซิวอิ๋งยืนนิ่งเพ่งมองอย่างแปลกใจ ครู่ใหญ่ผ่านไป รอยยิ้มพลันแสยะบนดวงหน้า

นางปีศาจจอมยั่วยวนซิงเยว่ตายแล้ว ข้าจะได้รับใช้ใกล้ชิดนายน้อยหลิวแต่เพียงผู้เดียว หึ!

ซิวอิ๋งรีบมองซ้ายมองขวา มองฝ่าความืดมัว พบว่ารอบด้านไม่มีใครเดินผ่านไปมาทั้งนั้น

หึหึ! เช่นนี้ ต่อให้เกิดสิ่งใดย่อมไม่มีใครรู้ทั้งสิ้น

ซิวอิ๋งฉลาดพอที่จะไม่ให้สถานที่แห่งนี้เหลือหลักฐาน นางรีบรุดไปที่ตำแหน่งตรงรอยเท้าของซิงเยว่ลื่นไถลเมื่อครู่

ตรงนี้มีร่องรอยที่ทำให้เกิดความสงสัย หญิงสาวรีบจัดการเกลี่ยผิวดินทันที ไม่นานผิวดินที่เป็นหลักฐานชั้นดีพลันเรียบสนิท ไม่มีอันใดน่าสงสัยเลยสักนิด กว่าจะมีใครคิดว่าซิงเยว่หายไปทางใด ยิ่งไม่มีใครสงสัยเกี่ยวกับสระบัว กว่าผู้คนจะรู้ตัว ซิงเยว่ย่อมกลายเป็นศพลอยขึ้นอืดโน่นแล้ว

สระบัวแห่งนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่มาก หากศพลอยขึ้นผิวน้ำในอีกสองสามวันข้างหน้า คงลอยไปอีกฝั่ง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุอันเป็นด้านหลังเรือนพักแห่งนี้แน่นอน

นางที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้องมิได้ออกไปทางใดย่อมไม่ถูกสงสัยอยู่แล้ว หึหึ!

ลมราตรีโชยหวิว รอยยิ้มซิวอิ๋งยิ่งนานยิ่งเยือกเย็น

ทว่าหารู้ไม่ ว่าใครบางคนมีรอยยิ้มที่เลือดเย็นยิ่งกว่า

ในม่านน้ำไร้ผิวคลื่น ซิงเยว่อำพรางกายเงียบเชียบ นางค่อยๆ โผล่ขึ้นมาช้า ๆ เห็นเพียงแววตาอำมหิตวาบผ่าน

ยามนี้หญิงสาวมิต่างจากปีศาจภูตพรายใต้ม่านวารี

นางมิรู้เช่นกันว่าเหตุใดตนเองถึงดำน้ำได้นานนัก หากแต่ความสงสัยนั้นพลันถูกปัดให้ตกไป เพราะนางกำลังสนใจทำสิ่งอื่นมากกว่า

ฝ่ามือน้อยๆ ค่อยๆ ยื่นขึ้นมาจากใต้น้ำ ดุดันฉับไว แต่เงียบงันไร้สุ้มเสียง ดุจดั่งอสรพิษชนิดร้ายกาจตัวหนึ่ง

พริบตานั้น ซิงเยว่ก็กำข้อเท้าของซิวอิ๋งไว้แน่น เล็บแหลมคมมิต่างจากเล็บเหยี่ยวเหนี่ยวรั้งแล้วฉุดกระชาก ลากร่างของซิวอิ๋งให้ล้มทั้งยืนลื่นไถลลงน้ำทันที

“อ๊ะ! อึก”

เสียงร่างบางตกกระแทกพื้นดินดังเพียงอึดใจก็เงียบหายไป มิต่างจากลมราตรีโชยวูบผ่าน

ใต้ม่านน้ำ ซิวอิ๋งเบิกตาตะลึงลาน ร่างทั้งร่างชะงักงัน

ฝ่ายซิงเยว่นั้น มือหนึ่งรวบลำคอของซิวอิ๋งกำแน่น อีกมือหนึ่งจับศีรษะของซิวอิ๋งแล้วกดลงน้ำให้ลึกลงเรื่อยๆ ทั้งยังลากอีกฝ่ายให้ลอยจากริมตลิ่ง ไกลออกไป

หญิงสาวประดุจมัจฉาตัวเขื่องน่าขยาดที่ต้องการลากเหยื่อลงมาขย้ำแล้วกลืนกินมิให้เหลือซากภายใต้ม่านน้ำ

ไม่นาน เหยื่อโชคร้ายพลันกลายเป็นอาหารอันโอชา ถูกนางปีศาจวารีสูบวิญญาณจนแน่นิ่งจมดิ่ง...

สองวันต่อมา ศพของซิวอิ๋งก็ลอยอืดขึ้นมาให้เห็นตรงข้างใบบัวในสระฝั่งบูรพา

ไม่มีใครรู้ สาวใช้นางนี้ตายได้อย่างไร...

เมื่อซิงเยว่ผู้นอนร่วมห้องถูกพ่อบ้านเรียกไปไต่ถาม นางก็ทำหน้าซื่อตาใส ปฏิเสธเสียงเบาหวิวว่า

“บ่าวไม่รู้เจ้าค่ะ คืนก่อนหลังจากปรนนิบัตินายน้อยเสร็จแล้วกลับมาก็ไม่เห็นซิวอิ๋งแล้ว บ่าวนึกว่าอีกฝ่ายคงไปคุยเล่นกับสาวใช้อีกห้องหนึ่ง เห็นพวกนางสนิทสนมกันดี ผิดกับท่าทีที่มีต่อบ่าว พวกนางคงนอนด้วยกัน มิคิดว่า...”

ขณะเอ่ยยังทำไหล่สั่น เค้นน้ำตาออกมาสองหยด ท่าทางของซิงเยว่ไม่ต่างจากลูกกวางน้อยตื่นกลัวเลยสักนิด

นัยน์ตาที่สะท้อนแสงเทียนสีนวลมีน้ำปริ่มเอ่อคลอ ท่าทางอ่อนแอบอบบางเสียจนบุรุษใดมาเห็นก็นึกอยากปกป้องถนอมไว้

สาวใช้อีกคนที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันกลัวจนลนลานจึงรีบเออออ “ใช่ๆ บ่าวก็คิดเช่นเดียวกับซิงเยว่เจ้าค่ะ”

ซิงเยว่จึงหันมองคนร่วมห้องอย่างเห็นอกเห็นใจกันและกัน ก่อนหันมองพ่อบ้านเหิงด้วยสายตาตัดพ้อน่าสงสาร

เนตรงามฉ่ำชื้นดุจบุปผาบอบช้ำนั้นทำคนรู้สึกอยากโอบอุ้มยิ่งนัก พ่อบ้านเหิงให้รู้สึกเวทนาขึ้นมาครามครัน พลันคิดว่าไม่ใช่ฝีมือของซิงเยว่แน่นอน ต่อให้ก่อนหน้านั้นอีกฝ่ายเคยตีม่านเหนียงก็ตาม

สตรีแน่งน้อยอ่อนแอบอบบางทั้งน่าสงสารนางนี้ แม้แต่แรงเชือดไก่คงยังไม่มีกระมัง จะถึงขั้นฆ่าคนได้อย่างไร คงแค่มีนิสัยโมโหร้ายเท่านั้น ไม่มีทางทำร้ายใครถึงตายแน่ๆ

พ่อบ้านเหิงครุ่นคิดจนได้ข้อสรุป เขาจึงถอนหายใจ “เอาล่ะ! หยุดร้องไห้เสีย เจ้าออกไปเถิด ให้คนอื่นเข้ามา”

“ขอบคุณท่านพ่อบ้านผู้เปี่ยมเมตตา ทรงคุณธรรม” ซิงเยว่ยกมือปาดน้ำตาเบาๆ ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปด้วยท่าทางบอบบาง สายตาโศกเศร้าชวนปวดใจ

หลิวไท่หยางที่นั่งนิ่งรับฟังและรับรู้ทุกการสอบสวนในตำแหน่งประธานโถงถึงกับมุมปากกระตุก

ยิ่งเห็นมารยาสาไถยอันกลิ้งกลอกไม่ต่างจากจิ้งจอกก็ยิ่งมั่นใจในความคิดตน

แม้มิรู้ว่าสาวใช้ผู้นั้นทำสิ่งใดให้ซิงเยว่โกรธเคือง หากแต่เขารู้จักซิงเยว่ดีกว่าใคร

ไม่เสียชื่อที่เป็นถึงนายหญิงแห่งค่ายโจรจันทราแดง โหด โฉด เถื่อน เลือดเย็น นิยมการเข่นฆ่าอำมหิตอำพราง

อาวุธประจำกายของนางหาใช่ดาบกระบี่หอกธนู แต่กลับถนัดที่สุดคือฆ่าคนด้วยมือเปล่า

แน่นอนว่าซิงเยว่ไม่นิยมทำร้ายใครก่อน ยิ่งไม่ฆ่าคนโดยไร้เหตุผล ต่อให้ความจำเสื่อม สูญสิ้นวรยุทธ มิรู้ตัวตน

แต่สตรีที่ร้ายที่สุดล้วนเป็นนางนั่นล่ะ!

ชายหนุ่มตัดสินใจลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเกียจคร้าน โบกมือเบาๆ กล่าวเสียงเนือยว่า “ไม่ต้องสอบสวนแล้ว จัดการฝังศพให้ดี แจ้งไปทางครอบครัวของสาวใช้นางนี้ แล้วมอบเงินให้มากหน่อย ดูแลครอบครัวอย่าให้ตกหล่น”

พ่อบ้านเหิงได้ยินพลันให้รู้สึกเหมือนยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก อันที่จริงแค่ทาสคนหนึ่งตายไปไม่นับเป็นอันใด มิใช่ว่าไม่เคยมีใครถูกโบยตายเสียหน่อย

เพียงแต่ยามนี้มีนายน้อยมาพำนักพักผ่อน จะมิให้เขาตื่นตระหนกลนลานจนต้องลุกขึ้นมาจัดการไต่สวนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้อย่างไร

หากเป็นยามปกติ แค่สาวใช้ต่ำต้อยพลัดตกน้ำตาย เขาแค่สั่งให้คนห่อศพเอาไปทิ้งที่สุสานร้างก็สิ้นเรื่องแล้ว ไหนเลยจะต้องเรียกคนมาสอบถามเช่นนี้ ยิ่งไม่มีทางสนใจหรือดูแลครอบครัวให้ เสียเวลาจริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel