Chapter 5 แค่คนขับรถ
เจ้าสัวปราณยิ่งแปลกใจหนัก ไม่คิดว่าเพียงข้ามคืนมิราจะจัดการทุกอย่างได้เร็วขนาดนี้ แน่นอนว่าเมืองกาญจน์ไม่ไกลจากกรุงเทพ ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง แต่แปลกใจที่เขาไม่รู้เรื่องมาก่อน
“ปู่ไม่ยักรู้ เราติดต่อที่นั่นเมื่อไรกัน”
“ถ้ารู้ก่อน มันจะไปสนุกอะไรค่ะ คนอย่างมิราอยากรู้อะไรก็ต้องรู้ หวังว่าปู่เล็กจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับช่วงเวลาที่มิราขอเอาไว้” หญิงสาวดักทางเอาไว้ก่อน
“โอเค” ชายสูงวัยหัวโต๊ะอาหารบอกออกไป เห็นมิรามุ่งมั่นอย่างนี้น่าจะเป็นเรื่องดี และเขาก็เชื่อมือปถวี แต่ยังไม่ทันที่เจ้าสัวจะได้พูดอะไรต่อ สาวใช้เดินเข้ามาขัดจังหวะ เชิญหญิงสาวออกไป
“ขอประทานโทษค่ะท่านเจ้าสัว” สาวใช้บอกอย่างนอบน้อม ก่อนที่จะหันไปบอกกับคุณหนูใหญ่ของบ้าน แม้เธอจะเป็นคนที่อยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่กิตติศัพท์ของคุณหนูคนนี้ก็เลื่องลือให้เธอกลัวทุกครั้งที่เข้าใกล้
“คุณมิราค่ะ รถที่เหมืองมาถึงแล้วค่ะ”
หญิงสาวพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงรับรู้ก่อนจะเชิดหน้าตอบ “อืม...ให้คนขับรถมายกกระเป๋าฉันออกไปด้วย”
สาวใช้หน้าเจื่อน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและไม่กล้าตอบ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยกเอง
“เดี๋ยวดิฉันยกออกไปให้เองค่ะ” สาวใช้รับอาสากุลีกุจอเข้ามาช่วยยก
“ไม่ต้อง เธอเป็นผู้หญิง ไปบอกคนขับรถมายกนั่นแหละ” หญิงสาวตอบกลับเสียงหนัก
คราวนี้สาวใช้ลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ แม้ว่าเธอจะเจอปถวีเพียงครั้งเดียวและวันนี้เขาจะอยู่ในชุดเก่าซีด แต่เธอก็จำได้แม่นว่าคนที่ขับรถของไร่มารับมิราต้องเป็นเขา สายตาคมๆ ของเขาทำให้ผู้หญิงเกือบทั้งโลกต้องหลอมละลาย เพียงแค่เขาเหลือบสบตาพร้อมกับริมฝีปากหยักยกสูงยิ้มน้อยๆ
แต่เพราะคำสั่งของคุณหนูใหญ่ของบ้าน เธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขัด
“เอ่อ...ค่ะ” สาวใช้ตอบรับ ทั้งที่อึกอัก สบตาเจ้าสัวเหมือนขอความช่วยเหลือ
“ทำตามที่คุณมิราบอกนั่นแหละ” เจ้าสัวสำทับ
“ค่ะ” หญิงสาวโค้งรับคำ และก้าวออกไป
“กินอะไรก่อนไหมมิรา” เจ้าสัวถามหลานสาว
มิราหันกลับไปมองปู่เล็กของเธออีกครั้ง “ไม่ดีกว่าค่ะ มิราไม่อยากให้ถึงที่นั่นสาย ไม่ชอบเดินทางท่ามกลางแสงแดด”
“แต่กว่าจะถึงที่นั่นก็สายมากนะ เราควรจะหาอะไรรองท้องเสียก่อน” ชายสูงวัยบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“ไม่เป็นไรค่ะ มิราดูแลตัวเองได้”
เจ้าสัวพยักหน้าหงึกๆ ระอากับความรั้นเอาแต่ใจของหลานสาว แต่ทันทีที่เขาเหลือบเห็นคนขับรถของเหมืองที่มารับหลานสาวเดินเข้ามา เจ้าสัวปราณก็แอบซ่อนยิ้ม ไม่รู้ว่าเมื่อคนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่เขาเห็นทำให้รู้ว่าเป็นลางดีของเขาถ้าหากปถวีมารับเธอด้วยตัวเอง
ปกติปถวีงานยุ่งมาก และไม่บ่อยที่เขาจะยอมเข้ากรุงเทพ เพราะบ่อยครั้งที่ถูกบังคับให้เข้ามาแต่ปถวีก็หาทางหลีกเลี่ยงทุกครั้ง แม้กระทั่งวันที่กำหนดนัดเซ็นรับมรดกตามแผนที่ถูกกำหนดเอาไว้ ชายหนุ่มยังปฏิเสธที่จะเข้ามาและหาข้ออ้างต่างๆ นานาที่จะไม่ช่วยเรื่องนี้ จนเขาต้องขอร้องไห้ภรรยาช่วยพูดอีกแรง
“สวัสดีครับท่านเจ้าสัว นายเหมืองปถวีสั่งให้ผมมารับคุณหนูครับ” ปถวียกมือไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม พร้อมกับรายงานออกไป เพียงประโยคเดียวของเขาก็เปิดและปิดทุกคำถามและไขข้อสงสัยของเจ้าสัวได้ทุกข้อ
มิราเหลือบสายตามองชายหนุ่ม ปากของเธอยกขึ้นแหยๆ ผู้ชายผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวสกปรก แถมเสื้อผ้ายังเป็นเสื้อเก่าขาดๆ
ปถวีตั้งใจแต่งชุดแบบนี้มารับเธอ เพราะอยากรู้จักคุณหนูของบ้านคนนี้ หลังจากที่เขาได้กลับไปนั่งคิดทบทวนและตกลงใจที่จะช่วยเหลือ บุญคุณที่เจ้าสัวมีให้ทั้งหมดเทียบกับเรื่องที่ท่านขอก็เพียงเศษเสี้ยว
“ไหนครับ ของที่จะให้ผมยกไป” ชายหนุ่มถามและมองหาพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหากระเป๋า
มิราชักมือหนีบหูกระเป๋าแน่น เริ่มหวงของที่เธอถือมาขึ้นทันที
เธอมองคนขับรถของเหมืองที่มารับเธออย่างสำรวจ ผู้ชายรูปร่างดีสมส่วนในชุดเสื้อผ้าสกปรกมอซอ แต่แววตาคมกริบคู่นั้น ก็ทำให้เธออดแย้งในใจกับตำแหน่งของเขาไม่ได้
“ไม่เป็นไร! เดี๋ยวฉันบอกให้คนในบ้านยกออกไป” หญิงสาวบอกเสียงแข็ง ถึงอย่างไรเธอก็ยังมองว่าเนื้อตัวของเขาสกปรกเกินกว่าที่จะยอมให้สัมผัสกับกระเป๋าราคาแพงของเธอ
“ผมหมดหน้าที่แล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบ ไม่มีหางเสียงเหมือนคนเป็นลูกน้องทำกัน
เจ้าสัวปราณยังนั่งนิ่งไม่สนใจ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
มิราเชิดหน้ามองอย่างไม่พอใจ “นายไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร เวลาพูดกับเจ้านายต้องให้มีหางเสียงทุกครั้ง ก็อย่างว่าคนบ้านป่าเมืองเถื่อนจะได้รับการอบรมได้อย่างไร หัวหน้าที่เหมืองก็คงไม่ต่างกัน” มิราพาดพิงไปถึงปถวี
“แคกๆๆ”
เสียงเจ้าสัวสำลักกาแฟ เรียกความสนใจให้มิรากลับไปมองปู่เล็กของเธออีกครั้ง
“ปู่เล็กก็เหมือนกัน คงจะให้ท้ายกันจนชิน”
“อืม...ปู่ยอมรับผิด ยอมรับเต็มประตูว่าไม่เคยได้ไปยุ่งเกี่ยวกับงานที่เหมืองสักครั้งปล่อยให้ปถวีบริหารจัดการเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม ที่ผ่านมาก็เพียงรอรับผลกำไรเท่านั้น”
“ผลประโยชน์ที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นหรือคะ” หญิงสาวถามกลับทันที
คราวนี้คนยืนฟังชักสีหน้าไม่พอใจ หันไปสบตาเจ้าสัวนิดหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเจ้าสัวพยักหน้าให้เป็นเชิงขอโทษแทนหลานสาว ก็ทำให้เขานึกถึงคำพูดของเจ้าสัววันนั้น
คำขอร้องวิงวอนที่ท่านเจ้าสัวขอเขาไว้ครั้งสุดท้าย ให้เขาช่วยดัดนิสัยหลานสาวคนนี้ให้ เห็นอย่างนี้เขาก็มองออกว่าหลานสาวสุดหวงของเจ้าสัวคนนี้เกินเยียวยา
ขืนปล่อยให้น้าสาวของเขารับมือคนเดียว ผู้หญิงมองโลกในแง่ดีอย่างนั้นคงจะไม่สามารถสู้รบปรบมือกับหลานสาวเจ้าสัวคนนี้ได้ ผู้หญิงอย่างนี้ต้องเจอกับคนเถื่อนๆ อย่างเขา