ตอนที่ 2 “แปลกใหม่ แต่น่าสนใจดี”[3]
“ไปพูดแบบนั้นได้ไงเนี่ย”
“อ้าว ทำไมล่ะ? ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย จริงมั้ยครับท่านประธาน?”
เดชคุณหันไปถามกับกันต์ธีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม และอีกฝ่ายก็พยักหน้ารับเบา ๆ
“เห็นมั้ย? ท่านประธานยังไม่ว่าอะไรเลย แกจะโวยวายไปทำไม?”
“พอเลยคุณ ท่านประธานไม่ว่าอะไรก็จริง แต่ลูกเราอายหมดแล้วเนี่ย ดูสิหน้าแดงแจ๋แล้ว พอ ๆ เลิกพูดเรื่องนี้เลย” เห็นลูกสาวเขินอายมันก็น่ารักดี แต่วาดดาวก็กลัวลูกจะลำบากใจเกินไปจึงปรามสามีไว้
การสนทนาบนโต๊ะอาหารผ่านพ้นไปด้วยดีหลังจากนั้น และในที่สุดมันก็จบลงสักที ที่รักเดินหน้าหงอยคอตกออกไปส่งกันต์ธีที่หน้าประตูบ้านเหมือนคนที่มีเพียงร่างเปล่าแต่ไร้ซึ่งวิญญาณ
“คือ ท่านประธานคะ ฉันขอโทษแทนพ่อแม่ฉันด้วยนะคะถ้าท่านพูดอะไรให้คุณไม่พอใจหรือลำบากใจไป ท่านประธานอย่าเก็บอะไรไปคิดเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ” กันต์ธีพูดเสียงเรียบนิ่งด้วยใบหน้าเฉยเมยเหมือนเช่นเคยแล้วกล่าวต่อ
“ครอบครัวคุณเป็นกันเองดีนะ”
“ค่ะ พวกท่านก็เป็นแบบนี้แหละ...” ตอนที่พูดคำนี้ที่รักหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ เพราะเธอทั้งชอบทั้งดีใจที่ตัวเองมีครอบครัวแบบนี้
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ผมขอตัวก่อนแล้วกัน” เพราะตัวเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ และไม่รู้จะอยู่ที่นี่ต่อทำไม กันต์ธีจึงได้พูดขึ้นแบบนั้น
“ค่ะ! ขับรถดี ๆ --- เอ๊ย! เดินทางปลอดภัยนะคะ” ตัวกันต์ธีไม่ได้สนใจอะไร แต่ที่รักซึ่งมีชนักติดหลังเรื่องไปบ่นด่าอีกฝ่ายว่าขับรถแย่ไร้น้ำใจ หลังพูดออกไปแล้วรู้ตัวว่ามันอาจจะตีความเป็นอื่นได้จึงรีบแก้คำพร้อมยิ้มแหย
“อืม”
จากมุมมองของที่รักเธอมองว่ากันต์ธีมีวุฒิภาวะก็จริง แต่คงหนีไม่พ้นหนักใจที่อยู่ ๆ จับพลัดจับผลูมานั่งทานข้าวบ้านเธอแล้วโดนฝากฝังให้แบบนี้ หลังจากเห็นกันต์ธีเดินขึ้นรถไปเธอจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
แต่เธอไม่ได้รู้เลยว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นผิด เพราะความจริงแล้วกันต์ธีไม่ได้หนักใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันเขาดันผ่อนคลายด้วยซ้ำ เพราะปกติเวลาได้พูดคุยกับคนแปลกหน้าทีไรเขามักจะไม่เจอบรรยากาศที่ผ่อนคลายเป็นกันเองแบบนี้
กันต์ธีมองไปยังหน้าบ้านซึ่งยังมีที่รักยืนรอส่งอยู่ เขาเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะเคลื่อนตัวรถออกจากบริเวณไป โดยที่ในหัวก็ยังคงประทับใจเรื่องเมื่อครู่ไม่หายจนเผลอพลั้งปากพูดออกมา
“แปลกใหม่... แต่ก็นับว่าน่าสนใจดีเหมือนกัน”