ตอนที่6 ไม่น่าไว้ใจ
ซูเจินรับรู้ได้ถึงสายตาจ้องมองมาจากนอกรถม้าเมื่อครู่ นางจึงไม่คิดจะออกไป แต่ใครไหนเลยจักคิดว่าเจ้าของสายตาเรียวคมที่จับจ้องจะอุกอาจถึงเพียงนี้
ทันทีที่ผ้าม่านรถม้าถูกมือของชายหนุ่มเปิดออก ซูเจินจึงรีบพุ่งตัวสวนทางกับบุรุษผู้อุกอาจทันที
หยางเหอจินที่พุ่งตัวเข้ามาในรถม้าจึงหรี่ตามองตามคนตัวเล็กที่พุ่งสวนทางกันไป เขาต้องรู้ให้ได้ว่านางเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับอาจารย์ของเขา
ชายหนุ่มจึงพลิกกายตามหญิงสาวออกมาจากตัวรถม้าในทันใด เขายืนนิ่งจ้องมองนางไม่วางตา ใบหน้าเย็นชา ทั้งเรือนร่างสง่าแผ่กลิ่นอายกดข่มผู้คน
สำนักพยัคฆ์เมฆาหงส์ฟ้าเหินย่อยยับไปหมดแล้ว เขาเพียงต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับอาจารย์และธิดาสาวของอาจารย์ หากนางเป็นสมุนของสำนักที่เหลือรอดชีวิต นางอาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับน้องน้อยของเขา เกือบสิบปีแล้วที่เขามิได้เจอกับเจินเจินน้อย
ซูเจินเริ่มไม่ไว้ใจชายผู้นี้หนักหนา นางรู้สึกได้ว่าเขาไม่ธรรมดา การรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดคน นางย่อมต้องการเป็นยอดคน
คนที่ฉลาดเช่นนางย่อมไม่ต่อกรกับใครก็ตามที่นางคิดว่าไร้หนทางชนะ โดยเฉพาะกับบุรุษตรงหน้าที่นางมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเขาเป็นยอดฝีมือ
หญิงสาวจึงทำทีเป็นตัวสั่นงันงกเกาะแผ่นหลังบอบบางของหนิงเหมยแน่นพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวกลัว” นางพยายามปิดบังซ่อนเร้นใบหน้าไม่ให้ชายตรงหน้ามองได้ถนัด
หนิงเหมยกับหนี่ม่านถึงกับตาโตมองหน้ากันไปมา
อึดใจสตรีผู้เป็นนายหญิงจึงเริ่มเข้าใจ เป็นไปได้ว่าสตรีเยี่ยงอาเจินย่อมต้องถูกตามล่าจากผู้ไม่หวังดี ชายผู้นี้ถึงแม้จะหล่อเหลาเป็นอย่างมาก หากแต่กลิ่นอายทรงพลังของเขาไม่ธรรมดา
“คุณชายได้โปรดใจเย็น” หนิงเหมยเริ่มเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังไม่สร่างซา
สตรีทั้งสามรีบพากันลงจากรถม้าไปยืนตั้งหลักบนพื้นดินเยื้องออกไปเกือบจั้ง
เมื่อถอยลงมาจากรถม้าเพื่อตั้งหลักดีแล้ว นายหญิงน้อยจึงเอ่ยตามน้ำกับอาเจิน “บ่าวของข้าเป็นเพียงเด็กสาวไม่ประสา ขอท่านโปรดสำรวม” นางหมายความว่าเขากำลังทำตัวรุ่มร่ามจวบจ้วงไร้มารยาท ชายผู้ดีดูมีชาติตระกูลสูงส่งตรงหน้าย่อมต้องรู้สึกได้กับคำพูดของนาง
นี่คือวิธีการปกป้องกันและกันของสตรีกลุ่มนี้
หากเป็นชายกักขฬะไร้อารยะซูเจินย่อมจัดการ หากแต่เป็นบุรุษมีจริยธรรมจรรยาที่มิไร้การศึกษาหนิงเหมยย่อมมีวิธี ชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้านี้ให้พิศมองอย่างไรพวกเขาก็มีกลิ่นอายของผู้มากบารมีแผ่ความสุภาพของปัญญาชนออกมา
และมันก็ได้ผล
หยางเหอจินพลันรู้สึกตัวว่ากำลังทำตัวไม่เหมาะ เขาจึงยืนอย่างงามสง่าบนรถม้าลดทอนความทะมึนในแววตาก่อนเอ่ย “ข้าต้องขอโทษแม่นาง แต่ข้าต้องการคุยกับสาวใช้ของแม่นางสักประโยคจะได้หรือไม่”
“ไม่ได้!” อีกครั้งที่หนิงเหมยหลุดปากออกมา
เฟยหลงเซียนเริ่มเห็นท่าไม่ดี เขาเกรงว่าไก่จะตื่นนกจะบินหนีเสียก่อนที่เสือจะได้ตะปบ เขาจึงรีบเอ่ย “พี่ใหญ่ ลงมาก่อนเกิด ท่านกำลังทำให้แม่นางทั้งสามตกใจ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มโปรยเสน่ห์ไปทางสามสตรี “ข้าต้องขอโทษแม่นางด้วย พี่ใหญ่ของข้ามักเป็นเช่นนี้ เขาช่างน่ากลัว เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ แม่นางทั้งสามนั่งในรถม้าส่วนพวกข้าสองคนจะช่วยบังคับม้าไปส่งยังปลายทาง”
“ไม่จำเป็น” หนิงเหมยรีบปฏิเสธ ถึงแม้ใบหน้างามยังคงอ่อนหวานหากแต่สายตากลับจ้องถลึง
“ไม่เป็นไรเลย แม่นางอย่าได้เกรงใจ” เฟยหลงเซียนยังคงเกี้ยวพาหาได้สนใจสายตาน่าชังไม่ “ข้าเห็นได้ชัดเจนว่าคนของแม่นางบังคับม้าไม่เป็น เมื่อครู่ก็เกือบจะตกเหวลึกอยู่แล้วเชียว”
หนิงเหมยเม้มปากแน่นจ้องมองชายตรงหน้านิ่ง
หนี่ม่านรีบกระซิบกระซาบที่ข้างใบหูขาวเนียนของนายสาว “บ่าวคิดว่าดีเหมือนกันนะเจ้าคะ บ่าวบังคับม้าไม่เป็นจริงๆ”
ซูเจินที่ถึงแม้จะขี่ม้าเป็นบังคับม้าได้ แต่ยามนี้นางมิได้สนใจการสนทนาใดๆ ของใครทั้งนั้น สายตากลมโตของนางกำลังจ้องนิ่งที่เอวของชายชุดม่วง นางมองเห็นหยกขาวสลักรูปพยัคฆ์เคียงหงส์ หยกนั้นเป็นหยกแบบเดียวกับท่านพ่อของนาง
หญิงสาวถึงกับจ้องมองชายชุดม่วงนิ่งงัน เขาเป็นใครกัน!?
หยางเหอจินยังคงยืนถมึงทึงจ้องมองสตรีที่ยืนก้มหน้าหลบเขา สายตาคู่คมเพ่งมองอย่างคุกคาม เขารู้สึกใจเต้นแรงอย่างประหลาดคล้ายกับเคยเจอสตรีนางนี้มาก่อน
หนิงเหมยเห็นสายตาคมดุของชายชุดม่วงจึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นเกราะกำบังให้ซูเจิน แต่สายตากลับจ้องมองยังชายหนุ่ม ถึงแม้ในใจจะนึกหวาดกลัวอยู่ก็ตาม
แต่ระหว่างนั้นสายตาคู่งามก็แอบมองรอบบริเวณเห็นชายป่าเริ่มมีหมู่บ้านอยู่ไม่ไกล หากชายสองคนนี้ทำสิ่งใดบุ่มบ่ามลงไปยังพอร้องขอความช่วยเหลือได้ ยิ่งได้เห็นอาเจินหลบอยู่ข้างหลังแบบนี้ นางก็ไม่รู้ว่าควรทำสิ่งใดทั้งนั้น นางจึงยืนเงียบงันลอบคุมเชิงอย่างมีสติ
บุรุษทั้งสองนี้ให้พิศมองอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นพวกเดียวกับคนที่บ้านของนาง คนหนึ่งเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญนอกสายตาแต่ทว่ากับอีกคนหนึ่งนั้นต้องมีความสัมพันธ์อันใดกับอาเจินเป็นแน่
หนิงเหมยจ้องมองชายชุดม่วงกับสตรีตรงแผ่นหลังไปมา นางพยายามทำใจดีสู้เสือข่มกลั้นความกลัวเอาไว้สุดชีวิต
เฟยหลงเซียนเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติบางประการจากหยางเหอจิน ท่านอาของเขาปกติแล้วมักจะเคร่งขรึมวางมาดเย็นชาไม่พูดไม่จาไม่สุงสิงกับใคร แต่กับสตรีตัวน้อยนางนั้น เหตุใดท่านอาถึงให้ความสนใจถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดไม่ธรรมดา เมื่อคิดอย่างนั้นเขาจึงถามย้ำ “ว่าอย่างไรแม่นาง ข้ามิใช่พวกหน้าเนื้อใจเสือแน่นอน พวกเจ้าวางใจข้าได้ ข้าเพียงเห็นว่าค่ำมืดมากนัก พวกเจ้าอาจจะได้รับอันตราย”
“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนู” หนี่ม่านรีบกระซิบชิดใบหูนายหญิงของตน นางเป็นหญิงสาววัยแรกรุ่นวัยสิบสี่ย่างสิบห้า อารมณ์ชมชอบชายรูปงามเริ่มก่อเกิดผสมผสานความเป็นเด็กไร้เดียงสาตรงไปตรงมา นางอยากมองชายงาม
หนิงเหมยยังคงเงียบงันไม่เอ่ยวาจาใด นางไม่ไว้ใจบุรุษหน้าไหนทั้งนั้น
ซูเจินหลุบตาครุ่นคิด เขาจะใช่พวกบัดซบที่ล้างผลาญสำนักของบิดาหรือไม่กัน? หรือว่าเป็นคนสำคัญของบิดากันแน่ อา...อาจจะเป็นไปได้ ฉับพลันรอยยิ้มเยือกเย็นตรงมุมปากพลันปรากฏ อึดใจจึงเอ่ยกระซิบกับหนิงเหมย “ตกลงตามนั้น”
“หืม?” หนิงเหมยถึงกับเลิกคิ้วฉงน อะไรกัน?
สตรีสองคนตรงแผ่นหลังผู้เป็นนายรีบดันแผ่นหลังของนางให้เดินไปขึ้นรถม้า หนิงเหมยได้แต่เดินตามกันผลักดันเงียบงันไร้วาจา สายตาสวยหวานยังคงจ้องมองสองบุรุษอย่างระแวดระวัง ในแววตานั้นแฝงความรังเกียจเอาไว้หลายส่วน
เฟยหลงเซียนถึงกับขมวดคิ้วจ้องมอง สตรีส่วนใหญ่เมื่อเจอกับเขาล้วนแล้วแต่ตกหลุมรักเขา หลายนางทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับเขาโดยไม่เลือกวิธี มีบางคนที่เล่นตัวบ้างแต่เพียงไม่นานย่อมสยบต่อเขา หากแต่สตรีนางนี้ เหตุใดจึงมองเขาเยี่ยงนั้น
อึดใจรอยยิ้มมุมปากพลันปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของรัชทายาทหนุ่ม เขานิยมของแปลกเสียด้วย...