ตอนที่ 2-เด็กฝึกงาน
“ไอติมคะ...ตื่นไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวสายน้า” เสียงปลุกของคุณพ่อเจที่พยายามเรียกลูกสาวที่ยังนอนจมเตียง เมื่อยามนี้เป็นเวลาที่เธอนั้นควรจะตื่นและเตรียมตัว
“อื้อ” เสียงเค้นในลำคอเล็กแผ่วเบา ดวงตากลมยังคงหลับพริ้มไม่ยอมตื่น เธอรู้สึกตัวแล้วแต่เพียงแค่เรื่องราวที่ถูกเพื่อนล้อนั้นทำให้เธอไม่อยากจะไปโรงเรียน
“ตื่นได้แล้วคนเก่ง” คุณพ่อเจที่นั่งลงข้าง ๆ เด็กหญิงตัวเล็ก ใช้ฝ่ามือลูบหัวลูกสาวที่นอนกอดตุ๊กตาหมีอย่างแผ่วเบา
“น้องไอติม เหมือนจะไม่ฉบายเลยค่ะ” เด็กหญิงบอกกล่าวคนเป็นพ่อที่นั่งมองเธอด้วยสำเนียงที่ยังพูดไม่ชัดถ้อยคำ สิ่งที่บอกไปเธอไม่ได้รู้สึกจริง แต่เป็นสิ่งที่เธอกำลังแสดงละครเพราะไม่อยากพบเจอกับเพื่อนร่วมห้องที่พูดแทงใจของเธอ
“เมื่อวานหนูยังดี ๆ อยู่เลย...ไหนมาให้พ่อดูสิคะ” คุณพ่อเจที่มองลูกสาวอย่างสังเกตการณ์ อุ้มร่างเล็ก ๆ ของเธอให้มานั่งบนตัก มือเล็ก ๆ ก็ยังไม่วายหยิบติดตุ๊กตาตัวโปรดมาด้วย
ใบหน้ากลมของเด็กหญิงไอติม ซบลงอกแกร่งของคุณพ่อเจอย่างออเซาะ เธอหลับตานิ่งแต่เมื่อคุณพ่อเจเอ่ยถามเธอก็จะสรรหาคำตอบให้ทันที
“ลูกสาวของพ่อ ไม่สบายตรงไหนน้า มาให้พ่อวัดไข้หน่อยสิ หรือว่าต้องไปฉีดยาดีเอ่ย ห่วงลูกสาวจังเลย”
“ไม่ค่ะ ไม่ ๆ ....ไม่ฉีกตูดค่ะ น้องไอติมไม่ฉีกตูด” เด็กหญิงไอติมที่เมื่อได้ยินคำว่าฉีดยา เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธรัวเร็วอย่างเผลอลืมตัว จนคุณพ่อเจที่เห็นท่าทีนั้นต้องยิ้มออกมากับการแสดงละครที่ไร้เดียงสาของเธอ
“น้องไอติมหายแล้วเหรอ ดูสิส่ายหน้าอย่างกับคนไม่เป็นอะไรแหน่ะ” คุณพ่อเจทักท้วง เด็กหญิงที่แสดงละครถึงกับทำหน้าตาละห้อย ก็เธอไม่อยากจะไปโรงเรียน เมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนั้นทำให้เธอนั้นไม่ชอบสถานที่แห่งใหม่ ที่เธอคิดว่าจะทำให้เธอนั้นหายเหงาได้ แต่เปล่าเลย มันกลับทำให้เธอนั้นหวาดกลัวกับสิ่งรอบด้าน เพื่อนร่วมห้องที่ล้อเลียนเรื่องแม่จนเธอนั้นต้องน้อยใจร้องไห้
“คูมพ่อขา...น้องไอติมไม่อยากไปโรงเรียน” เด็กหญิงบอกคนเป็นพ่อออกไปตามตรง ตุ๊กตาตัวโปรดถูกวางลงกับตักคนเป็นพ่อ วงแขนเล็กโอบกอดเอวของพ่อเจพร้อมกับใบหน้ากลมซบลงกับอกของพ่อเจ
“ทำไมล่ะคะ หื้ม” คนเป็นพ่อที่เดาอาการของลูกสาวได้ไม่ยาก ท่าทางที่เศร้าหมองทำให้หัวใจของคนเป็นพ่อนั้นเจ็บปวดเหลือแสน
“ฮึก ๆ อึก....เพื่อนล้อบอกว่าน้องไอติมไม่มีแม่ น้องไอติมมีแม่ใช่ไหมคะคูมพ่อ ฮืออออออออ” เด็กหญิงที่ไม่ประสาหลั่งน้ำตาออกมาในยามเช้า คนเป็นพ่อโอบกอดลูกสาวแนบแน่นอย่างสื่อความหมาย กอดเธอด้วยรักที่คนเป็นพ่อให้ได้ ลูกสาวเพียงคนเดียวที่คุณพ่อเจทะนุถนอมมาตั้งแต่แบเบาะ และไม่คิดที่จะมีรักครั้งใหม่ตั้งแต่ภรรยาที่เป็นแม่ของลูกทอดทิ้งไป
“น้องไอติม” คนเป็นพ่อที่เห็นลูกสาวร่ำไห้ยิ่งทำให้หัวใจพ่อเจ็บปวดจนเกินพรรณนา น้ำตาของลูกผู้ชายไหลอาบสองแก้มอย่างไม่อาจเก็บกั้น ขอบตาร้อนผ่าวอย่างทานทนต่อความสงสารลูกไม่ไหว ฝ่ามือหนาลูบไล้หัวทุยเล็กอย่างปลอบประโลม
ผู้ชายที่ต้องทำงานและเลี้ยงลูกมาเพียงลำพัง แถมยังไม่คิดจะแต่งงานใหม่เพราะห่วงใยความรู้สึกลูกสาว ทุกครั้งที่ลูกถามไม่ว่าจะยามใด ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะไม่เจ็บปวดหัวใจ ยิ่งเห็นลูกร้องไห้ก็ยิ่งคิดโทษตัวเองที่เลี้ยงดูและให้ความอบอุ่นเธอไม่เพียงพอ
“ฮืออออออออออออ น้องไอติม อึก ฮึก อยากมีคูมแม่ ฮืออ” เด็กหญิงเงยหน้ามองหน้าคนเป็นพ่อทั้งน้ำตา ดวงตากลมที่เอ่อคลอด้วยน้ำใส ๆ นิ้วมือใหญ่ของคนเป็นพ่อลูบไล้ เช็ดม่านน้ำตาให้เธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะจูบซับสื่อถึงความรักของพ่อที่มีว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งและปล่อยเธอให้เดียวดาย
“น้องไอติมมีคุณแม่อยู่แล้ว”
“แล้วไหนล่ะคะ....คูมแม่อยู่ไหน อึก ฮึก น้องไอติมอยากหาคูมแม่ ฮืออออ....จะหาคูมแม่ จะหาคูมแม่ ฮืออออ” เด็กหญิงเริ่มโวยวายเมื่อเธอนั้นเจ็บปวดกับคำที่เพื่อนล้อเลียนถึงแม่ เธออยากมีแม่เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ อยากมีพ่อแม่ที่พร้อมหน้าพร้อมตากันไปส่งเธอที่โรงเรียนในยามเช้า ไปรับเธอที่โรงเรียนในยามเย็นเหมือนกับครอบครัวอื่น ๆ ที่เธอนั้นเฝ้าแต่มองด้วยความอิจฉา ...........
เด็กหญิงร้องไห้ในอ้อมกอดของคนเป็นพ่อ เธอร้องไห้อยู่นานโดยที่คนเป็นพ่อนั้นก็พยายามที่ปลอบให้เธอนั้นหายเศร้า ด้วยเวลาที่นานจนทำให้เด็กหญิงนั้นหลับไปทั้งน้ำตาคาในอ้อมอกของคุณพ่อเจ
Line : เนตร
เจ : เนตร ผมขอโทษนะที่ต้องรบกวนคุณตอนนี้ ผมรู้ว่าคุณคงไม่มีเวลามาก แต่ผมขอเวลาคุณสักสามนาทีได้ไหม?
เนตร : มีอะไร?
เจ : ผมอยากให้คุณคุยกับไอติมหน่อย เธอร้องไห้หาแต่แม่ โรงเรียนก็ไม่ยอมไป ผมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว ผมสงสารลูก
เนตร : ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะเจ คุณไม่เข้าใจหรือไงทั้งที่เคยบอกแล้วนะ ว่าอย่าติดต่อฉันมาหากสามีใหม่ฉันรู้เขาจะเข้าใจผิด
เจ : แต่ไอติมก็ลูกของคุณนะ เธอโดนเพื่อนที่โรงเรียนล้อว่าไม่มีแม่ คุณไม่สงสารเธอเลยหรือไงกัน
เนตร : ก็คุณบอกและรับปากว่าจะเลี้ยงก็เลี้ยงไปสิ ไหนบอกจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันแล้วไง
เจ : มันก็ใช่ แต่ผมแค่สงสารลูก เธอร้องไห้จนตัวโยน คุณจะใจดำกับเธอมากไปแล้วนะ
เนตร : พอ ๆ ฉันไม่อยากคุยด้วยละ ฉันมีธุระ
“ทำไมจิตใจคุณมันไร้ความเป็นแม่ขนาดนี้นะเนตร...ความรักที่ผมเคยมีให้มันได้ทำให้ใจของคุณอ่อนโยนขึ้นมาเลยหรือไง” คนเป็นพ่อวางเครื่องมือสื่อสารที่เพิ่งคุยแชทอ้อนวอนอดีตภรรยาที่อยู่แสนไกลคนละซีกโลก ก่อนจะนั่งมองลูกสาวที่ร้องไห้จนหลับคาอก ดวงตาที่บวมแดงจากการร้องไห้ทำเอาหัวใจของคนเป็นพ่อนั้นสลาย ยิ่งเห็นน้ำตาของลูกหลั่งไหล ยิ่งทำให้ผู้เป็นพ่อนั้นเจ็บปวด ยิ่งมองเห็นลูกร้องไห้หัวใจของคนเป็นพ่อนั้นเจ็บร้าวเจียนแหลกเพราะสงสารเด็กหญิงเหลือแสน....
*****
"พี่เจคะ...ฝ่ายบุคคลแจ้งว่ามีนักศึกษาที่มาขอสมัครฝึกงาน พี่เจจะสัมภาษณ์เองหรือว่าให้ฝ่ายบุคคลสัมภาษณ์คะ?" เลขาหน้าห้องเดินเข้ามาบอกจนผมต้องเงยหน้ามอง เพราะได้สั่งไว้ว่าหากมีนักศึกษามาขอฝึกงาน ส่วนมากผมจะสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง
"ผมสัมภาษณ์เองครับ...ขอเรซูเม่และเอกสารประกอบมาให้ผมด้วยนะ" ผมตอบกลับเลขาไป
"ค่ะ...สัมภาษณ์เลยไหมคะ? แจงจะได้บอกน้องนักศึกษา" เลขาหน้าห้องถามต่อ
"งั้นรอผมสักห้านาที แล้วเรียกเข้ามาพบผมที่ห้องนี้ได้เลยครับ" ผมบอกกล่าวอย่างสุภาพ ไม่ว่าจะพนักงานระดับไหน ทุกคนล้วนต้องการคนที่พูดดีด้วย และให้ความเป็นกันเอง และผมเชื่อว่าเมื่อไม่มีการเกร็งต่อตำแหน่งใด ๆ งานที่ได้เขาย่อมทำออกมาดี
"ได้ค่ะ" ว่าจบรับคำเลขาหน้าของผมก็เดินย้ำเท้าออกไป
ผมก้มหน้าทำงานตรงหน้าต่ออย่างไม่รีรอ แม้จะเป็นเพียงนักศึกษาฝึกงาน ก็ต้องกรองคนเสียก่อน เพราะผมไม่ชอบคนที่ทำเพื่อหวังแค่ผ่าน แต่การทำงานแม้จะเพียงการเริ่มต้นหาประสบการณ์ก็ย่อมสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตัวนักศึกษาและบริษัทของผมเช่นกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามทีโดยที่ผมไม่ต้องร้องบอกว่าอนุญาตหรือไม่ เพราะรู้ดีแก่ใจว่าผมตั้งตารออยู่แล้ว แจงเลขาหน้าห้องเดินเข้ามาพร้อมกับนักศึกษาคนหนึ่ง ท่าทางดูมีความกระฉับกระเฉง ไม่มีทีท่าหวาดกลัวสถานที่แต่อย่างใด พร้อมจ้องมองคนทั้งสองอย่างจับสังเกต
"นี่น้องศึกษาที่มาขอฝึกงานค่ะพี่เจ" แจงเลขาหน้าห้องแนะนำ
"สวัสดีค่ะ" น้องนักศึกษายกมือไหว้อย่างนอบน้อม พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนบนใบหน้าที่ส่งมา
"ประวัติและเอกสารประกอบของน้องค่ะ" ผมรับไหว้และผายมือเชื้อเชิญ แฟ้มประวัติและเอกสารประกอบถูกวางลงตรงหน้า ด้วยฝีมือเลขาของผม
"ขอบคุณครับ" ผมยิ้มรับและตอบกลับเลขาอย่างเช่นที่เคยเป็น ผมไม่ค่อยโวยวายหรือขึ้นเสียงดังต่อลูกน้อง หากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ร้ายแรงจนแก้ไขลำบาก เพราะความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ทำงาน ... ความผิดพลาดจะไม่เกิดก็ต่อเมื่อคน ๆ นั้นไม่ได้ทำอะไรเลย
ผมเข้าใจดีเพราะผมเคยไปลูกจ้างชั้นล่างมาก่อนเหมือนกัน ก่อนจะผันตัวเองมาเปิดบริษัทเล็ก ๆ กับเพื่อน
"แจงขอตัวนะคะ มีอะไรเรียกแจงได้ตลอด" เลขาหน้าห้องบอกกล่าว ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่เธอจะสาวเท้าเดินจากไป
"แนะนำตัวครับ" หลังจากที่แจงเลขาหน้าห้องเดินออกไป ผมตั้งใจและบอกกล่าวแก่น้องนักศึกษาตรงหน้า ที่ไร้ทีท่าหวาดกลัวแต่อย่างใด เธอดูมีความมั่นใจและมาดมั่นซึ่งถือเป็นสิ่งที่ค่อนข้างดี เพราะงานของบริษัทของผมคือการพบปะผู้คน ติดต่อกับลูกค้าเกี่ยวกับการทำแอดโฆษณาในสื่อโซเชี่ยล
"ค่ะ ชื่อ มนพิชชา หรือเรียกว่า แนน ก็ได้ค่ะ ศึกษาอยู่ปี 4 มหาวิทยาลัย ZZZ .........."
เธอแนะนำตัวเองไปเรื่อย ๆ โดยที่ผมนั้นแทบไม่ต้องถามอะไรให้มากความ ต่างจากนักศึกษาที่เคยสัมภาษณ์ที่บางคนถามคำตอบคำเท่านั้น จากที่ผมฟังและสังเกตท่าทางของเธอจากการแนะนำตัว เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจและตั้งมั่น เธอสามารถแนะนำตัวได้อย่างฉะฉาน การพูดจาคล่องแคล่ว แววตาที่จ้องมองผมนั้นเป็นประกายและเดียงสา ดูมีความตั้งใจกับสิ่งที่ทำ ..... และผมก็ชักสนใจในตัวเด็กคนนี้แล้วสิ ถ้าได้มาร่วมงานด้วยคงจะดีไม่น้อย
"พี่ขอถามนะครับ" ผมเอ่ยขึ้นเมื่อพูดคุยกับเธออยู่นาน จนเริ่มจะเห็นท่าแล้วว่าเธอคนนั้นจะต้องทำออกมาได้ดีแน่ ๆ ทุกคำถามเธอตอบออกมาอย่างไม่ติดขัดสักนิด
"ค่ะ" เธอตอบรับสั้น ๆ และมีรอยยิ้มอ่อนเปื้อนบนใบหน้า
"อะไรที่ทำให้มาฝึกงานที่นี่"
"ที่นี่ตรงกับที่แนนเรียนมาค่ะ ไม่มีเหตุผลอื่น"
เธอตอบออกมาอย่างฉะฉานและนิ่งมาก ไม่มีความวอกแวกแต่อย่างใด
"แล้วอะไรที่คิดว่าพี่จะรับเราเข้ามาฝึกงาน"
"เรื่องนั้นแนนไม่มั่นใจหรอกค่ะว่าคุณจะรับแนนเพราะอะไร แต่ว่าแนนมั่นใจว่าจะสามารถฝึกงานบริษัทของคุณได้ถ้าหากคุณรับแนนฝึกงานนะคะ สิ่งที่แนนต้องทำต่อไปคือรีบคว้าโอกาสและกอบโกยประสบการณ์จากที่นี่ให้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่แนนตั้งใจเพราะมันเป็นประโยชน์ต่อตัวแนนเอง....ขอโทษนะคะ ที่เหตุผลนี้ค่อนข้างจะเห็นแก่ตัวไปหน่อย"
"หึ .... ไม่เป็นไร ตรงดี พี่ชอบ"
"..........." เธอนิ่งและมองหน้าผมชั่วครู่ ก่อนที่จะก้มหน้ามองบางอย่างเบื้องล่างนั่นคือนาฬิกาที่บอกเวลา
"พร้อมฝึกงานเมื่อไหร่"
"ทันทีค่ะ"