ตอนที่ 1
“Cheer!!”
“คัมไป!!”
“เอ้าชน!!”
“หมดแก้ว!!”
เสียงของโลหะกระทบกันดังเคร้งคร้างแข่งกับเสียงเพลงจังหวะสนุกสนาน ดนตรีหนักแน่นคุณภาพสูง สลับสรรพเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเป็นการดึงดูด ชักชวนให้เหล่าผีเสื้อราตรีขาแดนซ์ทั้งหลายได้ออกมา ยืดเส้นยืดสาย ยักย้ายส่ายสะโพกกันอย่างเมามันส์บนฟลอร์ขนาดใหญ่ ด้านข้างก็มีดีเจชื่อดังที่เป็นที่รู้จักในแวดวงของนักเที่ยวประจำการอยู่ เพื่อคอยมอบความบันเทิงให้ลูกค้าท่ามกลางแสงไฟมากสีในระบบเลเซอร์ที่ออกแบบได้อย่างตื่นตาตื่นใจกันเต็มที่ บรรยากาศยามค่ำคืนในเวลานี้ ยิ่งดึกคนเข้ามาใช้บริการยิ่งเยอะและคึกคักมากเป็นพิเศษ เนื่องด้วยในคืนนี้คือค่ำคืนของวันศุกร์สิ้นเดือน สถานเริงรมย์แห่งนี้จึงอุ่นหนาฝาคั่งเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติคละเคล้ากันไป และเพราะอย่างนี้จึงต้องระมัดระวังการกระทบกระทั่งเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง หรือเต้น
“ถ้าพวกพี่ทั้งหมดเกิดเมาหัวทิ่มหัวตำกันขึ้นมายกแก๊งค์ ต้องรบกวนน้องยิหวาช่วยดูแลพวกเราด้วยนะจ๊ะ ออกตัวไว้ก่อนที่สติจะไม่หลงเหลือ เพราะเราเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ยอมดื่มแอลกอฮอล์ งานหนักล่ะทีนี้ จากประสบการณ์ตรง พี่ขอบอกเลยว่าแต่ละคนเวลาเมาเนี่ยไม่ค่อยเบาเลยแหละ รวมถึงตัวพี่เองด้วย อิอิ ยิ่งพรุ่งนี้เป็นวันหยุด ไม่ต้องตื่นไปทำงานด้วยแล้ว จัดเต็มกันน่าดู” สาวร่างอวบ ใบหน้าสวยหวานเบียดกระแซะสีข้างรุ่นน้องสาววัยละอ่อน ขวัญใจพี่ๆ ที่เป็นนักศึกษาฝึกงานเพียงคนเดียวของแผนก พลางโยกตัวพลิ้วไหวไปตามจังหวะเพลงสุดมันส์เมื่ออารมณ์อยากวาดลวดลายเริ่มมา เพราะน้ำเมาที่ดื่มเข้าไปกำลังเรียกเลือดลมให้พลุ่งพล่าน
ยิหวายิ้มรับ โดยส่วนตัวแล้วเธอไม่ใช่สายเที่ยวยามราตรี และไม่ใช่สายดื่มตัวยง แต่ก็ไม่ได้เรียบร้อยจ๋าเหมือนผ้าพับไว้ขนาดนั้น เธอก็อายุยี่สิบเอ็ด แถมยังรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้วนะ คือเที่ยวได้ ดื่มได้แต่ไม่ได้บ่อยนัก และครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เข้าผับมากับพวกพี่ๆ เป็นความโชคดีของเธอที่พี่ๆในแผนกให้ความเป็นกันเองตั้งแต่วันแรกที่ได้เข้ามาฝึกงานที่ธนะทรัพย์ หากถูกชักชวนไปไหนและไม่ติดอะไร เธอก็ตอบตกลงที่จะไปด้วยแทบทุกครั้งเลยก็ว่าได้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีฉันท์พี่น้องให้แนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก ค่าใช้จ่ายก็ไม่เคยต้องควัก จากกระเป๋าสตางค์เพื่อแชร์ค่าอาหารหรือค่าเครื่องดื่มเองเลย พี่ๆจัดการออกให้เสร็จสรรพ ของฟรีที่ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวจ่ายเองก็ชอบอยู่หรอก แต่ทุกครั้งก็อดที่จะเกรงใจไม่ได้ปฏิเสธก็ถูกดุอยู่เรื่อยว่าแค่นี้มันน้อยนิดมาก ใช้อย่างอื่นยังเยอะกว่าจ่ายให้ยิหวาอีก ทำให้ซึ้งใจเข้า ไปใหญ่เลยทีนี้
“ก็น้องยิหวานางรู้ทันยังไงล่ะว่าพวกเราต้องจัดหนักจัดเต็มกัน แบบไม่แคร์เงินในบัญชีที่เพิ่งได้รับกันมาอยู่แล้วเลยไม่อยากดื่ม เพราะเดี๋ยวจะไม่มีใครช่วยเก็บกวาดพวกเราทั้งหมดกลับไป ตายรังของใครของมัน ใช่ไหมคะน้องสาว” ปากกระจับได้รูปฉีกยิ้ม หวานหยด สายตาชม้อยชม้ายคอยสอดส่องบุรุษหนุ่มหน้ามนรอบตัวอย่างไม่ปกปิดความเป็นตัวตนที่แท้จริง นิ้วเรียวยาวกรีดกรายผู้หญิงแท้ๆ ยังต้องอาย
“ก็อย่าดื่มกันให้หนักมากจนกลายเป็นภาระน้องนุ่งสิยะ พอดีๆน่ะทำกันได้ไหม พอเห็นว่าพรุ่งนี้เป็นวันหยุดเข้าหน่อย จัดเต็มกันเลยนะพวกแก งานการเนี่ยไม่เห็นจะสู้ไม่ถอยเท่าพวกเรื่องเหล้าเบียร์เท่าไหร่เลย” บ่น แต่ทว่าคนใต้อาณัติทั้งหลายก็ยิ้มรับและยังคงดื่มกินกันอย่างปกติ ส่วนคนเป็นหัวหน้าก็ได้แต่มองค้อนพอเป็นพิธีและ เลิกบ่นไปในที่สุด
“ไม่เป็นไรค่ะพี่สมร เอาเป็นว่าถ้าใครมีท่าทางที่เริ่มจะไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวยิหวาจะสะกิดเตือนเองค่ะ เพราะลำพังแค่ยิหวาคนเดียวคงไม่สามารถพาทุกคนกลับบ้านได้พร้อมกันทั้งหมดแน่ๆ ถ้าพี่ๆจะเมาพร้อมกันทีเดียวหลายๆคนอย่างที่ขู่” หญิงสาวยิ้มขำเมื่อพูดจบ ต่อให้สตรองแค่ไหนก็ ไม่ไหว อันที่จริงเธอจะไม่มาก็ได้ เพราะไม่มีใครบังคับ หรือข่มขู่ว่าหากไม่มาด้วยกันจะไม่ให้ผ่านการฝึกงาน จะมีก็แต่คะยั้นคะยอให้มาสนุกด้วยกันแบบจริงจัง
“ดีเลยครับยิหวาน้องรัก พอพี่เริ่มกรึ่มๆ มึนๆ พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่องแล้วนี่ น้องช่วยรีบสะกิดพี่แรงๆเลยนะจ๊ะ เวลากลับบ้านพี่จะได้ ไม่โดนนางยักษ์มันด่าเอา อย่าหาว่าพี่แอบนินทาเมียลับหลังเลยนะ บอกตรงๆทุกวันนี้คิดว่ามันเป็นคุณแม่ผู้ให้กำเนิดอีกคนแทนตำแหน่ง คุณเมียไปแล้ว คนอะไรดุเป็นบ้าเลย นี่ดีนะที่ขออนุญาตมันเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นคืนนี้มีหวังโดนไล่ออกไปนอนนอกบ้านกับหมาแน่นอน ยังไม่หมดแค่นี้นะ มีเคอร์ฟิวว่าห้ามกลับถึงบ้านเกินเวลาที่ กำหมดไว้อีกด้วย”
ยิหวาอมยิ้ม พยักหน้าหงึกหงัก รับฟังรุ่นพี่หนุ่มเพียงอย่างเดียว แอลกอฮอล์เข้าปากแล้วก็เริ่มพูดเยอะกว่าเดิม เขาถึงว่าของมึนเมาดื่มมากๆแล้วจะเปลี่ยนนิสัย พลางคิดขำๆในใจว่า พอกลับบ้านไปแล้วถูกเมียด่า พี่เขาจะกล้าสวน กล้าต่อว่าเมียไหมนะ แต่ถ้าให้คาดเดาคิดว่าต้องไม่กล้าอย่างแน่นอน เพราะเท่าที่สังเกตจากการกล่าวถึงแล้วพี่เอกดูจะกลัวเมียมากเหมือนกัน ลับหลังก็อาจจะแค่เป็นอย่างที่เห็น กลับไปแล้วอาจจะคนละคน และถ้าต่อไปในอนาคตเธอมีคนรักเข้าสักวัน เขาจะเอาเธอมาพูดมาระบายให้คนนอกรับฟังเหมือนอย่างกรณี้นี้ไหมนะ
“พี่ก้อยด่าอย่างเดียวเองเหรอครับพี่เอก พูดให้หมดสิครับว่าต่อจาก ด่าแล้วโดนกระทืบด้วย นี่ถ้าวันไหนพี่เอกเขาใส่แมสปิดปากเข้าออฟฟิศนี่ขอให้รู้เอาไว้เลยนะยิหวาว่าพี่ชายของเราเจอดีเข้าแล้ว ไม่ได้ป่วยไข้ อะไรหรอก ผัวเมียคู่นี้เขาออกแนวฮาร์ดคอกันมากจนพี่แอบกลัวเลย อ่อ ที่สำคัญพี่เขากลัวเมียมาก ลับหลังก็ทำกล้าไปงั้นแหละน้องเอ๊ย” จบประโยคทุกคนก็ฮาครืน ยกเว้นคนที่เมียใหญ่กว่าหัวเราะไม่ออก ได้แต่ทำหน้าบึ้ง
“เออ ล้อกูมากระวังว่าที่เมียในอนาคตของมึงให้ดีเถอะมึงน่ะ เจอยิ่งกว่ากูระวังจะหัวเราะไม่ออกนะครับน้อง ของกูนี่เหมือนได้แม่มาอีกคนหนึ่ง ของมึงนี่คงได้แบบแม่คูณสองเลย เอาแบบ บ่นเช้า บ่นเย็น บ่นก่อนนอน สาธุ”
“โห ถึงขั้นสาธุเลยเหรอครับพี่”
“อยู่ในวงเหล้านี่ปากเก่งกันจังนะ เรื่องผัวๆเมียๆเนี่ย”
“นิดหน่อยเองครับพี่สมร”
ดวงตากลมโตเปล่งประกายยามต้องแสงไฟสลัว ริมฝีปากอวบอิ่มคลี่ยิ้มและหัวเราะอยู่เสมอ เมื่อได้รับฟังเรื่องตลกขบขันที่ทุกคนขยัน นำมาเล่าสู่กันฟังไม่ได้หยุดหย่อน เธอคิดว่าตัวเองนั้นช่างโชคดีที่ได้ฝึกงานกับทีมนี้ บริษัทชั้นนำที่ใครๆต่างก็อยากให้ตัวเองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง แต่ในความโชคดีนั้นก็มีบางอย่างที่ทำให้เธอยังคงเป็นกังวลและไม่สามารถที่จะเอ่ยปากบอกใครได้นอกจากเพื่อนสนิท มันคงจะดีกว่านี้หากสิ่งที่ต้องพบเจอในแต่ละวันไม่รบกวนจิตใจของเธอ ให้คอยคิดฟุ้งซ่านจนสมาธิหดหายอยู่เป็นประจำ
......
“อุ๊ย!”
เสียงหวานร้องอุทานเพราะความตกใจ กลุ่มแก๊งค์ที่มาด้วยกันเลยพากันชะงักตาม รอยยิ้มสว่างไสวพลันจางหายไปจากใบหน้า เมื่ออยู่ๆ ท่อนแขนของตนเองก็ถูกมือดีที่ไหนไม่รู้มากระชากจากทางด้านหลังอย่างแรงจนเสียหลักการทรงตัว ส่งผลให้ร่างบอบบางเซถลามาปะทะเข้ากับ แผงอกหนั่นแน่นของคนที่กระชากตนเอง ขนาดว่าระวังตัวเป็นพิเศษแล้วแต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ยังเกิดขึ้นได้ ความโมโหจึงแล่นขึ้นมา เป็นริ้วๆ เพราะมั่นใจเกินร้อยว่าตนเองไม่ได้ไปทำอะไรใครก่อนแน่นอน ตั้งแต่เดินทางมาถึงที่นี่ก็ไม่ได้ปลีกตัวแยกออกจากกลุ่มแก๊งค์เลยสักครั้ง ดวงตากลมโตคู่สวยจึงวาววับทันที สองมือกำหมัดแน่น อย่างเตรียมพร้อมที่จะเอาเรื่องเต็มที่
“นี่!!!” ปากอวบอิ่มสีสวยที่เตรียมจะพ่นคำต่อว่าสาดใส่ชะงักลง พลันดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็เบิกโพรงขึ้น เมื่อหันมาเห็นใบหน้าของคนที่กระชากเธออย่างอุกอาจ ก่อนจะปรับเป็นปกติในเวลาต่อมา แม้แสงไฟมันจะสลัวตามแสงเลเซอร์ที่เปลี่ยนอยู่ตลอดแต่คนๆนี้ไม่มีคนไหนที่มาด้วยกันไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขา โลกมันจะกลมมากเกินไปแล้ว สถานบันเทิงในกรุงเทพมีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมจะต้องมาเจอกันที่นี่ ด้วยก็ไม่รู้
“ท่านประธาน”
เสียงเรียกของทุกคนไม่ได้ทำให้คนที่ถูกกล่าวขานสนใจ เพราะคนที่เขาจดจ้องและให้ความสนใจนั้นมีแต่เพียงหนึ่งเดียว และเมื่อเจ้านายมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแก้วในมือของทุกคนก็ถูกวางลงบนโต๊ะโดยพร้อมเพียงกัน พอมือว่างแล้วต่างรีบยกมือทำความเคารพกัน ถ้วนหน้า ยกเว้นยิหวาเพียงคนเดียว ไม่ใช่ว่าหยิ่งหรือจะลองดีแต่ถูกจับแขนไว้แน่นแบบนี้จึงไหว้ไม่ได้
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่ถูกเรียกว่าท่านประธาน คาดคะเนจากสายตาต้องมีความสูงไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร กำลังยืนทำหน้าถมึงทึงราวกับโกรธใครมาสักสิบชาติ แต่ไม่ว่าจะแสดงสีหน้าเช่นไรก็ไม่อาจกลบรัศมีความหล่อเหลาที่เปล่งออร่าอยู่ตลอดเวลาได้ และเขาคนนี้ก็คือ นายกันตพัฒน์ ธนะทรัพย์ทวีสุข ท่านประธานใหญ่ แห่งธนะทรัพย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาริมทรัพย์อันดับต้นๆของประเทศที่เธอมีโอกาสได้เข้ามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆก่อนเรียนจบอยู่ในขณะนี้
“มาที่นี่ทำไมยิหวา” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยดูไม่เป็นมิตรกับใครในยามนี้ สายตาคมกริบ จ้องเขม็งอยู่ที่ดวงหน้าเรียวสวยอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบจากคนตัวเล็ก ที่ในตอนนี้เชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย ริมฝีปากอวบอิ่มน่าสัมผัสขบเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงอย่างถือดี อาการนี้เห็นแล้วชวนมันเขี้ยวระคนโมโห มากกว่าเดิมไม่น้อยเลยทีเดียว เลยเผลอตัวบีบแขนเรียวเล็กที่กอบกุมเอาไว้ให้แน่นยิ่งขึ้นไปอีก
มันน่านัก! เห็นแม่ตัวเล็กยืนหัวเราะเริงร่า ชนแก้วน้ำส้มอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงเพลงน่ารำคาญและนักเที่ยวในยามราตรีทั้งหลายจากบนชั้นสามขณะที่นั่งคุยกับเพื่อนกับฝูงอยู่ นาทีนั้นไม่ได้สนใจว่าตนเองกำลังพูดหรือทำอะไรอยู่เพราะใจมันดิ่งลงมาชั้นล่างตั้งแต่เห็นแม่สาวน้อยผู้นี้แล้ว
“เอ่อคือว่าพวกเราชวนกันมา...” สาวใหญ่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สุด ณ ที่นี้กำลังจะตอบคำถามแทนรุ่นน้องสาวที่ถูกคาดคั้นจากผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดต่อหน้าที่การงานชะงักไปเมื่อถูกสายตาคมดุจ้องเขม็งราวกับตนเองกระทำความผิดร้ายแรงอย่างไรอย่างนั้น จึงจำต้องกลืนคำพูดที่เหลืออยู่พร้อมกับน้ำลายหนืดๆลงคออย่างยากเย็น ต้องเก็บปากเก็บคำเอาไว้ชั่วคราว เมื่อรู้ตัวว่าเวลานี้ไม่ได้รับสิทธิ์ให้พูดก่อนได้รับอนุญาตจากเจ้านายหนุ่มรูปงามที่ในขณะนี้อารมณ์ไม่ดีอย่างรูปลักษณ์เสียแล้ว งานนี้ยิหวาจะต้องเป็นผู้ที่เผชิญหน้าด้วยตัวเองแล้ว เพราะเธอเองไม่สามารถยื่นมือเข้าไปก้าวก่ายได้
เมื่อคนที่ดูจะมีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุดในการเจรจากับบุคคลที่ ก้าวเท้าเข้ามาใหม่ยังไม่อาจกระทำได้ แล้วคนอื่นๆที่เหลือนั้นย่อมไม่ต้องพูดถึง ต่างยืนกุมมือประสานกันเอาไว้ด้านหน้าอย่างสงบนิ่ง พลางมองหน้ากันตาปริบๆ อนิจจาความสนุกสนานจำต้องถูกพับเก็บยัดใส่กระเป๋าไปชั่วคราว เจอเจ้านายในสถานที่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่การกระทำต่างหากที่ไม่ปกติ
“ผมถามคนที่ชื่อยิหวาแค่คนเดียวเท่านั้น ถ้าใครไม่ใช่ยิหวา ก็ไม่ต้องหวังดีตอบแทน คำพูดง่ายๆของผมหวังว่าพวกคุณทุกคนคงจะเข้าใจได้ไม่ยากจนเกินไปนะ” เสียงเข้มแฝงไปด้วยความดุดันและอำนาจที่เหนือกว่าเอ่ยเตือนก่อนที่จะมีใครคนไหนพูดสอดแทรกขึ้นมาอีก พลางกวาดสายตาคมกริบมองรอบโต๊ะกลมๆที่มีความสูงต่ำกว่าอกตนเองที่มีมนุษย์ชาย หญิงรายล้อมกันอยู่ประมาณหกถึงเจ็ดคน เขาจะไม่เดินเข้ามาเลยหากที่ตรงนี้ไม่มีแม่สาวน้อยที่ในขณะนี้กำลังทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจรวมอยู่ด้วย ถ้าจะกล่าวโทษใครสักคนที่ทำให้บรรยากาศมันอึดอัดก็ ต้องเป็นคนที่ริอาจชวนยิหวามา
“อยากให้ตอบดิฉันก็จะตอบให้เคลียร์เอง ไม่เห็นจะต้องไปขู่ พวกพี่ๆเขาเลย คนอะไรไม่มีเหตุผลเอาซะเลย” ยิหวาพูดเสียงแข็งพอๆ กับสายตาในขณะนี้
ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจะต้องใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่พวกพี่ๆ เขาด้วย กับอีแค่หวังดีอยากจะตอบคำถามแทนเธอก็เท่านั้น และเธอเองก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนว่าการที่เด็กฝึกงานมาเที่ยวเล่นหลัง เลิกงานแล้ว คนที่เป็นถึงเจ้านาย เจ้าของบริษัทจะเดือดเนื้อร้อนใจ จนออกอาการถึงปานนี้ พ่อก็ไม่ใช่ แฟนก็ไม่ใช่ นับวันยิ่งทำตัวราวกับเป็นผู้ปกครอง
“งั้นก็รีบตอบมาสิว่าเธอมาทำอะไรที่นี่ หรือว่ามีใครในที่นี้ บีบบังคับให้มาด้วยโดยที่เธอไม่เต็มใจ” เสียงเข้มห้วนจัดถามย้ำถึงคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบออกจากปากจิ้มลิ้มที่เม้มแน่นเป็นเส้นตรงอย่างใจเย็นกว่าเดิม และมองไปยังกลุ่มคนที่ยืนกันนิ่งอย่างพิจารณาถึงความเป็นไปได้ว่าอาจมีหนึ่งในนี้บังคับให้เด็กฝึกงานมาด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นเห็นทีจะต้องจัดการให้หลาบจำ เพื่อที่คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่กล้าบังคับอีก หรือถ้ามีปัญหามากนักก็จะได้ไล่ออกให้สิ้นซาก ใครจะมองว่าไร้เหตุผลก็ช่างหัวมัน
ยิหวาสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกขวัญและกำลังใจให้ตนเองก่อน ดวงตาสุกสกาวพราวระยับ เรียวปากอวบอิ่มเหยียดยิ้มนิดๆ พลางโคลงศีรษะคล้ายเหนื่อยใจ “มาสถานที่แบบนี้ดิฉันก็ต้องมาเที่ยวสิคะ ท่านประธานจะให้ดิฉันตอบว่าพวกเราทั้งหมดตั้งใจจะมาเดินจงกลมกันอย่างนั้นเหรอคะ แล้วที่สำคัญไม่มีพี่ๆคนไหนบังคับให้ดิฉันมาด้วยค่ะ ดิฉันสมัครใจที่จะมาเอง เป็นอันว่าเคลียร์นะคะสำหรับข้อข้องใจทั้งหมดของท่านประธาน” หญิงสาวกลับตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ชัดถ้อยชัดคำ ทุกประโยค
ถามว่าเธอควรเกรงกลัวเขาไหม ตามหลักความเป็นจริงก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว อาจจะไม่ถึงกับกลัวจนหัวหด แต่ก็ต้องกลัวเขาอยู่แล้ว เขาเป็นใครและเธอเป็นใคร การโคจรมาเจอกันยังเป็นไปได้ยากเลย ด้วยตำแหน่งที่เป็นเพียงเด็กฝึกงานแล้วแทบไม่มีสิทธิ์ได้เห็นหน้าค่าตา ของท่านประธาน หรือได้พูดคุยกัน
ตรงกันข้าม ฝึกงานมาได้สามอาทิตย์เห็นหน้าเขาแทบทุกวัน ทั้งที่บริษัทก็ออกจะใหญ่โต พี่ๆในแผนกยังวิเคราะห์และพูดกันเลยว่าปกติแล้วการจะได้เห็นหน้าท่านประธานของพวกเขาเป็นไปได้ยากมากๆ แต่ทำไมที่เธอเจออยู่ประจำตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่บริษัทธนะทรัพย์ไม่เห็นจะเหมือนที่พวกพี่ๆเขาพูดกันเลย ทุกอย่างมันล้วนตรงกันข้ามกับสิ่งที่ได้ยินแทบทั้งสิ้น
คำตอบของยิหวาทำเอาพนักงานรุ่นพี่ในแผนกการเงินที่ชักชวนกันมาปลดปล่อยความเคร่งเครียดจากการทำงานหนักที่สะสมมาตลอด ทั้งอาทิตย์ทำตาโต อ้าปากค้างเติ่งอย่างหวาดหวั่นทั้งหญิงทั้งชาย ลุ้นระทึกไปตามๆกัน เพราะที่คนตัวเล็กและยังเป็นน้องเล็กสุดในแผนกกำลังเสวนา โต้วาที ต่อปากต่อคำอยู่ด้วยนั้นเป็นถึงท่านประธานซึ่งก็คือเจ้านายที่ จ่ายเงินเดือนให้ทุกคนที่ยืนทำตัวลีบเล็ก เหมือนธาตุอากาศที่ลอยเคว้งไม่มีความสำคัญสำหรับคนทั้งคู่ ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าสอดแทรกตามคำเตือนในก่อนหน้า ต่อให้กล้าแกร่งยังไงแต่กับคนๆนี้ก็ย่อมต้องมีข้อยกเว้น นาทีนี้ยิหวาจึงเป็นคนเดียวที่กล้าสู้รบปรบมือในขณะที่คนอื่นๆ ได้แต่ส่งกำลังใจให้เงียบๆ
“หึ! ฉันก็หลงลืมไปว่ามาสถานที่อย่างนี้ก็ต้องมาเที่ยว เต้นแร้ง เต้นกาอยู่แล้ว ว่าแต่ว่าอยากเดินไหมล่ะไอ้จงกลมของเธอน่ะ ถ้าอยากฉันยินดีที่จะพาเธอเดินไปด้วยกันทั้งคืนเลยนะ แต่เดินจงกลม ในแบบของฉัน ซึ่งมันไม่ใช่แค่เดินจงกลมธรรมดาหรอกนะยิหวา แต่เป็นการเดินที่มาพร้อมกับการเรียกเหงื่อไปในตัวด้วย ว่าไง สนใจไหมคนสวย” ร่างสูงก้มลงกระซิบกระซาบข้างใบหูของ คนช่างต่อปากต่อคำให้ได้ยินกันแค่สองคน ไม่พอยังคงแกล้งระบาย ลมหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ค่อนข้างเข้มข้นใส่พรืดใหญ่ จนเจ้าของเรือนกายบอบบางที่ไม่ยอมแพ้โดยง่ายต้องเบี่ยงคอหนี และห่อไหล่ทั้งสองข้างเข้าหากัน เหมือนลูกนกที่กำลังหนาวสั่น เรียกรอยยิ้มเอ็นดูภายใต้ใบหน้านิ่งที่กักเก็บอารมณ์หงุดหงิดจากคำตอบเมื่อสักครู่ไว้ ไอ้เรารึก็เป็นห่วงแต่เห็นแบบนี้แล้วก็อยากจะสั่งสอนคนปากดีให้มากกว่านี้
“ดิฉันไม่ยินดีที่จะทำอะไรร่วมกับท่านประธานทั้งนั้นแหละค่ะ” หญิงสาวกัดฟันพูด ใบหน้างามเชิดขึ้นสูง บึ้งจนไม่รู้ว่าจะบึ้งยังไงแล้ว แววตาก็วาวโรจน์ ด้วยล่วงรู้ความนัยของประโยคบ้าๆนั่นดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร
น่าเกลียดที่สุด!! ตัวเองเป็นถึงประธานเจ้าของบริษัท แต่การกระทำที่ทำกับเด็กฝึกงานอย่างเธอนี่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาต่อว่าให้เจ็บแสบไปถึงทรวง เพราะเท่าที่เธอพูดๆ ออกมานั้นไม่มีอะไรทำให้เขา สะทกสะท้านขึ้นมาได้เลยสักนิดเดียว เขามันประเภทคนตายด้าน หรือยังไงกันนะ
“แล้วก็ช่วยปล่อยมือออกจากแขนของดิฉันด้วยค่ะท่านประธาน กรุณาอย่าตีเนียนให้มากนัก นี่มันนอกเวลางานแล้วด้วย เพราะฉะนั้นเราทุกคนล้วนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ และที่สำคัญที่สุดไม่มีกฎข้อห้ามข้อไหนห้ามไม่ให้นักศึกษาฝึกงานมา เที่ยวกับพี่ๆในแผนกที่ตัวเองฝึกงานด้วยตอนหลังเลิกงานไม่ใช่เหรอคะ” ดวงตากลมโตหลุบต่ำลงมองมือแกร่งที่กำรอบแขนตนเองเอาไว้แน่น และตอนนี้มันก็เริ่มเจ็บขึ้นมานิดๆแล้วด้วย เพราะแรงบีบกระชับมัน มากขึ้นเรื่อยๆ จากภาวะอารมณ์ไม่คงที่ของคนปกติที่ดันทำตัวไม่ปกติ จนน่าโมโห
“ตอนนี้ปากสวยๆของเธออาจจะบอกว่าไม่ยินดีที่จะทำอะไรร่วมกับฉัน แต่ต่อไปในอนาคตข้างหน้าอันใกล้นี้มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงมาเป็นยินดีแทนก็ได้ เพราะอะไรมันก็ย่อมไม่แน่นอน ยิ่งความคิดและหัวใจด้วยยิ่งแล้วใหญ่เลย จริงไหมคนสวย” มุมปากหนายกยิ้ม พลางขยิบตาใส่อย่างยั่วเย้า ปากอวบอิ่มตั้งท่าจะเถียงแต่ก็ถูกคนไวกว่าแทรกเสียก่อน
“ ส่วนเรื่องนอกเวลางานเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรตามใจชอบก็ถูก ไม่มีกฎข้อห้ามให้นักศึกษาฝึกงานมาเที่ยวกับพนักงานในแผนกที่ตัวเองฝึกงานต่อหลังเลิกงานมันก็ใช่อีกนั่นแหละ” ประธานหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงอย่างเห็นด้วยทุกประการ แต่เพียงแค่เขาไม่ชอบที่จะให้แม่สาวน้อยหน้าหวานมาในสถานที่เช่นนี้ จะมีสิ่งใดมาการันตีความปลอดภัย ให้เจ้าหล่อนได้
หญิงสาวทำปากขมุบขมิบ ค่อนขอดอยู่ในใจ อย่างหงุดหงิด อยากจะกางมือออกทั้งสองข้างแล้วข่วนหน้าเขาให้เสียโฉมจริงๆเลย “ในเมื่อเข้าใจทุกอย่างดีก็ปล่อยสักทีสิคะ จับเอาไว้อยู่ได้ ดิฉันไม่ใช่นักโทษนะคะที่จะต้องถูกควบคุมตัวอยู่ตลอดเวลา” สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลุด
“หึ! เอาล่ะ ผมกำลังจะไป เชิญพวกคุณตามสบาย” ชายหนุ่มยิ้มเล็กๆตรงมุมปาก ก่อนจะหันมาพูดกับพนักงานภายใต้การปกครองด้วยน้ำเสียงที่เข้มน้อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย พลางคลายมือที่รวบแขนเรียว ออกเพื่อเปลี่ยนมาจับกุมมือนุ่มนิ่มแทนโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมง่ายๆ พยายามจะสะบัดออกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่มีหรือจะสู้เขาได้ สายตาทุกคู่เลยจับจ้องมายังมือของทั้งสองคน
“…”
“แต่”