ตอนที่ : 10 เสียหายแล้วต้องแต่งงาน
4
เสียหายแล้วต้องแต่งงาน
ทัพพ์ถึงกับสะดุ้งกับเสียงตะโกนอยู่ด้านนอก เขาลืมตาโพลงขึ้น ขณะที่จารวีเองก็งัวเงียขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมอกอุ่นของเขา
“เฮ้ย !” หญิงสาวผลุนผลันลุกขึ้นนั่งอย่างตกใจ เอามือสำรวจร่างกายตัวเองก็พบว่าเสื้อผ้ายังอยู่ครบ
“คุณดิ้นมากอดผมเองนะ โทษผมไม่ได้” ทัพพ์ยันตัวลุกขึ้นนั่งบ้าง ก่อนจะสะดุ้งกับเสียงเคาะประตูห้องดัง ๆ
ก๊อก ! ก๊อก ! ก๊อก !
“ยัยวีอยู่ไหม !” นางสมรถือวิสาสะขึ้นมาบนบ้าน แล้วเคาะประตูเรียกดัง ๆ
“แม่ !” คนเป็นลูกสาวหน้าซีดเป็นไก่ต้ม หันไปมองทัพพ์อย่างตกใจ ซึ่งเขาเองก็มีสีหน้าไม่ได้ต่างไปจากตัวเธอ
“ยัยวี ! ออกมานะ”
“เอาไงดีคุณ” หญิงสาวหันไปมองเขาอย่างขอความเห็น ทัพพ์ทำเพียงแค่ถอนหายใจแล้วลุกขึ้นจากเตียงนอน
“คุณทัพพ์มาใส่เสื้อก่อนสิ” จารวีบอกช้าเกินไป เพราะเขาเดินออกจากห้องไปเปิดประตูให้มารดาเธอเสียแล้ว หญิงสาววิ่งตามหลังเขาไปในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง
“คุณทัพพ์ ยัยวี !” นางสมรแทบล้มจับกับสภาพของทั้งคู่
“แม่มันไม่ได้เป็นอย่างที่แม่คิดนะคะ” จารวีรีบบอกมารดา
“มันจะไม่ใช่ได้ยังไง คุณทัพพ์นี่คุณกล้าทำแบบนี้กับลูกสาวน้าได้ยังไง” หญิงสูงวัยหันไปหาคนที่ยืนกอดอกมองสองแม่ลูกอยู่เงียบ ๆ
“ทำอะไรครับ ผมไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย”
“ออกมาในสภาพเสื้อไม่ใส่แบบนี้นี่นะ บอกว่าไม่ได้ทำอะไร”
ทัพพ์ก้มลงมองตัวเอง แล้วหันไปมองจารวีที่ทำหน้าตาเลิ่กลั่กอยู่ด้านข้าง สภาพมันใช่อย่างที่นางสมรพูดเสียด้วยสิ
“คุณจารวี คุณช่วยพูดกับแม่คุณหน่อย” ชายหนุ่มหันทางจารวี
“แม่เราไม่ได้มีอะไรกันจริง ๆ นะคะ” นอกจากย้ำคำพูดประโยคนี้แล้วจารวีก็ไม่รู้จะอธิบายคำพูดไหนได้อีกในตอนนี้
“งั้นเหรอยัยวี” นางสมรเค้นเสียงแข็งออกมา ใช้มือแหวกทั้งคู่เข้าไปในห้องนอน
จารวีหันไปมองหน้าของทัพพ์แล้วผายมือออก เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงกับสภาพห้องนอนของเขา
“ผมไม่รู้” ทัพพ์บอกแล้วก็เดินเข้าห้องนอนตามหลังนางสมรไป
“แบบนี้ยังจะบอกว่าไม่มีอะไรอีกเหรอยัยวี อย่าบอกว่านอนกันเฉย ๆ อมเทวดามาพูดแม่ก็ไม่เชื่อ” นางสมรชี้ที่เตียงนอน ซึ่งมีหลักฐานการนอนด้วยกันของทั้งคู่อยู่
“แต่เรานอนเฉย ๆ จริง ๆ นะแม่ ไม่ได้ทำอะไรเลยใช่ไหมคุณทัพพ์” จารวีบอกมารดาแล้วหันไปทางเจ้าของห้อง
“ใช่ครับ” ทัพพ์ตอบรับคนถาม
“หยุดเลยยัยวี เรื่องนี้แม่จะต้องคุยกับเราทีหลัง” พูดแล้วนางสมรก็หันมาทางทัพพ์ซึ่งยืนหน้าบึ้งอยู่ตรงประตู
“คุณต้องรับผิดชอบลูกสาวของน้านะคะคุณทัพพ์ จะมาทำเหมือนยัยวีเป็นลูกไม่มีแม่แบบนี้ไม่ได้” เวลานางสมรเอาจริงขึ้นมาก็เสียงเข้มจนน่ากลัวเหมือนกัน
“ผมไม่ได้ทำอะไรลูกสาวคุณน้าเลยนะครับ จะให้รับผิดชอบได้ยังไง ลูกสาวคุณน้าก็บอกเองว่าเรานอนกันเฉย ๆ นี่ครับ ทำไมถึงไม่เชื่อลูกสาวตัวเองล่ะครับ” เป็นคำพูดที่ขัดแย้งต่อหลักฐานตรงหน้า แม้แต่ตัวคนพูดเองก็ยังรู้สึกแปลก ๆ อยู่ในใจ
“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ยังกล้าจะพูดแบบนี้อีกเหรอคะ ยังไงคุณทัพพ์ก็ต้องแต่งงานกับยายวีเพื่อรับผิดชอบค่ะ” นางสมรปิดหูปิดตาไม่รับฟังเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น
“วีไม่แต่งค่ะ” จารวีโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด รู้สึกเคืองมารดาที่ไม่ยอมเชื่อใจเธอเลย
นั่นทำให้คิ้วหนาเข้มของทัพพ์เลิกสูงขึ้น ผู้หญิงคนนี้มีสิทธิ์อะไรมาปฏิเสธเขาออกนอกหน้าแบบนี้
“ผมก็ไม่อยากแต่งครับ” เขายักไหล่เป็นเชิงปฏิเสธเช่นกัน
“เห็นไหมแม่ ไม่มีใครอยากแต่งงานทั้งนั้น แม่ไม่ต้องมาบังคับเลยนะคะวีไม่ยอมค่ะ”
“หุบปากยัยวี เราเสียหายไปแล้วนะจะมาพูดแบบนี้ไม่ได้”
“เสียหายตรงไหน ยังไม่ได้เสียหายนะแม่”
“อย่ามาโกหก หลักฐานก็เห็นคาตา นอนเตียงเดียวกันผ้าห่มผืนเดียวกันแบบนี้ มันจะไปเหลือรอดรึ”
“โธ่แม่ ทำไมไม่เชื่อวีบ้าง” จารวีเปลี่ยนมาใช้ไม้อ่อนดูบ้าง แต่ดูเหมือนมารดาของเธอจะไม่ได้สนใจไยดีเลยแม้แต่น้อย
“คุณทัพพ์น้าจะขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะคะ คุณทัพพ์ต้องแต่งงานกับยัยวีเท่านั้น ไม่งั้นน้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย ไปยัยวีกลับบ้าน” นางสมรพูดจบก็คว้าข้อมือของลูกสาวให้เดินลงบันไดบ้านไป
ปล่อยให้ทัพพ์ยืนถอนหายใจดัง ๆ อยู่ตามลำพัง กำลังคิดว่าใครหน้าไหนมันกล้าพานางสมรมาเหยียบเกาะโขดโดยไม่รายงานเขา เห็นทีต้องลงโทษเสียให้หนัก
จารวีไม่คิดว่าเรื่องตนเองติดเกาะโขดกับทัพพ์นั้น จะถูกกระจายข่าวออกไปจนคนรู้เรื่องไปทั่วทั้งจังหวัด นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจริง ๆ มารดาของเธอยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนในเรื่องนี้ บังคับให้ทัพพ์รับผิดชอบด้วยการแต่งงานเท่านั้น แม้จารวีจะบอกว่าเธอกับเขาไม่ได้มีอะไรกันจริง ๆ แต่ด้วยข่าวที่แพร่ออกไปเป็นวงกว้างในตอนนี้ ทำให้นางสมรต้องการรักษาหน้าตาของครอบครัวเอาไว้ รีบพาลูกสาวคนเล็กไปทวงความรับผิดชอบจากทัพพ์ถึงที่บ้าน หลังจากครั้งแรกบนเกาะโขดนั้นทัพพ์ทำเฉยแบบไม่ใส่ใจกันเลย
“งามหน้ากันไหมคะคราวนี้ฉาวโฉ่ไปทั้งจังหวัดแล้ว ยังไงคุณทัพพ์ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบนะคะ” นางสมรเปิดอกคุยกับสองแม่ลูกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด