ตอนที่ 1
สามพี่น้องตระกูลดอว์
“Dawson”
โดย : กาสะลอง
ตอนที่ 1
ที่กรุงเทพฯ ภายในห้องที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมกว้าง แต่การตกแต่งภายในโดยรวมด้วยโทนสีทึมเทา ก็ทำให้รู้สึกถึงความอึนอับและคับแคบอย่างบอกไม่ถูก ผนังทุกด้านบุไว้ด้วยวัสดุกันเสียง ลึกเข้าไปจนชิดผนังด้านในสุด แลเห็นเวทีขนาดย่อม ขนาบไว้ด้วยลำโพงตัวใหญ่ทั้งซ้ายขวา ยกสูงขึ้นมาจากพื้นราวๆ เมตรเห็นจะได้ บนเวทีประดับประดาเอาไว้ด้วยลูกโป่งและดวงไฟหลากสีสัน มีตัวอักษรภาษาอังกฤษ อ่านได้ใจความว่า ‘Happy New Year’ ขึงเอาไว้ตรงฉากหลังของเวที ถัดออกมาคือนักร้องและนักดนตรีที่กำลังวาดลวดลายบรรเลงเพลงร็อคกันอย่างเมามัน
ทุกโต๊ะภายในผับแห่งนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแน่นขนัด ล้วนอยู่ในวัยหนุ่มสาว บ้างถือแก้วเหล้า บ้างก็กำลังขยับโยกมือไม้ไปตามเสียงดนตรี ส่ายสะโพกอกเอวด้วยแววตาฉ่ำวาวไปด้วยฤทธิ์สุรา สีหน้าดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองดนตรีอันเร้าระทึก ทว่าหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง กลับไม่ได้รู้สึกถึงความสนุกสนานเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อยนิด ยิ่งเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไร ยิ่งทำให้เธอรู้สึกผิด ที่พาตัวเองมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างไรพิกล ช่างเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าที่น่าอึดอัดเหลือเกิน หญิงสาวคิด
“ได้โปรดเถอะพจน์ …รินจะกลับบ้าน”
เธอตัดสินใจหันไปบอกชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างเหลืออด นิ่วหน้าเบื่อหน่าย ภายในหูของเธออึงอลไปด้วยเสียงดนตรีและเสียงเพลงซึ่งเธอไม่ได้รับรู้ในความหมายของมันเลยสักนิด กระบอกตาทั้งสองข้างกำลังเต้นตุบๆ เตือนว่าไมเกรนอาจจะมาเยือนในอีกไม่ช้าไม่นาน รู้สึกแสบตากับควันบุหรี่ที่ลอยคลุ้งอยู่ในลำแสงหลากสีของลูกไฟดวงกลมที่ฉายกราดมาตามจังหวะหมุนคว้างกลางเพดาน ทุกสิ่งรอบกายกำลังสร้างความรู้สึกอึดอัดขึ้นทุกทีสำหรับเธอ
“อีกเดี๋ยวน่ะ…จะรีบกลับไปไหน”
พจน์ตอบอย่างไม่สบอารมณ์นัก ขณะพูดเขาไม่ได้มองหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่ยังคงโยกตัวเบาๆ ไปตามเสียงกลองและเบสอันเร้าใจ สบตาเพื่อนใหม่ที่รายล้อมอยู่รอบกาย ด้วยแววตาที่พร้อมจะเปิดรับมิตรภาพใหม่ๆ อยู่เสมอ
“อะไรนะพจน์...” หญิงสาวยกมือข้างหนึ่งขึ้นป้องหูขณะถาม เป็นเพราะว่าเสียงซึ่งดังมากในขณะนั้น ทำให้เธอแทบจับใจความอะไรไม่ได้เลยในสิ่งที่เขาพูด
“จะกลับก็ตามใจ…แต่ผมไม่ไปส่งนะ”
พจน์ซึ่งกำลังสนุกสุดเหวี่ยง ตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงเพลงอึกทึก ตอบอย่างปัดความรับผิดชอบ ราวกับว่าเธอกับเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน
“ไม่เป็นไร…รินกลับเองได้” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับให้ฟังดูเป็นปกติที่สุด ปลอบตัวเองว่าแท็กซี่เยอะแยะไป เขาไม่ไปส่งก็ช่างปะไร
“เฮ้ย!...จะรีบไปไหนวะริน” เป็นเสียงของเพื่อนสาวคนหนึ่งที่เห็นสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างพจน์กับรินนรีโดยตลอด จึงพยายามเหนี่ยวรั้งเอาไว้อีกแรง แต่ไม่เป็นผล
“ไม่ไหวแล้ว…ฉันกลับก่อนนะ”
หญิงสาวบอกลาเพื่อนๆ ยกมือเรียวขึ้นปัดป้องควันบุหรี่ที่ลอยเป็นสายผ่านหน้าไปมา แววตาเบื่อและเซ็งเต็มทน พลางนึกด้วยความน้อยใจ แทนที่พจน์จะห่วงใยเธอบ้าง ทั้งที่เสียงไอค่อกแค่กเพราะแพ้ควันบุหรี่อยู่ในขณะนั้นก็น่าจะช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเธอไม่ได้แกล้งหาเรื่องขัดจังหวะความสำราญของเขาแต่อย่างใด แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจเธออย่างที่ควรจะเป็น
รินนรียอมรับว่าพจน์เป็นคนเข้าใจยาก หนึ่งเดือนที่คบหากัน เธอแทบไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ก็พอจะรู้ว่าเขามีด้านที่อ่อนแอมากกว่าเข้มแข็ง พจน์เป็นลูกติดแม่ บางครั้งก็ดูละเอียดอ่อนราวกับผู้หญิง นิสัยอย่างหนึ่งที่เธอเห็นชัดๆ ก็คือเขาชอบเข้าสังคม แต่ก็ไม่ใช่คนช่างเทคแคร์เอาอกเอาใจผู้หญิง ครั้งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ช่วยยืนยันถึงความจริงข้อนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาห่วงแต่ความสนุกสนานของตัวเอง ไม่ได้สนใจใยดีในความทุกข์ร้อนของเธอแต่อย่างใด ไม่ได้ห่วงความปลอดภัยที่ปล่อยให้เธอต้องกลับคนเดียวกลางดึก
กับเรื่องที่ทำให้หญิงสาวเสียความรู้สึกอยู่ในตอนนี้ รินนรีนึกโทษตัวเองมากกว่าจะโทษพจน์ เป็นเพราะเธอเองที่ใจอ่อนกับคำรบเร้าของเพื่อนๆ จนต้องยอมออกมาเที่ยวด้วย ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ชอบเที่ยวกลางคืนมาแต่ไหนแต่ไร และการเข้าผับบาร์ก็ไม่ได้อยู่ในวิสัยหรือเห็นเป็นของสนุกสำหรับเธอ
“ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้…น่ารำคาญที่สุด”
พจน์เปรยขึ้นลอยๆ อย่างอารมณ์เสีย ไล่หลังหญิงสาวที่กำลังจะจากไป รินนรีทั้งโกรธและน้อยใจ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมาตอบโต้แต่อย่างใด ได้แต่ปลอบตัวเองว่า ช่างเถอะ! เธอพยายามจะไม่ถือสาคำพูดของเขา คิดเสียว่าเขาเมา ยืนยันด้วยกลิ่นสุราที่เจือจับอยู่ในลมหายใจ ในจังหวะที่เขาหันมาตะคอกใส่หน้าเธอเมื่อครู่
“ไม่ตามไปหรอวะ?”