บทที่ 1
"แต่งงาน!"
เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นกลางบ้านรพีภัทร และเจ้าของเสียงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น 'แหวนเพชร รพีภัทร' หลานสาวเพียงคนเดียวของหม่อมหลวงนฤนาถ รพีภัทร สาวสังคมชั้นสูงที่ทุกคนต่างก็รู้จักและมักพบเห็นได้ตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้ง
ทว่าสิบปีที่ผ่านมา สมบัติของตระกูลรพีภัทรกลับร่อยหรอลงเรื่อยๆ เพราะนิสัยใช้เงินมือเติบของนงสินี ลูกสาวคนเล็กของนฤนาถ
แต่แค่นั้นก็ดูเหมือนว่าเคราะห์กรรมที่โหมเข้าใส่ตระกูลรพีภัทรจะยังน้อยเกินไป เบื้องบนถึงได้ดลบันดาลให้ลูกชายและลูกสะใภ้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แถมยังทิ้งหลานสาวที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดให้ท่านเลี้ยงดูต่ออีกด้วย
และก็เพราะแหวนเพชรเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวนี่ล่ะ นฤนาถถึงได้วางแผนอนาคตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเอาไว้ให้เธอ โดยไม่คิดจะเอ่ยถามความเห็นของหลานสาวเลยสักคำ
"หนูไม่แต่งค่ะ"
"นี่ไม่ใช่คำถาม แต่นี่เป็นคำสั่ง"
"คุณย่า หนูไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แล้วหนูจะแต่งงานกับเขาได้ยังไง นี่มันปี 2021 แล้วนะคะ เขาหมดยุคจับลูกหลานคลุมถุงชนไปตั้งนานแล้ว" แหวนเพชรเอ่ยเสียงดังจนเกือบจะเรียกได้ว่าตะโกน เพราะนี่เป็นสิ่งเดียวที่เธอจะสามารถทำได้ในตอนนี้
"แล้วไง แกชอบหาว่าฉันเป็นพวกล้าสมัยดึกดำบรรพ์นักไม่ใช่หรือแม่แหวน" ผู้เป็นย่าสวนกลับทันควัน แถมยังใช้คำพูดของหลานสาวมาย้อนคืนเจ้าตัวเสียด้วย
"ไม่รู้ล่ะค่ะ ยังไงหนูก็ไม่แต่ง"
"เอ๊ะ! ฉันเลี้ยงแกมาจนโตป่านนี้ ใจคอแกจะทำให้ฉันสบายใจสักเรื่องหน่อยไม่ได้เลยหรือยังไงกัน"
"มีเรื่องอื่นตั้งมากมายที่หนูทำให้คุณย่าสบายใจ อย่างน้อยหนูก็คว้าใบปริญญามาจากต่างประเทศได้ตั้งสองใบ เป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูลเราจะตาย น่าอวดกว่าเรื่องดองกับคนมีเงินตั้งเยอะ" คนไม่ยอมใครตอบกลับไปอย่างไม่ยอมลดราวาศอก ตามแบบฉบับนิสัยของเธอ
"เหอะ เดี๋ยวนี้คนในวงสังคมเดียวกันกับเราเขาก็จบนอกทั้งนั้น ใบปริญญาของแกน่ะมันก็แค่กระดาษ"
เสียงแหลมสูงของคนที่เพิ่งมาถึงเรียกให้สองย่าหลานที่กำลังโต้เถียงกันอย่างออกรส หันไปมองทางต้นเสียงเป็นตาเดียว
"ก็แค่กระดาษที่อานงไม่มีสักใบน่ะเหรอคะ"
"นังเด็กเหลือขอ"
"โอ้โห นี่บ้านเรายังมีอะไรให้ขออีกเหรอคะเนี่ย หนูคิดว่าอานงเอาสมบัติคุณย่าไปโปรยเล่นหมดแล้วซะอีก"
นงสินีกรีดร้องเสียงดังลั่นบ้าน เมื่อถูกคนอายุน้อยกว่าพูดแทงใจดำอย่างไม่ไว้หน้า จนแม้แต่นฤนาถยังต้องยกมือขึ้นมาอุดหูด้วยความรำคาญ
"หยุดร้องแรกแหกกระเชอสักทีเถอะแม่นง ตอนที่แกเกิดมาฉันไม่ได้ให้แกกินนกหวีดแทนข้าวนะ"
"คุณแม่!"
"แล้วนี่ไปไหนมา ทำไมกลับมาเสียมืดค่ำ" นฤนาถเอ่ยถามบุตรสาวพร้อมส่งสายตาตำหนิ
"โถ่ หนูก็ต้องออกไปพบปะเพื่อนฝูงของหนูบ้างสิคะคุณแม่ จะให้นั่งอุดอู้อยู่ที่บ้านทั้งวันคงไม่ไหว นี่ดีนะคะที่พวกเราไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหลักแล้ว เลยไม่ต้องคอยปวดหัวเข้าไปแก้ปัญหาที่บริษัทเหมือนเมื่อก่อน"
ผู้เป็นแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่รู้สึกระเหี่ยใจ เพราะถ้าหากว่าไม่จวนตัวจริงๆ ท่านคงไม่มีทางขายหุ้นในมือของตนให้คนอื่นอย่างเด็ดขาด แต่จะให้ถือไว้เพื่ออะไรเล่า ในเมื่อคนบ้านนี้ไม่มีความสามารถในการบริหารธุรกิจเลยสักนิด