ตอนที่2 หนิงเหมย1
คฤหาสน์สกุลหลิ่งของหลิ่งหมิงคหบดีหนุ่มรูปงามผู้มั่งคั่ง
หลิ่งหมิงกับหนิงเยว่ซินรักกันมาก ทั้งสองคนคบหากันจนกระทั่งแต่งงานกันและได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข
แต่วันคืนอันแสนสุขช่างสั้นนัก หลังจากแต่งงานได้เพียงครึ่งปี หลิ่งหมิงยังคงรักหนิงเยว่ซินเป็นอย่างมาก หากแต่วันหนึ่งเขากลับพาสตรีงดงามดูบอบบางเข้ามาในคฤหาสน์ด้วยเหตุผลที่ว่าเจอนางระหว่างที่เดินทางกลับบ้านแล้วได้ช่วยเหลือกันยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน
สตรีนางนั้นมีนามว่า เจียวลู่
พวกเขาเจอกันในวันที่หลิ่งหมิงถูกโจรป่าฉกชิงทรัพย์สินและถูกโจรป่าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ หลิ่งหมิงได้เจียวลู่เข้าช่วยเหลือในครานั้น เมื่อรักษากันมาระหว่างทางจนหลิ่งหมิงหายดีเขาจึงพานางเข้าบ้านและแต่งนางเป็นภรรยารอง
จู่ๆ หนิงเยว่ซินก็ได้เป็นภรรยาเอก
หลิ่งหมิงผู้รักมั่นก็แต่งอนุเข้ามา
หนึ่งชายหนึ่งหญิงที่รักกันอย่างมั่นคงตลอดมาก็เริ่มแปรเปลี่ยน
คืนมงคลที่หลิ่งหมิงยืนอยู่ในเรือนหลังเล็กกับเจียวลู่ท่ามกลางโคมไฟสีแดงและแสงเทียนสีนวล ถึงแม้จะไร้ซึ่งงานมงคลสมรสอันเอิกเกริกหากแต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ใครบางคนเสมือนถูกแหวกอกแล้วดึงหัวใจกระชากออกมาฉีกทึ้งแล้วใช้ฝ่าเท้าเหยียบย่ำอีกคราหนึ่ง
เขาเหยียบย่ำจนแหลกลาญ แหลกเหลว
ใครคนนั้นคือหนิงเยว่ซิน
นางตัดสินใจออกมาแอบมองดูพวกเขาเหมือนหญิงบ้ามิรู้ความ นางยืนมองเขาจากมุมเฉลียงของเรือนเล็กหลังนั้น นางยืนมองพวกเขาอยู่ในความมืดมิดนอกเรือนกระทั่งพวกเขาดับเทียนภายในเรือนและต่อมาก็มีเสียงหอบครางดังระงม
ในยามนั้นหนิงเยว่ซินได้กลายเป็นเศษผ้าที่ถูกฉีกขาดไม่มีเหลือแม้เพียงเส้นด้ายให้ถักทอสานต่อใหม่ นางมีเพียงลมหายใจที่ว่างเปล่าและหัวใจที่หนักอึ้งคล้ายมีเลือดซึมจากการถูกกรีดลึกด้วยเสียงครางนั้น
ตั้งแต่คืนนั้นนางจึงเหลือเพียงร่างที่ไร้วิญญาณ
“ข้าเกือบตายไปแล้วที่ป่านั่น หากมิได้เจียวลู่เข้าช่วยเหลือ เจ้าก็คงจะเสียข้าไปแล้วตลอดกาล” เสียงทุ้มนุ่มของหลิ่งหมิงยังคงดังก้องกังวานในใบหูของหนิงเยว่ซิน
“ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือที่จะทดแทนคุณ มีเพียงต้องรับนางเป็นอนุเท่านั้นหรือไร?” นางถามออกไปด้วยใจไม่ใคร่จะยินยอม
“นางตัวคนเดียว ไม่มีใคร แต่หากจะให้นางเป็นเพียงสาวใช้คงไม่เหมาะกระมัง หรือกระทั่งให้เป็นเมียบ่าวก็คงมิควร”
“ความหมายของท่านก็คือไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องเก็บนางเอาไว้ข้างกาย นางก็ต้องอยู่กับท่านเท่านั้นหรือไร ช่วยเหลือกันเสร็จสิ้นก็แยกย้ายกันไม่มิได้รึ การตอบแทนกันมีเพียงวิธีนี้หรือไร นางต้องการเงินเท่าไหร่ ข้าจะไปแลกตั๋วเงินให้นางเดี๋ยวนี้”
“เยว่ซิน!” เสียงของเขาเริ่มหงุดหงิด “เจ้าเป็นอะไรไป สตรีที่จิตใจดีมีเมตตาไปไหนเสียแล้ว เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าใจ หากมิได้นางเข้าช่วยเหลือข้ายังจะได้กลับมาหาเจ้าหรือไม่ หากมิได้นางเจ้าคงเป็นเพียงสตรีม่ายสามีตายไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน ลองตรองดูเถิด!”
นั่นคือประโยคสนทนาครั้งล่าสุดก่อนที่เขาจะแต่งนางเป็นอนุและเข้าหอกันอย่างเผ็ดร้อนทั้งหอบทั้งครางดังระงมที่ทำให้หนิงเยว่ซินต้องมานอนอย่างเดียวดายบนเตียงอันกว้างใหญ่ของเรือนหลัก นางนอนร้องไห้มิได้พัก ไม่แม้แต่จะหลับตาได้ลง
เช้าวันต่อมาหนิงเยว่ซินยังต้องมานั่งรอที่โต๊ะอาหารเพื่อกินข้าวด้วยกันตามคำสั่งของหลิ่งหมิง
นางนั่งรอสองชายหญิงที่ผ่านค่ำคืนเสพสมที่ทำให้นางต้องทุกข์ระทมตลอดทั้งคืน
หลิ่งหมิงเดินเข้ามาที่ห้องอาหารก่อนและนั่งลงที่ข้างนางยังตำแหน่งเดิมของเขาที่เคยนั่ง เขายิ้มให้นางอย่างอบอุ่นเหมือนเคย สายตามองนางอย่างอ่อนโยนเหมือนเคย แววตาที่ทอดมองเจือความรักใคร่เหมือนเคย หากแต่ที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเคยก็คือเราสองไม่อาจกินข้าวได้ทันทีเมื่อสองเรานั่งพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร เพียงเพราะสตรีอีกนางหนึ่งยังไม่มา พวกเราจึงต้องรอให้พร้อมหน้าสามสามีภรรยาถึงจะกินอาหารได้
หญิงสาวถึงกับกำมือแน่นขอบตาร้อนผ่าว
และเมื่อเจียวลู่เดินเข้ามายังห้องอาหาร หนิงเยว่ซินก็อดไม่ได้ที่จะไล่น้ำสีใสให้จางหายไปเพื่อมองเจียวลู่ให้เต็มตา
นางเห็นเจียวลู่มีสีหน้าอิ่มเอิบดวงตากระจ่างใสหากแต่ร่างบอบบางกลับดูอ่อนแรงยิ่งนัก นางคล้ายกับกำลังพยายามเดินมาอย่างยากลำบาก ท่าทางที่อ่อนโยนอ่อนหวานมากอยู่แล้วยิ่งดูหวานล้ำมากขึ้นไปอีก
หนิงเยว่ซินยิ้มขื่นปวดร้าวสุดแสน
แน่นอนว่าเจียวลู่คงเพลียมากนักเนื่องจากต้องผ่านการร่วมรักกับสามีของนางมา...ทั้งคืน