ตอนที่3 สหายใหม่(ผู้น่ากลัว)2
ในวันนี้ก็เช่นกัน...หลังจากเดินทางมาจวบจนเข้าวันที่สามยามเมื่ออาทิตย์อัสดงแสงแดดร้อนแรงเริ่มเบาบาง หนิงเหมยจึงเอ่ยสั่งการให้คนบังคับม้าชะลอฝีเท้าของม้าลงเพื่อมองหาที่พักค้างแรม แต่ว่าเมื่อหญิงสาวเปิดผ้าม่านของรถม้าออกดูสองข้างทางกลับมีแต่ต้นไม้ใบหนา หาได้มีโรงเตี๊ยมสักหลังไม่ แม้แต่บ้านเรือนของชาวบ้านยังเห็นเป็นเพียงเงาตะคุ่มอยู่ไกลๆ
“เราคงต้องพักเสียกลางทางตรงนี้เลยเจ้าค่ะ คุณหนู” หนี่ม่านเริ่มออกความเห็น
“อืม...” หนิงเหมยเห็นด้วยก่อนออกคำสั่งไปทางบ่าวชายผู้บังคับม้า “เจ้าให้ม้าหยุดพักตรงชายป่าด้านนั้นก็พออย่าได้เข้าไปลึกนัก”
“ขอรับ” เส้นเสียงทุ้มห้าวกล่าวตอบ
เมื่อรถม้าจอดสนิทบ่าวชายจึงออกไปหาฟืนส่วนหนี่ม่านก็ลงจากรถม้าไปเตรียมสถานที่สำหรับก่อไฟ คงเหลือไว้เพียงหนิงเหมยกับหญิงปริศนาที่นอนอยู่ในรถม้า
สตรีปริศนานอนหลับตาคล้ายกับสลบไสลไม่รู้สึกตัว หากแต่เมื่อพิศมองดูดีๆ กลับพบว่าท่าทางของสตรีนางนี้คล้ายกับกำลังนอนหลับใหลไม่สนใจฟ้าดินเสียมากกว่า
หนิงเหมยได้แต่นั่งมองตาปริบๆ
หญิงสาวผู้บาดเจ็บและกำลังนอนหลับใหลคล้ายไม่ได้สติแต่กลับรับรู้ได้ทุกอย่างทั้งยังแจ่มชัดทุกห้วงเวลา
นางคือซูเจิน...
ซูเจินกำลังทำตัวเป็นสัตว์จำศีล วันๆ เอาแต่นอนหลับไม่คิดจะตื่นลืมตาแต่อย่างใด หากแต่เมื่อได้รับการป้อนยานางกลับอ้าปากรับยาแต่โดยดี การทายาก็เช่นกัน...นางให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นางรับรู้ได้ว่าสองสตรีที่ช่วยเหลือนางเอาไว้มิได้มีเรี่ยวแรงเลยสักนิด ข้อแขนข้อมืออ่อนปวกเปียก หากนางมิให้ความร่วมมือเกรงว่ามือน้อยๆ ของสองสตรีจะหักลงเอาได้
หนิงเหมยนั่งมองสตรีบาดเจ็บที่นอนหลับใหลอีกครู่หนึ่งจึงตัดสินใจลงจากรถม้าเพื่อไปสมทบกับสองบ่าวชายหญิง
ในขณะที่หนิงเหมยกำลังนั่งอิงไฟเพื่อคลายหนาวระหว่างกินอาหารอยู่นอกรถม้า ทันใดนั้นพลันมีกลุ่มชายฉกรรจ์เดินเข้ามาจำนวนห้าคน สีหน้าของพวกมันบ่งบอกชัดเจนว่ามิใช่มาดี แววตาที่มองมาทางหนิงเหมยฉายแววกรุ้มกริ่มเปิดเผย เป้าหมายคล้ายกับต้องการล่วงเกินหมายย่ำยีเด่นชัด
“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด” บ่าวชายลุกขึ้นยืนตวาดก้องขวางหน้าพวกกลุ่มชายฉกรรจ์ในทันที
สองสตรีรีบยืนขึ้นเพื่อตั้งหลักในบัดดล สายตาที่พวกบุรุษแปลกหน้ามองมานั้น หนิงเหมยและหนี่ม่านเข้าใจได้ไม่ยาก
หนี่ม่านรีบเดินเข้ามายืนบังเรือนร่างของหนิงเหมยเอาไว้มั่นทั้งๆ ที่นางตัวเล็กกว่านายสาว สองตานางจ้องเขม็งที่บุรุษแปลกหน้าทั้งห้า ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มสั่นระริก ลำตัวสั่นเทิ้ม แต่ยังคงคิดจะปกป้องนายของตน
หนิงเหมยเองก็กลัวจนตัวสั่นไม่ต่างกัน นางไม่เคยออกจากบ้านมาไกลมากถึงเพียงนี้จึงไม่เคยคิดที่จะเตรียมการคุ้มกันอันใดมากมาย บิดาของนางก็มิได้ตระเตรียมการอันใดให้นาง เขาช่างเย็นชากับนางเสมอมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงภรรยารองของบิดาเลย
“ออกไปนะ!” บ่าวชายยังคงตะเบ็งด้วยน้ำเสียงดังคล้ายคำรามหากแต่ตัวของเขาก็สั่นเทาไม่ต่างจากสองสตรีทางด้านหลัง
“เจ้าไม่เกี่ยว ถอยไป!” หนึ่งในชายฉกรรจ์แปลกหน้าคำรามใส่บ่าวชายพร้อมทั้งตวัดฝ่ามือตบหัวบ่าวชายจนกระเด็นล้มตึง
ชายฉกรรจ์ที่เหลือจึงกรูกันเข้ามารุมทำร้ายบ่าวชายหนึ่งเดียวจนสลบคาฝ่าเท้านอนแน่นิ่งไป
หนิงเหมยและหนี่ม่านพลันใจหายวาบเย็นยะเยือกอยู่ในอก สายตาคู่สวยของทั้งสองมองบ่าวชายอย่างตื่นตะลึง
ชายฉกรรจ์คนแรกเดินแบบย่างสามขุมเข้าหาสองสตรีที่ยืนอยู่ใกล้กับรถม้าในทันที ริมฝีปากสีคล้ำของมันแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด
“ไม่ต้องห่วงหรอกแม่นาง” มันเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มห้าวลากยาวน่ากลัว “ข้าจะอ่อนโยน” สายตากรุ้มกริ่มของมันจับจ้องที่หนิงเหมยผ่านเลยศีรษะของหนี่ม่าน
“อย่าเข้ามานะ” หนี่ม่านตะโกนเสียงแหลมนึกกลัวจับใจตัวสั่นไม่หยุด
“อ่า...” ชายดำทะมึนคนเดิมครางในลำคอ “เจ้าคงอยากโดนก่อนคุณหนูของเจ้าล่ะสิ ข้าจักสงเคราะห์ให้ก็แล้วกัน ฮ่าๆ” มันกล่าวจบก็พุ่งตัวมาจับกระชากหนี่ม่านติดมือไปจนร่างบางล้มบนพื้นดินตรงหน้าของหนิงเหมย
“กรี๊ด!” สาวใช้ร้องเสียงดังดิ้นรนขัดขืน “ไม่นะ กรี๊ด!”
แคว่ก
เสียงฉีกทึ้งเสื้อผ้าดังขึ้น
“กรี๊ด!” หนี่ม่านกรีดร้องสุดเสียง
หนิงเหมยยืนมองภาพนั้นด้วยดวงตาเบิกโพลง “ไม่นะ!” นางตะโกนสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ “ปล่อยนางนะ”
“ปล่อยให้โง่รึ! คุณหนูคนงาม” ชายที่มาด้วยกับคนแรกตวาดก้องมาทางหนิงเหมย “พี่ใหญ่ของพวกเราจักแสดงให้ดูเพื่อเปิดทางแก่คุณหนูอย่างไรเล่า รับรองว่าคุณหนูจะต้องร้องขอให้พวกเราทำแบบเดียวกัน”
“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้นจากปากของชายฉกรรจ์ทั้งหมด พวกมันยืนมองชายหญิงตรงหน้าด้วยอารมณ์เบิกบาน “พี่ใหญ่จัดการเสร็จแล้วข้าขอต่อนะ ฮ่าๆ”
แคว่ก!
เสียงฉีกเสื้อผ้ายังคงดังอย่างต่อเนื่อง หนี่ม่านได้แต่กรีดร้องมือไม้ปัดป่ายตีชายฉกรรจ์พัลวันแต่ก็หาได้มีผลอันใดกับมันไม่