ตอนที่ 5 [ พักค้างคืนในกุฏิร้าง ]
สืบศพสยบวิญญาณ
ตอนที่ 5
[พักค้างคืนในกุฏิร้าง]
เพลิงสะดุ้งตกใจกับภาพที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า เขาจ้องมองไปยังร่างชายชราที่แต่งกายชุดขาว ผมและหนวดเคราสีขาวยาวรุงรัง ยืนจ้องมองมาที่เขาสองคน เพลิงรู้ได้ทันทีว่า ชายชราที่กำลังอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้น่าจะเป็นผีเจ้าที่นั่นเอง เพลิงยกมือขึ้นไหว้แล้วกำลังจะเอ่ยกับผีเจ้าที่ แต่แล้วร่างนั้นก็หายวับไปทันที ขุนพลมองเห็นเพลิงกำลังจ้องมองใครอยู่ และยังทำท่าเหมือนจะพูดกับใครก็รู้สึกแปลกใจ
"มึงมองใครวะไอ้เพลิง ทำท่าเหมือนกำลังจะพูดกับใครอย่างนั้นแหละ" ขุนพลเอ่ยถามเพลิงด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
"เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก เข้าไปในกุฏิกันเถอะ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนนะ อาบน้ำเสร็จจะได้ออกไปหาอะไรกินกัน" เพลิงเอ่ยกับขุนพลแต่ไม่กล้าบอกว่าเขาเห็นอะไรเพราะเกรงว่าขุนพลจะกลัว
"เออ ๆ มึงรีบไปอาบเถอะ กูจะได้อาบบ้าง ร้อนมากเลย" ขุนพลเอ่ยกับเพลิงก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เตียงนอน เพลิงเดินเข้าไปอาบน้ำโดยทิ้งให้ขุนพลนั่งอยู่คนเดียว ขุนพลยกแขนขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เวลาหกโมงกว่าแล้ว ความมืดเริ่มโรยตัวเข้ามาแทนที่ บรรยากาศในวัดเริ่มเย็นยะเยือกลงเรื่อย ๆ พระเณรในวัดต่างพากันเดินเข้าไปในกุฏิของตัวเองเพื่อสวดมนต์ภาวนาและจำวัดกัน ขุนพลนั่งมองไปรอบ ๆ ห้อง ในใจก็คิดว่าทำไมวัดนี้มันช่างเงียบสงัดและวังเวงยิ่งนัก ขุนพลเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัว ด้วยหัวใจที่เต้นรัวและเริ่มมีอาการหวาดกลัวขึ้นมาทันที
"ไอ้เพลิง! ไอ้เพลิง! อาบเสร็จหรือยังวะ ทำไมอาบนานจัง" ขุนพลร้องเรียกเพลิงที่กำลังอาบน้ำอยู่เพื่อขับไล่ความเงียบ
"เออ ๆ เสร็จแล้ว มึงจะรีบปไหนวะ"
เพลิงเปิดประตูห้องน้ำออกมาพร้อมกับเสียงบ่นงึมงำในลำคอ
"ไปอาบได้แล้วจะได้ออกไปหาข้าวกินกัน จะได้กลับมานอน" เพลิงเอ่ยกับขุนพลก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาแต่งตัว ขุนพลลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบผ้าขาวม้ากับผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
หลังจากที่พวกเขาอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อยก็พากันเดินออกไปหน้าวัดเพื่อจะหาข้าวกินกัน
"ร้านอาหารมีหลายร้านเหมือนกันว่ะไอ้ขุน" เพลิงเอ่ยกับขุนพลก่อนจะเดินไปยังร้านอาหารร้านแรกที่มีลูกค้าหลายคนกำลังนั่งกินกันอยู่
"เอาอะไรพี่ อาหารตามสั่ง…ข้าวต้มหมู…ข้าวต้มปลา สั่งได้เลยจ้า" เด็กสาวในร้านรีบเดินออกมาต้อนรับแล้วเอ่ยถามพวกเขาสองคน
"ผมเอาข้าวต้มปลา ไอ้ขุนมึงเอาอะไร? เพลิงเอ่ยกับเด็กในร้านก่อนจะหันไปถามขุนพล
"ผมเอาเหมือนกันครับ" เพลิงบอกเด็กในร้านก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ
พวกเขานั่งรออยู่ครู่หนึ่งเด็กสาวก็ยกข้าวต้มมาให้ แล้วเดินกลับไป พวกเขาสองคนนั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความหิวและเหนื่อยล้าจากการเดินทาง
หลังจากกินข้าวอิ่มและจ่ายเงินเรียบร้อย พวกเขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้าน เพลิงยกแขนขึ้นดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก่อนจะหันไปเอ่ยกับขุนพลที่กำลังเดินตามมา
"แป๊บเดียวจะสองทุ่มแล้ว มึงจะกลับเลยหรือเปล่า หรือจะไปเดินเที่ยวก่อน"
"เดินเล่นชมแสงสีเมืองกรุงสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ให้อาหารย่อยก่อนค่อยกลับไปนอน" ขุนพลเอ่ยกับเพลิงแล้วยิ้ม ๆ
"เอาอย่างนั้นก็ได้" เพลิงเอ่ยกับขุนพลก่อนจะพากันเดินไปตามฟุตบาท
"เมืองกรุงแสงสีมันเยอะแยะสวยงามตระการตาจริง ๆ มิน่าคนบ้านนอกเขาถึงอยากมาอยู่กัน" ขุนพลเอ่ยกับเพลิง
"มันก็เป็นความชอบส่วนบุคคลเท่านั้น สำหรับกู ถ้าไม่ได้มาเรียนกูคงไม่มาหรอก เพราะกูชอบอยู่เงียบ ๆ มากกว่า มึงอย่าลืมนะว่าในกรุงเทพฯ ค่าครองชีพมันสูง แค่มึงก้าวขาออกจากห้อง ก็ต้องใช้เงินแล้ว ไม่เหมือนอยู่บ้านนอกที่ไปไหนมาไหนไม่ต้องเสียเงินสักบาทเดียว" เพลิงเอ่ยกับขุนพลแล้วหัวเราะลั่นอย่างชอบใจ
พวกเขาสองคนเดินเล่นชมแสงสีเมืองกรุงอย่างตื่นตาตื่นใจไปเรื่อย ๆ จนลืมดูเวลา เมื่อเพลิงนึกขึ้นมาได้ว่าพรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวไปหางานทำจึงหันไปเอ่ยกับขุนพล
"เฮ้ย! ไอ้ขุนเดินเล่นเพลินเลย กูว่ากลับกันเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปหางานทำอีก"
ขุนพลยกแขนขึ้นมาดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก่อนจะตอบเพลิง
"ตายห่า! เกือบสี่ทุ่มแล้วว่ะ กลับกันเถอะ จะได้ไปนอนพักผ่อน" ขุนพลเอ่ยกับเพลิงก่อนจะพากันเดินกลับวัด
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาถึง ในวัดตอนนี้มีแต่ความเงียบสงัดและวังเวง เพราะพระเณรต่างจำวัดกันหมดแล้ว ไฟที่เคยสว่างไสวบางจุด ก็ถูกปิดจนมืดสนิทเพื่อเป็นการประหยัดไฟ พวกเขาพากันเดินมาเรื่อย ๆ จนมาใกล้จะถึงกุฏิที่พวกเขาพักอยู่ มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ ที่หน้ากุฏิหลังอื่น ๆ ส่องมายังกุฏิที่พวกเขาพักอยู่
"มืดจังว่ะ พวกเราลืมเปิดไฟหน้ากุฏิไว้ด้วย" เพลิงเอ่ยกับขุนพลแล้วรีบเดินไป แต่แล้วสายตาของพวกเขาสองคนก็มองเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งกำลังยืนอยู่ในลักษณะหันข้างอยู่หน้ากุฏิเหมือนกำลังรอพวกเขาอยู่ ขุนพลเห็นอย่างนั้นจึงหันไปเอ่ยถามเพลิงด้วยความแปลกใจ
"ไอ้เพลิง มึงเห็นเหมือนกูไหมวะ มีพระมายืนรออยู่หน้ากุฏิที่เราพักอยู่ว่ะ"
"เออ…กูเห็นแล้ว รีบ ๆ เดินไปเถอะบางทีท่านอาจจะมีเรื่องคุยกับเราก็ได้ แต่ไม่เห็นเราก็เลยยืนรออยู่" เพลิงเอ่ยกับขุนพลก่อนจะรีบสาวเท้าก้าวเดินไปอย่างเร่งรีบ ขุนพลเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินตามไปติด ๆ ทั้งสองคนเดินมายังไม่ถึงที่พระรูปนั้นยืนอยู่ พวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจเพราะตอนนี้พระรูปนั้นได้หายไปแล้ว
" เฮ้ย! ไอ้เพลิง พระหายไปไหนแล้ว"
ขุนพลร้องถามเพลิงขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ ที่จู่ ๆ พระที่ยืนอยู่เมื่อครู่ก็หายไป
"เออ…หายไปไหนแล้ววะ หรือว่าท่านจะเดินกลับไปกุฏิท่านแล้ว" เพลิงเอ่ยกับขุนพลก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น แต่กลับไม่เจอพระรูปนั้นเลย
"ท่านเดินไปไหนเร็วจังวะ เมื่อกี้นี้กูก็มองดูอยู่ตลอด ถ้าเดินไปก็ต้องเห็นสิวะ"
ขุนพลเอ่ยกับเพลิงก่อนจะทำหน้างง ๆ ระคนกับอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
"ช่างเถอะ บางทีท่านอาจจะมาดูเรา
ว่านอนกันหรือยังก็ได้ไปนอนกันเถอะ" เพลิงเอ่ยกับขุนพลแล้วล้วงเอาลูกกุญแจออกมาไขเปิดประตู ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วเปิดไฟ ขุนพลเหลียวขวาแลซ้ายแล้วรีบเดินตามเข้าไปก่อนจะหันมาปิดประตู เพลิงเอาผ้าห่มออกมาจากเป้ แล้วเหลือบดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือก่อนจะเอ่ยกับขุนพล
"จะห้าทุ่มแล้วนอนเถอะ"
"เออๆ นอนเถอะง่วงเหมือนกัน" ขุนพลเอ่ยกับเพลิงก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเสื่อผืนเก่า ๆ ข้าง ๆเพลิง
เพลิงนอนหลับไปแล้ว ส่วนขุนพลนั้นพยายามข่มตานอนเท่าไหร่ก็ยังนอนไม่หลับ เพราะเขายังข้องใจและแปลกใจเรื่องที่พระรูปนั้นหายไปไหน ขุนพลหันไปมองเพลิงก็เห็นว่าเขานอนหลับสนิทไปแล้ว ขุนพลนอนคิดวกไปวนมา ด้วยความง่วงบวกกับอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางจึงผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
พวกเขาสองคนนอนหลับไปแล้ว บรรยากาศยามดึก เริ่มเย็นยะเยือกและเงียบสงัดลงเรื่อย ๆ ขณะที่พวกเขากำลังหลับสนิทอยู่นั้น ขุนพลก็ต้องตกใจสะดุ้งตื่น เมื่อได้ยินเสียงดังเหมือนมีคนอยู่ในห้องน้ำ ขุนพลหันไปมองเพลิงก็ถึงกับสะดุ้งตกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นเพลิงยังคงนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ขุนพลคิดในใจว่าแล้วใครละที่อยู่ในห้องน้ำ ในเมื่อเพลิงก็ยังนอนอยู่นี่ เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงรีบปลุกเพลิงทันที
"ไอ้เพลิง!ไอ้เพลิง! ตื่น ตื่นเร็ว!"
เพลิงตกใจสะดุ้งตื่นลืมตางัวเงียขึ้นมามองขุนพล ก่อนจะเอ่ยถามขุนพลด้วยน้ำเสียงอู้อี้
"มีอะไรวะไอ้ขุน ปลุกกูทำไม?"
"กูได้ยินเสียงคนอยู่ในห้องน้ำ"
"อะไรนะ มึงหูฝาดหรือเปล่า เราอยู่กันแค่สองคน ใครจะไปอยู่ในห้องน้ำ กูว่ามึงกลัวจนเพี้ยนไปแล้ว รีบนอนเถอะ" เพลิงเอ่ยกับขุนพลด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนไม่เชื่อที่ขุนพลบอกแล้วบอกให้นอนต่อ
"กูได้ยินจริง ๆ เสียงราดน้ำด้วย มึงไม่เชื่อไปดูสิ" ขุนพลเอ่ยกับเพลิงด้วยสีหน้าตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
"เฮ้อ! มึงนี่กลัวไม่เข้าท่า มาตามกูมากูจะพาไปดู" เพลิงเอ่ยกับขุนพลก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินนำหน้าไป เพลิงเดินไปถึงก็เปิดประตูห้องน้ำแล้วเปิดสวิตช์ไฟ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับขุนพล
"ไหนละคน ที่มึงว่าอยู่ในห้องน้ำ ไม่เห็นมีอะไรเลย กูว่ามึงกลัวจนเก็บไปนอนฝันแน่เลย ปะ ไปนอนต่อดีกว่า" เพลิงเอ่ยกับขุนพลก่อนจะปิดสวิตช์ไฟแล้วเดินกลับไปล้มตัวลงนอน
"แต่กูได้ยินจริง ๆ นะโว้ย กูไม่ได้โกหก กูยังไม่ได้นอนเลยจะฝันได้ไง มึงไม่เชื่อก็ตามใจ" ขุนพลเอ่ยกับเพลิงแล้วเหลียวมองไปยังห้องน้ำก่อนจะล้มตัวลงนอน ทั้ง ๆ ที่ในใจยังไม่เลิกสงสัยเรื่องเสียงประหลาดในห้องน้ำ เพลิงแกล้งนอนหลับตาเพื่อให้ขุนพลคิดว่าเขานอนหลับแต่ในใจเขากำลังคิดว่าเสียงที่ขุนพลได้ยินนั้นต้องเป็นเสียงวิญญาณของใครสักคนอาจจะเป็นวิญญาณของพระรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ แต่เขาไม่อยากบอกความจริงกับขุนพลเพราะเกรงว่าเขาจะกลัวจนไม่กล้า
นอนในกุฏิหลังนี้ จึงได้แต่แกล้งทำเป็นนอนหลับ และคิดว่าคืนนี้เขาจะต้องเจอกับวิญญาณดวงนี้อีกแน่นอน เพลิงนอนคิดวกไปวนมาจนผล็อยหลับไป ส่วนขุนพลนั้นยังนอนไม่หลับเพราะความกลัว และเขามั่นใจว่าเขาไม่ได้หูฝาด และเชื่อว่าในกุฏิร้างหลังนี้จะต้องมีผีหรือวิญญาณคนตายแน่นอน ขุนพลพลิกตัวนอนหันหน้าไปหาเตียงนอนของพระ แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจเมื่อสายตาของเขามองเห็นร่างของพระภิกษุนอนอยู่บนเตียงในลักษณะหันหลังให้เขา ขุนพลเนื้อตัวสั่นเทาหันไปเขย่าตัวเพลิงที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ เพลิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถามขุนพลอย่างคนอารมณ์เสีย
"อะไรวะไอ้ขุน ปลุกกูทำไม มีอะไรอีกวะ"
ขุนพลกำลังจะอ้าปากจะบอกเพลิงว่าเขาเห็นอะไร แต่พอหันกลับไปมองที่เตียงอีกครั้งก็ไม่เห็นพระนอนอยู่บนเตียงเสียแล้ว