บท
ตั้งค่า

บทที่ 2

แฮตตี้กำลังนอนอยู่ในเตียง เบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง “นอนนิ่งเหมือนรูปปั้นอย่างนั้นละ ดวงตาเป็นสีน้ำตาลใส ผิวพรรณขาวผ่อง ผมหยักศกสีดำสนิททีเดียว” คือคำบรรยายเมื่อลีน่ากลับมาเล่าให้ไมร์น่าฟังตอนหลัง

“ฮู...ฮู...” น้ำเสียงของลีน่าร่าเริงนักดังมาจากหน้าประตู “ยังเพลียอยู่บ้างละมังคะ ตื่นอยู่หรือเปล่าน่ะ?”

แฮตตี้เบือนหน้ากลับมามอง รอยย่นบางๆ ปรากฏขึ้นเหนือหน้าผาก

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ...โปรดกลับไปเสียเถอะ”

“มิสซิส เบลล์คะ คุณควรจะมองโลกอย่างสดใสเสียบ้างนะคะ ดูอย่างฉันสิ จริงอยู่หรอกที่บางครั้งอะไรๆ ในชีวิตของคนเราดูมืดมัวไปหมด แต่...ดูสิคะ อาทิตย์หน้าก็จะถึงวันแม่แล้ว และคุณก็จะได้ฉลองวันนั้นอย่างสมจริงสมจังกับลูกชายตัวน้อยๆ ของคุณ...”

ลีน่าชะงักคำพูดลงทันที...เพียงแต่ว่ามันสายเกินไป เมื่อเธอเกิดนึกถึงข่าวลือที่ซุบซิบกันทั่วทั้งตึกว่า...จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่คลอดลูกจนถึงวันนี้ มิสซิส เบลล์ยังไม่เคยเห็นหน้าลูกด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร... หรืออย่างน้อยถ้ามันจะมีอยู่ ลีน่าก็ยังไม่เคยเห็นหน้าลูกด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าเป็นเพราะอะไร... หรืออย่างน้อยถ้ามันจะมีอยู่ ลีน่าก็ยังไม่เคยได้ยินใครพูดกัน

“ออกไป...”

“แต่... ”

ลีน่านึกไม่ถึงว่ามันจะเกิดขึ้น แต่พอเห็นว่าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริง เธอก็แทบจะช้อคไปด้วยความกลัวแฮตตี้เหวี่ยงตัวลงจากเตียง แทบจะกระโดดลงมายืนอยู่บนพื้นห้องก็ว่าได้ คว้าแจกันดอกกุหลาบแดงที่ใครคนหนึ่งส่งมาให้ ขว้างใส่ลีน่าทันที

“ออกไปเดี๋ยวนี้...ออกไป๊... ”

แจกันตกลงตรงเท้าของลีน่าพอดี เศษแก้วกระจายเกลื่อนดอกกุหลาบแดงกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทางน้ำสาดกระเซ็นอยู่บนพรมน้ำมันปูพื้น

“เช็ดพื้นให้สะอาดด้วยนะ” แฮตตี้สั่ง เอนกายลงนอนตามเดิม สีหน้าสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันหลังให้ลีน่า “ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวใครจะไปเหยียบโดนเศษแก้วเข้า” ยิ้มบางๆ ฉาบขึ้นบนใบหน้า

“จริงๆ นะเธอ เกิดมาฉันไม่เคยเห็นอะไรอย่างนี้เลย” ลีนาเล่าให้ไมร์น่าฟังภายหลัง “เหมือนกับถูกผีเข้าอย่างนั้นแหละ ตอนที่ขว้างแจกันใส่ฉัน พอเสร็จแล้วก็นอนเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แหม...ฉันคงไม่มีวันลืมแววในดวงตาของยายมิสซิส เบลล์นี่ได้ง่ายๆ แน่ เหมือนภูติผีปีศาจชัดๆ แล้วก็เปลี่ยนเป็นเทพธิดาขึ้นมาในทันทีทันใด”

“ฉันว่าแกคงเป็นประเภทลนี่ละมั๊ง” ไมร์น่าพูดอย่างแน่ใจเอาจริงๆ จังๆ”เป็นพวกที่เกลียดเด็ก ฉันเห็นแผนกผดุงครรภ์มีคนอย่างนี้เยอะแยะไป”

“หลังจากนั้นฉันก็ไปเอาไม้กวาดกับผ้าเช็ดพื้นมา เก็บกวาดเศษแก้วทำความสะอาดพื้นห้อง ท่าทางเขาก็ดูสงบสุภาพดีคุยเรื่องตัวเองให้ฟังว่าชอบตัดเย็บเสื้อผ้า แล้วก็ถามเรื่องครอบครัวของฉัน...ถามว่าฉันอยู่ที่ไหน...มันคล้ายๆ กับฉันกำลังพูดคุยอยู่กับคนสองคนที่อยู่ในร่างเดียวกันอย่างนั้นละ คุยกันไปสักครู่เขาก็ขอโทษฉัน คล้ายกับว่าทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวจริงๆ”

“แล้วไม่ได้คุยกันเรื่องเด็กต่อรึ?”

“โอ้ย...ใครจะไปกล้า...ฉันก็บอกแล้วว่า จะไปเยี่ยมพูดคุยอะไรให้เขาสบายใจขึ้น เออ...เธอคิดว่าถ้าเขามีอาการแบบนี้แล้วจะส่งผลกระทบกระเทือนไปถึงลูกได้ยังไง?”

“ฉันว่าน่าจะเกี่ยวกับระบบหายใจนะ” ไมร์น่าพูดอย่างมั่นใจ “เพราะปรกติแล้วเห็นเป็นกันทุกราย ไม่ก็เกี่ยวกับหัวใจโดยตรง ในบางรายก็กระทบกระเทือนไปถึงสมองด้วยคือสมองจะเสื่อมได้”

“อืม...แต่ฉันยังไม่ได้ยินเลย... ” ลีนาคล้ายจะยังไม่ยอมคล้อยตามความคิดเห็นของเพื่อนไปด้วย

“เออ...เธอจำคำพูดฉันให้ดีก็แล้วกัน” ไมร์น่าว่าก้มหน้าลงอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ

เมื่อตอนที่ลีนาแวะไปดูลูกน้อยของมิสซิส เบลล์ ที่ห้องเลี้ยงเด็กนั้น พยาบาลที่เข้าเวรบอกเธอว่านายแพทย์เลนนาร์ดได้ย้ายเด็กไปไว้โรงพยาบาลอื่นแล้ว ซึ่งนางพยาบาลผู้นั้นก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องทำเช่นนั้นด้วย เพราะเท่าที่เธอรู้ เด็กก็มิได้เจ็บไข้ได้ป่วยแต่ประการใด

นับแต่มีเหตุการณ์ที่ถูกขว้างแจกันกุหลาบแล้ว ลีนาไม่ยอมเฉียดกรายเข้าไปใกล้แฮตตี้อีกเลย แต่ตอนที่เดินกลับมาจากห้องพักนางพยาบาลนั้น จําเป็นต้องผ่านหน้าห้องของเธอในยามนี้ที่ลีน่าอยากจะทำที่สุดคือลองถามความเห็นจากไมร์น่าว่าเพื่อนพยาบาลของเธอคิดอย่างไรกับการที่เด็กถูกย้ายออกไปจากโรงพยาบาล แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องชะงักงันกับภาพของแฮตตี้ซึ่งอยู่ในชุดเทลเลอร์สีฟ้า เส้นผมสีดำสนิทขมวดมุ่นขึ้นเป็นมวยอยู่เหนือศีรษะ เธอกำลังยืนหันหลังให้ประตู หันหน้าออกไปทางหน้าต่าง บุรุษผมสีเทาที่ลีนาจำได้คือนายแพทย์เลนนาร์ด กำลังพูดอะไรกับเธออยู่ และลีนาได้ยินเสียงมิสซิส เบลล์พูดเรียบๆ ว่า

“แฮรี่ ฉันจะไม่คิดถึงแกอีกแล้ว...แกจากฉันไปแล้ว”

นายแพทย์ เลนนาร์ด โอบแขนลงรอบไหล่ ในลักษณะที่เป็นการแสดงออกอย่างปลอบใจของหมอมากกว่า...เธอไม่ต้องการจะคิดอะไรให้เกินเลยไปถึงเพียงนั้น ก่อนที่จะย่องผ่านหน้าประตู

นายแพทย์ เลนนาร์ด เบือนหน้ามาพอดี

“คุณ...เอ้อ...มิสซิส...”

ลีน่ากระแอมไอเบาๆ อย่างไม่จะทำอะไรเป็นการแก้เขินดีไปกว่านั้น

“เอ๊ะ...ดูเหมือนผมจะยังไม่ทันสั่งนะ แต่ไม่เป็นไร...มิสซิสเบลล์จะออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้แล้ว คุณช่วยไปเอาเก้าอี้เข็นให้หน่อยได้ไหม?”

“ได้ค่ะ คุณหมอ” แฮตตี้กำลังมองเธออยู่ด้วยสายตาที่เย็นชา แต่ลีนาไม่ยอมสบตาด้วย ออกจะกลุ้มใจกับอารมณ์รุนแรงของแฮตตี้ที่ระเบิดออกมา ยิ่งเสียกว่าตัวแฮตตี้เองอีกแต่จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าคนไข้รายนี้จะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วโดยสิ้นเชิง มิได้มีวี่แววว่าจะจำลีนาได้ด้วยซ้ำ

“ฉันไม่ต้องการนั่งเก้าอี้เข็นหรอกค่ะ” แฮตตี้พูดขึ้น

“แต่มันเป็นกฎของโรงพยาบาลนะ” นายแพทย์ว่า “รถผมกำลังคอยอยู่แล้ว” เขาหันมาจ้องแผ่นป้ายที่กลัดติดอยู่ตรงหน้าอกของลีนา “มิสซิส โปรวิคใช่ไหมครับ...คุณช่วยพามิสซิส เบลล์ลงไปทางลิฟต์นะ ผมจะแวะโทรศัพท์หน่อยก่อนแล้วจะตามลงไปทันที”

ลีนายืนอยู่หลังเก้าอี้เข็น ขณะที่คอยลิฟต์อยู่ด้วยกัน

“คุณบอกว่ามีทั้งลูกทั้งหลานแล้วใช่ไหม?” แฮตตี้พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ใช่ค่ะ” ลีนาตอบ

“คุณจะรู้สึกอย่างไร ถ้ามีใครสักคนมาพรากลูกหลานของคุณไป?”

“โอ...มิสซิส เบลล์คะ...” ลีนาจะร้องไห้เสียให้ได้ “ฉันไม่รู้หรอกค่ะ...”

“คุณรู้” เสียงนั้นสำทับขึ้น

“ก็คิดว่า...คงจะหนักหนามากทีเดียวค่ะสำหรับฉัน” ลีนาตอบอย่างระมัดระวังเต็มที่

ประตูลิฟต์เปิดออก ลีนาออกจะโล่งใจอยู่มากที่มีคนลงลิฟต์ไปด้วย มิสซิส เบลล์มิได้พูดอะไรต่อ คนขับรถค่อนข้างหนุ่มยืนรอข้างรถลิมูซีนสีเทา และช่วยประคองแฮตตี้เข้าไปนั่งในรถ

“ฉัน...ฉันหวังว่าลูกชายของคุณคงสบายดีนะคะ” ลีนาพูดขึ้นอีก

“ลูกชายของฉัน?” แฮตตี้ยิ้มออกมาทันที (“เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใบหน้านั้นดูสวยสดงดงามขึ้นอีกมาก” ลีนาเล่าให้ไมร์น่าฟัง) “อ๋อ...สบายดีค่ะ แข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์ เขาบอกฉันแล้วละ”

นายแพทย์เลนนาร์ดตามลงมาพร้อมด้วยกระเป๋าเสื้อผ้าของแฮตตี้ และเข้าไปนั่งในรถ ลีนามองตามรถลิมูซีนคันนั้นที่เคลื่อนเข้าสู่เส้นทางจราจรของแมนฮัตตัน

“แปลกจริงๆ” เธอปรารภกับตัวเอง ก็จริงอยู่หรอกคนเราถ้ามีความทุกข์มากๆ มันก็มีอาการแปลกๆ กันทั้งนั้น...บางทีไมร์น่าอาจจะพูดถูกก็ได้...ผู้หญิงคนนี้เป็นโรคเกลียดเด็ก...

ลีนา ลีนาเดินกลับขึ้นไปยังแผนกผดุงครรภ์ที่ประจำอยู่ส่ายศีรษะช้าๆ อย่างไม่เข้าใจในตัวแฮตตี้ เบลล์เลย

แฮตตี้นั่งนิ่งเงียบมาในรถกับนายแพทย์เลนนาร์ด ตรงไปยังอพาร์ตเมนท์ของเขาซึ่งอยู่บนถนนสาย 72 โชคดีอยู่ที่แฮรี่มิได้ชวนคุย ทันทีที่เขาเอื้อมมาตบหลังมือเธอเบาๆ แฮตตี้ก็รู้สึกจิตใจสงบขึ้น

เธอมิได้ฝันอีกเลยนับแต่วันที่ได้ให้กำเนิดทารกผู้นี้ แกได้ช่วยปิดประตูซ่อนเร้นความทรงจำและความเกลียดชังทั้งมวลที่หล่อเลี้ยงอยู่ภายในลง ศัตรูทั้งหลาย ผู้ทรยศหักหลังเธอทุกคนปราชัยไปหมดสิ้น ด้วยการให้กำเนิดลูกน้อยนั้น แฮตตี้หลับตาลง ไม่ปรารถนาจะเห็นตึกระฟ้าขนานอยู่สองข้างทางพื้นฟ้าที่กว้างไกลกระจ่างสดใสอยู่ในแสงอาทิตย์ ทะเลทรายที่อ้างว้างว่างเปล่า คอทต้อนวู๊ดต้นสูงใหญ่ที่ยืนอยู่รอบฝั่งแม่น้ำที่เต็มเปี่ยมด้วยสายน้ำที่ไหลมาจากทิวเขาที่แสนไกล เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง

ไม่มีเด็กน้อยคนไหนในโลกนี้...ทะเลทรายนั้นคือความตาย คำมั่นสัญญาแห่งฤดูใบไม้ผลิได้มลายหายไปในเปลวเพลิงอันร้อนแรง และคำมั่นสัญญาแห่งชีวิตก็ได้หายสูญไปจนหมดสิ้น...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel