บทที่ 4 ลางร้าย
วันเสาร์อาทิตย์นี้เซลีนไม่ต้องไปทำงาน เธอตั้งใจจะแนะนำลูกชายให้รู้จักกับพี่สาวของเธอที่อยู่เมืองไทย แต่เนื่องจากเวลาที่เมืองไทยกับที่นี่ต่างกันประมาณ 6 ชั่วโมง เซลินจึงคาดการณ์ว่าตอนนี้ที่ไทยก็น่าจะเป็นตอนบ่ายสี่โมงเย็น ซึ่งน่าจะเป็นช่วงที่พี่สาวของเซลีนว่างพอดี
“แดนนี่ครับ มานั่งกับหม่ามี้ตรงนี้ม่ะ หม่ามี้มีเรื่องจะบอกลูก หม่ามี้เป็นคนไทย และหม่ามี้ก็มีพี่สาวหนึ่งคน ชื่อว่าอานตี้ฟ้านะจ้ะ ในอนาคตหม่ามี้ก็จะพาแดนนี่ไปเยี่ยมอานตี้ฟ้าที่เมืองไทยด้วยนะครับ แต่วันนี้เรายังไปไม่ได้ เราเลยจะวิดีโอคอลแทน ลูกอยากทำความรู้จักอานตี้ฟ้าไหมครับ”
เซลีนเรียกลูกชายให้มานั่งกับตนเองที่โซฟาในห้องรับแขก พร้อมกับเล่าเรื่องให้เด็กชายฟัง เพื่อเขาจะได้เข้าใจความสัมพันธ์ในครอบครัวของเธอมากยิ่งขึ้น
“หม่ามี้ฮะ ประเทศไทยอยู่ไกลมากไหมฮะ แล้วอานตี้ฟ้าใจดีไหมฮะ แล้วผมมีแนนนี่ไหมฮะ” แดนนี่ถามด้วยความสงสัย
“ประเทศไทยอยู่ไกลจากที่นี่มากเลยลูก อานตี้ฟ้าก็ใจดี แต่แนนนี่ อยู่บนสวรรค์นะครับ แดนนี่ไปไทยก็จะเจอแต่อานตี้ฟ้า แต่ว่าลูกจะคุยกับอานตี้ฟ้าไม่เข้าใจนะครับ เพราะพวกเราคุยกันคนละภาษา ดังนั้นถ้าแดนนี่อยากคุยกับอานตี้ฟ้ารู้เรื่อง แดนนี่ต้องฝึกพูดภาษาไทยกับหม่ามี้ทุกวัน โอเคไหมคะ” เซลีนตอบคำถามลูกชายด้วยความเอ็นดู พลางลูบหัวเด็กน้อยเบา ๆ
“โอเคฮะ” แดเนียลพยักหน้ารับอย่างรู้งาน
“หม่ามี้ว่า...เราโทรหาอานตี้ฟ้ากันเลยดีกว่าเนาะ”
หลังจากที่รอสายไม่นาน ช่อฟ้า พี่สาวของเซลีนก็รับสาย พี่สาวของเซลีนชื่อว่าช่อฟ้า ธรรมศิลป์ อายุ 56 ปี อาศัยอยู่ที่จังหวัดน่าน แต่งงานกับสามีมาหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่มีลูกด้วยกันเช่นเดียวกับเธอ พี่สาวเธอรู้เรื่องที่เธอทำเรื่องรับลูกบุญธรรมเป็นอย่างดี เพราะเซลีนกับพี่สาวติดต่อกันทางไลน์เกือบทุกวันเป็นประจำอยู่แล้ว
ช่อฟ้า “ฮัลโหล เป็นจะไดสบายดีก่อหล้า” (สวัสดีจ๊ะ เป็นอย่างไรบ้าง สุขสบายดีไหม)
เซลีน “สะบายดี เอ้ยโล๊ะเป็นจะไดผ่อง” (สบายดีจร้า แล้วพี่ฟ้าละสบายดีไหม”
ช่อฟ้า “สบายดีก่า หง่อมหาขนาด ไหนหลานหน้อยเอ้ยโล๊ะ”
(สบายดี คิดถึงมาก ไหน ๆ เอาหลานมาให้ดูหน่อยชิ)
“แดนนี่ครับ มานี่เร็ว” เซลีนเรียกแดนนี่ให้เข้ามาในกล้อง แล้วบอกเด็กชายให้สวัสดีกับพี่สาว
“สวัสดีครับแอนตี้ฟ้า ทำตามหม่ามี้นะครับ”
เซลีนสอนให้เด็กชายไหว้แบบไทย ๆ โดยการทำให้ดูเป็นตัวอย่างและออกเสียงภาษาไทยให้เขาพูดตาม
โชคดีว่าแดนนี่เป็นเด็กหัวไวเพราะสอนแป๊บเดียวเด็กชายก็สามารถไหว้และออกเสียงได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว สมกับเป็นลูกเทพจริง ๆ
ช่อฟ้า “โอ้ยเนาะ อะหยังจะน่าฮักป๋านนั้น พอโล๊ะ หน้าต๋าก็หล่อขนาด ป้าไค๋กอดแต้ละ บ่าแดจะพามาแอ่วหานะ (โอ้ยเด็กอะไรน่ารักมาก ดูชิ หน้าตาก็หล่อเหลา ป้าอยากกอดจริง ๆ เเล้วเมื่อไหร่จะพามาเยี่ยมละ)
เซลีน “ ท่าจะแหมเมินละเอ้ย น้องต้องไปโรงเรียน ค่าใช้จ่ายก่อแปงขนาด ขอเวลาเก็บเงินแหมหน่อยก่อนเต๊อะ (คงอีกนานละคะ น้องต้องไปโรงเรียน ค่าใช้จ่ายก็แพง ขอเวลาเก็บเงินอีกหน่อย
ช่อฟ้า “บ่าเป็นหยัง ว่างบ่าแด พร้อมบ่าแด ก็พามาแอ่วหาเอ้ยจิ่ม บ่าดีลืมโทรมาหาทุกติ๊ดกะแล้วกัน ( ไม่เป็นไร ว่างเมื่อไหร่ พร้อมเมื่อไหร่ ค่อยพามาเยี่ยมพี่ก็ได้ ขอแค่อย่าลืมโทรมาหาบ่อย ๆ อาทิตย์ละครั้งก็ได้)
คุยกันอยู่นานพอสมควรเซลีนก็วางสาย เธอสัมผัสได้ถึงความสุขที่แผ่ออกมาจากพี่สาว แม้จะคุยกันไม่เข้าใจระหว่างป้ากับหลาน แต่ทั้งสองฝั่งก็พยายามสื่อสารกัน
แดนนี่บอกกับพี่สาวเธอว่าเขาจะหัดพูดภาษาไทยให้ได้ไว ๆ เพราะเขาอยากคุยกับอานตี้ฟ้าได้ เขามีเรื่องเล่ามากมายที่อยากจะเล่า และเวลาที่เขาไปเมืองไทย เขาอยากคุยกับอานตี้ฟ้า
เซลีนจึงเริ่มสอนภาษาไทยให้กับลูกชายตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
โดยเธอจะพูดกับเด็กชายเป็นภาษาไทย สอนเป็นคำ ๆ ส่วนมากก็เป็นคำที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้แดนนี่คุ้นชินกับภาษาไทยให้มากที่สุด
*****
สามเดือนผ่านไป
เวลาผ่านไปเกือบ 3 เดือนแล้วที่ครอบครัวของเซลีนและเบนจามินได้เพิ่มสมาชิกใหม่ที่น่ารักน่าชังอย่างแดนนี่เข้ามาอยู่ในครอบครัว แต่ทั้งเซลีนกับเบนจามิน ก็ยังคงอยู่ในช่วงปรับตัวกับสถานะของความเป็นพ่อ เป็นแม่อยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าทั้งสองคนก็ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เพราะแดนนี่ ดูสดใสร่าเริงกว่าเดิม
ตอนนี้เด็กชายเริ่มดูเหมือนกับเด็กห้าขวบขึ้นมาอีกนิดแล้ว และเบนจามินเหมือนจะสนิทกับแดนนี่มากเป็นพิเศษ อาจจะเพราะว่าทั้งคู่เป็นผู้ชายเหมือนกันนั่นเอง ทั้งความชอบ เรื่องที่สนใจ สิ่งที่พูดคุยกันนั้น ก็ดูเหมือนจะถูกคอกันไปเสียหมด
ช่วงเย็นถ้าเบนจามินมีเวลาว่าง เขามักจะชวนแดนนี่ไปเล่นฟุตบอลด้วยกันที่สวนหลังบ้าน แดนนี่ก็ชอบที่จะเล่นฟุตบอลกับเบนจามิน บางวันเซลีนกับเบนจามินก็จะพาแดนนี่ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้าน แดนนี่ก็จะได้เล่นกับเพื่อนใหม่ด้วย แต่เห็นแบบนี้แดนนี่เป็นเด็กขี้อ้อนมาก ๆ เซลีนใจละลายทุกครั้งที่ถูกแดนนี่อ้อน
ในตอนต้นเดือน เจ้าหน้าที่ของรัฐได้มาตรวจเยี่ยมครอบครัวของเซลีนอีกครั้ง ผลการประเมินเป็นไปตามคาด เจ้าหน้าที่ของรัฐพอใจกับความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวนี้เป็นอย่างมาก
“มิสซีสคลิฟฟอร์ดค่ะ เราพอใจกับความสัมพันธ์ของพวกคุณมากทีเดียว แต่ในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ ทางรัฐจะสุ่มมาตรวจโดยไม่แจ้งให้คุณทราบล่วงหน้านะคะ ซึ่งจะเป็นการสุ่มตรวจเยี่ยมครั้งสุดท้ายค่ะ” เจ้าหน้าที่บอกกับเซลีน
“ยินดีเลยค่ะ ทางรัฐสามารถมาเยี่ยมเราได้ตลอดเวลา แดนนี่เป็นเด็กน่ารักมาก พวกเรามีความสุขและรักแดนนี่มากเช่นกัน”
เซลีนตอบด้วยสีหน้าที่มีความสุขเหลือล้น แม้ตอนนี้ เธอยังไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับธุรกิจที่เธอคิดจะทำในอนาคตเลยแม้แต่น้อย น้ำทิพย์สวรรค์ก็ยังอยู่ในแหวนมิติ นั่นก็เพราะตอนนี้เธอให้ความสนใจไปที่การดูแลแดนนี่ กับการปรับตัวในฐานะของแม่ เซลีนตั้งใจจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาแห่งคำว่าครอบครัวให้ได้มากที่สุด
เดือนนี้เป็นเดือนมิถุนายน ตรงกับเดือนเกิดของเซลีนและแดนนี่ เซลีนจึงพาแดนนี่ไปทำบุญที่วัดไทยพุทธารามในเมืองอะเบอดีน วัดไทย พุทธารามเป็นวัดแห่งเดียวในเมืองนี้ แต่ถึงแม้ว่าจะบอกว่าเป็นวัด ที่นี่ก็ไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างที่บ่งบอกว่าเป็นวัดเหมือนที่ไทยเลย วัดไทยพุทธารามเป็นเพียงตึกสองชั้น เหมือนบ้านเรือนทั่วไปของที่นี่ แต่ข้างในนั้นกลับตกแต่งให้มีองค์ประกอบเหมือนกับวัดที่เมืองไทย
และถึงแม้ว่าจะไม่มีพระประธานองค์ใหญ่ที่อยู่ในโบสถ์ แต่ก็มี พระประธานเป็นพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง 1 เมตร มีพระสงฆ์จำวัดที่นี่ 3 รูป คนไทยที่นี่จึงมักมาร่วมทำบุญกันที่วัดนี้กันจนเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
หลังจากที่ทำบุญเสร็จ เซลีนก็พาแดนนี่มาทำบุญถวายผ้าไตร เขาชอบที่หยอดเหรียญลงบนบาตรตามวันเกิด เสียงดังกรุ้งกริ้ง แดนนี่หยอดเหรียญลงไปพลางหันมาหัวเราะชอบใจ
หลวงพ่อที่รับผ้าไตรเห็นแดนนี่ก็รู้สึกถูกชะตา ท่านเอ็นดูแดนนี่มากถึงขนาดขอดูดวงให้เซลีนและแดนนี่
“แดนนี่ครับ ไหว้ท่านก่อนลูก กราบหลวงตาก่อน ท่านจะให้พรและดูดวงให้” เธอบอกให้แดนนี่กราบหลวงพ่อ
“ชื่ออะไรนะเราหึ” หลวงพ่อถามแดเนียลออกไป
“สวัสดีครับ ผมชื่อว่าแดนนี่ครับ” แดนนี่ไหว้แบบไทยที่เซลีนเคยสอนไว้ พร้อมกับบอกชื่อตนเอง
“หนูชื่อช่อผกาค่ะ หลวงพ่อเรียกว่า ช่อ ก็ได้ค่ะ” เซลีนบอกหลวงพ่อออกไป
“ดี ๆ เข้ามาใกล้ๆ หลวงตามา หลวงตาจะให้พร อ้าวแล้วนี่เกิดวันที่เท่าไหร่กันละ มีเวลาตกฟากไหม” หลวงพ่อถามพร้อมกับกวักมือเรียกแดนนี่ให้เข้าไปใกล้ ๆ อีกหน่อย
“มีค่ะหลวงพ่อ น้องแดนนี่เกิดเวลา 6.25 น. วันที่ 14 มิถุนายน 2016” เซลีนบอกวันและเวลาเกิดของแดนนี่ให้หลวงพ่อฟัง
หลวงพ่อหันไปขีดเขียนอะไรสักอย่างลงบนสมุดขนาดพกพาและเปิดตำราที่ค่อนข้างเก่า ที่ดูเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน ผ่านไปไม่นานหลวงพ่อก็หันมาบอกเซลีน ที่นั่งรอฟังคำทำนายของท่านอยู่ด้วย สีหน้าเรียบ ๆ
“หนุ่มน้อย ลูกของโยมช่อน่ะ มีดวงชะตาที่ดีมากนะ มีคนอุปถัมภ์ เป็นที่รักของคนอื่น ถึงแม้ว่าจะลำบากหน่อยตอนที่เกิด หลังจากผ่านเคราะห์ไปแล้ว ลูกของโยมจะมีชีวิตที่รุ่งโรจน์เลยละ แต่ให้ระวังช่วงอายุ 20 ปี นะโยม อาจจะมีจุดเปลี่ยนของชีวิตอีกครั้ง ขอให้ตั้งสติและระลึกถึงความดีอยู่เสมอ หมั่นทำบุญกุศลไว้นะโยม ถ้าให้ดีก็ให้เขาบวช เขาจะได้ผ่อนหนักเป็นเบาได้” หลวงพ่อกล่าวกับเซลีนให้ฟังถึงดวงชะตาของแดนนี่ ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง “แล้วโยมช่อล่ะ จะดูดวงไหม”
“ดูค่ะหลวงพ่อ ไหน ๆ ก็ดูดวงให้แดนนี่แล้ว ดูไว้ก็ไม่เสียหลาย”
เซลีนยิ้มให้หลวงพ่อก่อนจะ บอกวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของเธอให้กับหลวงพ่อไป
หลวงพ่อก็ทำเช่นเดิม ขีดเขียนอะไรลงบนสมุดพก แต่ครั้งนี้ผ่านไปกว่าสิบนาทีแล้ว เซลีนยังไม่เห็นว่าหลวงพ่อจะหยุดเขียนและหยุดเปิดตำราเสียที
ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เซลีนเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะมันก็ถือว่านานแล้ว เธอรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก จนแดเนียลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็สัมผัสได้ ว่าแม่ของเขาดูกังวลไม่น้อย
ทั้งสองมองดูหลวงพ่อก็ยังไม่หยุดขีดเขียนและทำนายดวงชะตาให้เธอชะที จนเวลาผ่านมาเกือบครึ่งชั่วโมง
“หลวงพ่อคะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอถามหลวงพ่อออกไป
“โยมช่อ อาตมายังอ่านชะตาของโยมไม่ได้เลย มันเหมือนมีบางสิ่งมาบดบังไว้ อาตมาไม่เคยเห็นดวงชะตาของใครเป็นแบบนี้มาก่อน มันมี เส้นชะตาสองสาย เส้นหนึ่งขาด อีกเส้นหนึ่งก็ดูไม่ชัดเจน อาตมาสามารถบอกได้อย่างหนึ่ง ว่าให้ระวังอุบัติเหตุและการเดินทาง จะมีเลือดตกยางออก แล้วมันจะเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของโยมช่อ อาตมาขอให้โยมช่อมีสติ ตั้งมั่นในความดี อาตมาขออวยพรให้โยมช่อจงมีแต่โชคดีนะ” หลวงพ่อทำนายดวงชะตาให้เซลีนฟัง
และแม้เธอจะงงเล็กน้อยกับสิ่งที่หลวงพ่อบอกกับเธอมา แต่เซลีน ไม่มีเวลามานั่งกังวลมากนัก เพราะเบนจามินได้โทรศัพท์เข้ามาพอดี เธอจึงบอกลาหลวงพ่อแล้วพาแดนนี่ไปขึ้นรถเพื่อไปตามนัดกับหมอฟันทันที
หลังกลับมาจากการพาแดนนี่ไปหาหมอฟัน ทั้งสามคนก็กลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย ในตอนเย็นระหว่างที่นั่งดูรายการทีวีกันอยู่ในห้องนั่งเล่น เบนจามินก็บอกข่าวดีกับทั้งสองคนแม่ลูกว่า
“หม่ามี้ แดนนี่ วันนี้แด๊ดดี้มีข่าวดีมาบอกด้วยละ ไหนใครอยากฟังข่าวดี ยกมือขึ้น” เบนจามินยกมือพร้อมมองไปที่ภรรยาและลูกชายที่มองเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นเช่นกัน เซลีนกับแดนนี่ต่างก็ยกมือขึ้นทันที
“แด๊ดดี้ฮะ ข่าวดีอะไรเหรอฮะ หรือแด๊ดดี้ใจดีจะซื้อหุ่นยนต์ของเล่นตัวใหม่ให้ผมเหรอฮะ” แดนนี่ถามออกไปแบบอ้อน ๆ พร้อมกับเข้าไปนั่งบนตักของเบนจามิน
“เจ้าเด็กเห็นแก่ของเล่น แด๊ดดี้มีข่าวดีมากกว่านั้นอีก รับรองว่าลูกต้องชอบแน่นอน แดนนี่จะดีใจไหมครับ ถ้าลูกได้ไปเยี่ยมบ้านของพี่มิกกี้เม้าส์ แด๊ดดี้หมายถึงบ้านจริงๆ ของพี่มิกกี้เม้าส์นะลูก” เบนจามินถามและลูบหัวแดนนี่ไปด้วยความอ่อนโยน
“บ้านพี่มิกกี้เม้าส์หรือฮะ ว้าว แด๊ดดี้จะพาผมกับหม่ามี้ไปเที่ยวบ้านพี่มิกกี้เม้าส์เหรอฮะ ไปฮะ ผมอยากไป อะเมชิ่ง แมทธิวต้องอิจฉาผมแน่ ๆ เลย” แดนนี่ตอบกลับเบนจามินด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น พร้อมกับทำตาโต
“แด๊ดดี้โชคดีจับรางวัลชนะได้แพคเก็จท่องเที่ยวมา 3 คืน 4 วัน ไหน ๆ ก็เป็นเดือนเกิดของแดนนี่กับหม่ามี้ แด๊ดดี้เลยคิดว่าเราน่าจะพากันไปเที่ยวที่ดิสนีแลนด์ที่ฝรั่งเศส แต่ว่าแดนนี่ต้องรอให้ปิดเทอมก่อนนะครับ อีกแค่ ไม่กี่เดือนเอง รอหน่อยเนอะ”
เบนจามินหันมาอธิบายให้เซลีนฟังด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม รู้สึกมีความสุขมาก
ในเช้าวันจันทร์
เซลีนเช็กพาสปอร์ตและเอกสารของทุกคน ปรากฎว่าพาสปอร์ตไทยและอังกฤษของเธอหมดอายุ เธอจะต้องไปทำพาสปอร์ตไทยใหม่ที่ลอนดอน
ในการเดินทางเข้าประเทศฝรั่งเศส เซลีนไม่ต้องทำวีซ่าถ้าเธอเข้าประเทศด้วยพาสปอร์ตอังกฤษ แต่ว่าการจะทำพาสปอร์ตอังกฤษต้องอ้างอิงพาสปอร์ตไทยด้วย ดังนั้นเซลีนจึงตัดสินใจติดต่อสถานทูตไทยในลอนดอน เพื่อนัดหมายทำการต่อพาสปอร์ตไทยใหม่ และเธอได้วันนัดที่จะไปทำพาสปอร์ตเป็นวันจันทร์หน้า
แผนของเธอก็คือเธอจะเดินทางไปกลับลอนดอนโดยไม่ค้างคืนที่นั่น เพราะเธอเดินทางคนเดียว และไม่อยากอยู่ห่างสองพ่อลูกนานเลยตัดสินใจเช่นนี้ ซึ่งเบนจามินเห็นด้วยมาก เขาเป็นห่วงไม่อยากให้ภรรยาต้องไป ค้างคืนคนเดียวในที่ต่างถิ่น
ก่อนเดินทางหนึ่งวัน เซลีนบอกกับเบนจามินว่าเธอไม่อยากไปลอนดอนคนเดียว อยากชวนเบนจามินและแดนนี่ไปด้วย แต่เบนจามิน ไม่อยากเลื่อนงานของลูกค้ารายใหม่ เขาจึงเอ่ยปฏิเสธออกไป
*****
และแล้ววันที่เซลีนต้องเดินทางก็มาถึง แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่อยากไปเสียอย่างนั้น เธอรู้สึกใจหายและเป็นกังวลอย่างบอกไม่ถูก ในอกของเธอเหมือนกับกำลังจะโดนโจมตีด้วยความเศร้าอย่างหนัก
เช้าวันนั้นเธอเดินไปส่งแดนนี่ไปขึ้นรถโรงเรียน กอดและหอมแดนนี่เหมือนกับจะไม่ได้เจอกับเขาอีก
“หม่ามี้เป็นอะไรรึเปล่าฮะ” แดนนี่อดถามเซลีนไม่ได้ เพราะเธอกอดเขาจนแน่น แถมยังหอมเขาไม่หยุดอีกต่างหาก
“เปล่าจ้ะ” เซลีนตอบ
“หม่ามี้ดูเศร้าจังฮะ” แดนนี่ถาม
“นั่นสิ สงสัยกลัวคิดถึงหนุ่มน้อยของหม่ามี้ล่ะมั้ง” เธอลูบหัวเด็กชาย ก่อนจะจุ๊บหัวเขาอีกครั้ง
“หม่ามี้รีบกลับมานะฮะ ผมจะรอหม่ามี้” แดนนี่ยิ้มแล้วโบกมือให้ เซลีน ก่อนจะวิ่งขึ้นรถโรงเรียนไป
เซลีนโบกมือตอบกลับเด็กชาย พร้อมเอามือปิดปากเอาไว้อย่าง ใจหาย เธอรู้สึกเหมือนใจจะขาด แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
เบนจามินอาสาทำหน้าที่เป็นคนขับรถไปส่งเซลีนที่สนามบินด้วยตัวของเขาเอง เมื่อรถจอดที่สนามบิน เขาก็เป็นคนหยิบสัมภาระให้ภรรยา
“ขอบคุณค่ะ” เซลีนบอกสามีพร้อมกอดแขนเขาเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน
“คุณโอเคนะ” เบนจามินถามตอนที่ทั้งคู่เดินไปถึงหน้า security check point แล้ว เซลีนมองหน้าสามีแล้วโผเข้ากอดเขาจนแน่น
“ที่รัก เป็นอะไรไปครับ กอดผมชะแน่นเลย” เบนจามินออกปากแซวเซลีน
“.....” เซลีนไม่ได้ตอบอะไร แต่มุดหน้าเข้ากับอกของเขาแล้วกอดเขาอยู่เช่นนั้น
“อะไรกัน แค่ห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง นี่ถึงกับขนาดทนคิดถึงผม ไม่ไหวเลยเหรอ คืนนี้ที่รักก็กลับบ้านแล้ว ผมกับแดนนี่จะรอคุณอยู่ที่บ้านไง” เบนจามินเอ่ยแซวเซลีนอีกที
“ฉันแค่อยากกอดคุณ แด๊ดดี้ หม่ามี้ไม่ไปได้ไหมคะ กลับบ้านกันเถอะ” เซลีนตอบเบนจามินทั้งที่ยังกอดจนแน่น ไม่ยอมปล่อยสามีชะที
“ที่รัก คุณโตจนเป็นคุณแม่แล้ว ยังงอแงเป็นเด็ก ๆ อีกเหรอฮึ รีบไปเกทได้แล้วครับเดี๋ยวตกเครื่อง ดูชิ เขาไฟนอลคอลแล้วนะ” เบนจามินบอกกึ่งหยอกล้อ
เซลีนทำหน้ายู่เล็กน้อยก่อนที่จะยอมผละออกไปเพื่อเดินไปขึ้นเครื่องและสัญญาว่าจะโทรหาทันทีที่ไปถึงลอนดอนแล้ว
*****
หลังจากที่เธอมาถึงลอนดอน ระหว่างที่เธอนั่งรถไฟไปที่สถานทูตไทย เพื่อทำการต่อพาสปอร์ตใหม่ เซลีนก็ได้โทรศัพท์หาเบนจามิน เพื่อบอกว่าเธอถึงลอนดอนแล้วกำลังจะเดินทางไปสถานทูต แล้วจะโทรหาเบนจามินอีกทีก่อนที่ขึ้นเครื่องขากลับ
หลังจากทำธุระจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอจึงได้เดินไปขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปที่สนามบินอีกครั้ง เซลีนจำได้ว่าตอนขามา เธอเห็นน้ำหอมสำหรับผู้ชายในสนามบิน เธอจึงคิดจะซื้อน้ำหอมที่สนามบินไปฝากเบนจามินก่อนกลับด้วย
แต่ระหว่างนั่งรถไฟมาแค่ไม่กี่สถานี ก็มีกลุ่มนั่งท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนเกือบยี่สิบคนขึ้นมาในขบวนรถไฟ
พวกนักท่องเที่ยวเหล่านี้ส่งเสียงดังและตะโกนคุยกันโหวกเหวกโวยวาย ไม่มีความเกรงใจคนอื่นเลยแม้แต่น้อย เธอสังเกตเห็นผู้ร่วมขบวนรถไฟมองมาทางกลุ่มท่องเที่ยวบ่อยครั้ง แต่พวกเขาก็ยังทำตัวไม่มีมารยาท และส่งเสียงดังอยู่แบบนั้น
ผ่านไปประมาณ 5 นาที เซลีนสังเกตเห็นว่ามีหญิงชราคนหนึ่งน่าจะเป็นชาวจีนมากับกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ เซลีนจึงลุกขึ้นสละที่นั่งของเธอให้กับหญิงชราคนนั้นได้นั่งแทน ส่วนเซลีนก็ไปยืนอยู่ตรงกลางขบวนรถไฟแทนหญิงชราคนนั้น เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนเหล่านี้ไม่ยืนอยู่เฉยๆ มีการโชว์รูปภาพต่าง ๆ ในมือถือให้พวกเดียวกันได้ดู ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นขนาดหย่อม ๆ บางคนที่อยู่ไกลออกไป ก็ขยับตัวเข้ามาเพื่อจะได้สามารถมองดูรูปเหล่านั้นได้ถนัดตา พวกเขาดันเซลีนให้ถอยออกไป จนร่างของเซลีนไปติดกับประตูทางเข้าออก
เพียงแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มันเป็นเพียงเสี้ยววินาที
หลังจากที่เสียงจากระบบแจ้งว่ารถไฟมาถึงสถานีปลายทางสนามบินแกตวิคหยุดลง ประตูรถไฟก็เปิดออก ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในรถไฟพร้อมกระเป๋าสะพายหลัง เขาสวมเสื้อคลุมแจ็คเก็ตที่ มีฮู้ดสีดำ และสวมหน้ากากผ้าสีดำปกปิดใบหน้าหายไปเกือบครึ่ง
ยังไม่ทันที่เซลีนจะได้ตั้งตัวอะไร ชายคนนั้นกลับชักมีดที่มีขนาดประมาณหนึ่งไม้บรรทัดออกมาจากกระเป๋าด้านหลัง แล้วแทงเข้าไปที่ท้องของเซลีนทันที
“สวบ ๆ”
เสียงมีดแทงเข้าผ่านเสื้อผ้าและเนื้อหนังของเซลีนแบบไม่ยั้งถึง สองครั้งสองครา เซลีนมองหน้าชายปริศนาด้วยภายในหัวที่ล่องลอย เธอรู้สึกเจ็บจนชาและช็อคมาก เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเหลือเกิน
“อีพวกลิงเหลือง ไอ้พวกหัวดำ ไปตายซะ” ชายคนนั้นตะโกนใส่พวกนักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างบ้าคลั่ง
แต่เซลีนกลับได้ยินเสียงนั้นแบบไม่ชัดนัก เธอมองไปที่กลุ่มชาวจีน ที่เริ่มแตกฮือ จังหวะนั้นเอง ชายคนนั้นก็ผลักเซลีนให้ถอยหลังออกไป ร่างของเซลีนล้มลงกระแทกกับแฟลตฟอร์มทางเดินเหมือนกับขยะที่ไม่มีใครสนใจ เธอมองตามชายที่เพิ่งทำร้ายเธอด้วยแววตาที่เหม่อลอย เพราะเขายังตามไปไล่แทงกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มนั้นต่อ ก่อนที่จะรีบวิ่งออกประตูและกลืนหายไปกับฝูงชนในที่สุด
“ดะ เดี๋ยว” เซลีนออกเสียงที่แผ่วเบาพร้อมเอื้อมมือไปที่ชายคนนั้น
เธออยากถามเขาเหลือเกินว่าทำแบบนี้กับเธอทำไม แต่เสียงคนกรีดร้อง เสียงคนกำลังวิ่งออกจากที่เกิดเหตุ เสียงคนผลักคนล้ม คนเหยียบกัน ดังก้องจนเซลีนแทบไม่มีสติหลงเหลืออยู่
ตอนนี้เธอกำลังเอามือกุมท้องที่เลือดกำลังไหลออกมาอย่างสิ้นหวัง เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะตกใจ ไม่มีเวลาแม้จะส่งเสียงร้องออกมา มันเร็วมากจนเธอมึนงงไปหมด คิดได้คำเดียวว่า “เรือหาย”
เธอเข้าใจแล้วว่า ทำไมโบราณกล่าวว่า อยู่ผิดที่ผิดเวลา มันซวย แบบนี้นี่เอง ตอนนี้เธอนึกถึงแค่ว่าจะเอาตัวเองออกจากตรงนี้ได้อย่างไร แต่ยังไม่ทันจะได้คิดให้ดี เหล่าฝรั่งมุงทั้งหลายต่างก็หนีกระเจิดกระเจิงด้วยเพราะความกลัวชายแปลกหน้าคนนั้นจะเข้ามาทำร้าย พวกเขาวิ่งหนี ความตายอย่างไม่คิดชีวิต และไม่สนด้วยว่าจะเหยียบใครหรือเปล่า
ร่างของเซลีนถูกเหยียบซ้ำเข้าไปที่ช่องท้องที่เลือดยังไม่หยุดไหล แล้วสติของเธอก็วูบดับไป