บทย่อ
สามชาติบรรจบ สองภพเวียนว่าย เพื่อหนึ่งปรารถนาในดวงใจ เพราะแพ้เกมกระดานหมาก จากเทพบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่ จึงต้องลงสู่ภพภูมิมนุษย์ พร้อมด้วยคู่วาสนาเฉพาะหน้า โชคชะตาทำให้ต้นไม้ธรรมดาอย่างนาง จำต้องกลายมาเป็นคู่วาสนา ของท่านเทพจอมอันธพาล เรื่องราวความรักที่วุ่นวายชวนปวดหัวจึงบังเกิด ผู้อื่นลงมาเผชิญเคราะห์กรรมตามลิขิตตสวรรค์ ใช้เวลาเพียงชาติหนึ่งก็ลุล่วง ทว่านางและเขากลับต้องเสียเวลาไปถึงสามชาติ
บทนำ
“ด่านรัก!”
เหยียนหลัวหวางร้องตะโกนเสียงดังลั่น ดวงตาผู้ยิ่งใหญ่เเห่งเเดนยมโลกมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยเเววเหลือเชื่อ นี่เทพนอกคอกผู้นี้คิดจะสร้างความวุ่นวายอะไรให้เเก่พวกเขาอีก
ยามนี้เเดนสวรรค์ถูกปกครองโดยเง็กเซียนฮ่องเต้ เหล่าเทพรุ่นใหม่ถือกำเนิดขึ้นปานดอกเห็ด ทว่าบรรดาเทพยุคเก่ากลับเริ่มเสื่อมถอย ในหมู่เทพบรรพกาลนอกขอบฟ้า หลายองค์บ้างถึงกาลเเตกดับ บางองค์ก็ลงไปเผชิญกับด่านเคราะห์เล่นเเก้เบื่อ
เเต่นั่นไม่ใช่กับผู้ที่กำลังอยู่ตรงหน้าเขา เทพนอกฝั่งฟ้าผู้นี้หาได้เคยให้ความสนใจแก่ผู้ใด อีกทั้งยังมีความเป็นมาลึกลับเกินกว่าจะกล่าวถึง เพราะเทพบรรพกาลองค์นี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไรนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำตอบได้ เเม้เเต่เหล่าเทพในยุคก่อนด้วยกันเองก็ตาม
เนื่องด้วยเขานั้นไร้ตัวตนอย่างยิ่ง ทำให้แม้แต่บนหินสามชาติก็หาได้มีชื่อสลักดั่งผู้อื่น นับว่าเป็นเทพที่อยู่นอกเหนือดวงชะตาทั้งปวง ไร้ซึ่งความเป็นมา ไร้นามให้ขับขาน ดังนั้นเหล่าบรรดาเทพเซียนทุกตนจึงพากันขนานนามอีกฝ่ายว่า ‘ตี้จวิน’ จนติดปาก
เเต่พลังของเทพนอกฝั่งฟ้าผู้นี้กลับมิได้ไร้ตัวตนเหมือนกับสถานะของเขาแม้แต่น้อย เมื่อบวกเข้ากับนิสัย ‘มองหน้าเเปลว่าหาเรื่อง’ ของเจ้าตัว ทำให้แม้แต่องค์เง็กเซียนยังเอือมระอา คร้านจะข้องเกี่ยวด้วย
"ไม่ได้อย่างนั้นหรือ" เสียงทุ้มเอ่ยเรื่อยเอื่อยราวสายน้ำเย็นฉ่ำ
เหยียนหลัวหวางฟังแล้วนึกเคลิบเคลิ้มตาม ก่อนจะพลันสะบัดศีรษะเพื่อเรียกสติกลับคืน เพราะเขาเเละทุกคนในสามภพหกเเดนล้วนรู้ดี ภาพลักษณ์ที่มองเห็นอยู่นั้นเป็นเพียงสิ่งหลอกลวง ตี้จวินผู้นี้แท้จริงแล้วทั้งเอาแต่ใจและเผด็จการอย่างร้ายกาจในความเป็นจริง
"ใช่ว่าจะไม่ได้ เเต่ตี้จวินเองก็รู้ดีว่าบนหินสามชาตินั้นหามีชื่อของท่านสลักอยู่ไม่ เช่นนั้นแล้วจะไปมีชื่อคู่วาสนาท่านปรากฏได้อย่างไร เกรงว่าต่อให้ตี้จวินปรารถนาจะลิ้มรสด่านเคราะห์จากรักที่ไม่สมหวังนี้สักเพียงใด ตาเฒ่าจันทราก็มิอาจผูกด้ายเเดงให้ได้ตามประสงค์"
"เรื่องนี้หาได้ยากเย็นอันใด ข้าเพียงเเต่สร้างคู่วาสนาของตนเองขึ้นมาก็จบ หลังจากนั้นค่อยให้เจ้าเฒ่าจันทราจัดการผูกด้ายแดงเสีย"
เจ้าตัวกล่าวขึ้นอย่างไม่ยี่หระ พลางค้นหาข้าวของภายในแขนเสื้อตนเอง หมายใจจะสร้างคู่วาสนาแบบมักง่าย ทว่าสุดท้ายเมื่อไม่เจอของที่สามารถใช้ได้ ดวงตาคู่งามจึงเหล่มองไปที่ต้นกระบองเพชรบนโต๊ะทำงานคู่สนทนาอย่างมี เลศนัย ก่อนจะส่งยิ้มร้ายกาจไปยังผู้เป็นเจ้าของมัน
เหยียนหลัวหวางสะดุ้งเฮือก ในใจเกิดความตระหนกจนถึงขีดสุด รีบเอื้อมมือคว้ากระถางใบเล็กๆ นั้นมาถือไว้อย่างหวงแหน
"ไม่ได้เด็ดขาด นี่เป็นของฝากจากสหายที่อยู่แดนไกลของข้าเชียวนะ"
พญามัจจุราชกัดฟันแน่น เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม ลองคิดดูสิว่าการจะนำต้นไม้จากโลกเบื้องบนลงมา มันยากลำบากขนาดไหน และในบรรดาต้นไม้ที่สหายของเขานำมาให้ ก็มีเพียงแค่อิ๋งอิ๋งกระบองเพชรน้อยนี่เท่านั้น ที่สามารถทานทนต่อปราณหยินอันหนักหน่วงของยมโลกได้
เเต่กว่าที่จะมาเเข็งเเรงออกดอกสีชมพูสดใสให้ได้เชยชมเเบบนี้ เขาต้องเเอบหนีไปด้านบนเพื่อให้เเสงเเก่นางทุกวันเทียวนะ เเล้วไหนจะยังน้ำที่ใช้รดนั่นอีก ถึงแม้อิ๋งอิ๋งน้อยจะเป็นเเค่ต้นกระบองเพชรธรรมดาในโลกมนุษย์ แต่เขาก็ขโมยน้ำทิพย์จากสระมรกตขององค์เง็กเซียนมารดนางโดยตลอด
เขาต้องปกป้องอิ๋งอิ๋งน้อยเอาไว้ให้ได้ เพราะฉะนั้นย่อมไม่มีทางมอบต้นกระบองเพชรน้อยที่ตนเองนั้นแสนจะทะนุถนอมให้เจ้าเทพอันธพาลตรงหน้านี่อย่างเด็ดขาด บอกได้คำเดียวเลยว่า...
ไม่-มี-วัน!
"ส่งมา อย่าให้ข้าต้องเอ่ยซ้ำ รู้ใช่ไหมว่าเจ้าเด็กเง็กเซียนก่อนหน้านี้ออกว่าราชการไม่ได้ไปกี่วัน"
"..."
เคยเห็นผู้ใดข่มขู่พญามัจจุราชไหมเล่า ถ้าไม่เคยเห็นก็เคยกันเสียเถอะ...ไอ้เทพจอมเอาแต่ใจ เอะอะก็จะใช้กำลังบังคับ
"อย่าจับนางแรงนักนะตี้จวิน อิ๋งอิ๋งเพิ่งออกดอกเป็นครั้งแรก ประเดี๋ยวดอกนางจะหลุดเอา"
สุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้ยมโลกของตนถูกจอมเทพผู้ชั่วร้าย รังควาน เหยียนหลัวหวางจึงได้เเต่ยอมเสียสละต้นกระบองเพชรน้อยในมือ เขามองกลีบดอกสีชมพูที่ไหวระริกนั้นด้วยท่าทีประหนึ่งจะขาดใจ
'โธ่...อิ๋งอิ๋งน้อยของข้า'
เจ้าของร่างสูงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ต้นไม้บนฝ่ามือนั้นดูแปลกตาดีเหลือเกิน นิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกงามไล้ลงบนกลีบสีชมพูแผ่วเบา หนามแหลมที่อยู่รอบๆ เจ้าต้นไม้น้อยก็พลันกางออกคล้ายต้องการปกป้องตนเองจากผู้รุกราน ขณะเดียวกันก็รู้สึกราวกับว่าเจ้าดอกน้อยๆ นั้นกำลังเกิดความเอียงอาย ยามสัมผัสจึงรู้สึกได้ถึงอาการไหวสั่นระริกของกลีบดอก จนคนลูบพลันเกิดความรู้สึกอยากกลั่นแกล้งขึ้นมาในอก
"อืม...เอาเป็นเจ้านี่ก็แล้วกัน" เทพบรรพกาลผู้เอาแต่ใจเอ่ย พลางยกมืออีกข้างขึ้นมาสะบัดวูบหนึ่ง
ฉับพลันกระบองเพชรน้อยในกระถางก็หายวับไป บนฝ่ามือของเขาปรากฏกลุ่มแสงสีขาวนวลจับตัวเป็นก้อนกลมขนาดไม่ใหญ่มากนักแทนที่ หลังจากนั้นร่างสูงจึงยื่นส่งสิ่งที่อยู่ในมือให้เหยียนหลัวหวางพลางกล่าวกำชับ
"ข้าจะไปดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้ว เจ้าก็จงเร่งนำนางไปเกิดให้โดยเร็วเถิด จะได้รีบเริ่มด่านเคราะห์ให้จบเรื่องราว" สั่งจบผู้พูดก็เดินอาภรณ์ปลิวออกจากห้อง
เหยียนหลัวหวางพลันร้องถามขึ้นมาด้วยความสงสัย "ตี้จวิน เพราะเหตุใดท่านถึงอยากลงไปเผชิญด่านเคราะห์กันเล่า"
"ข้าเเพ้พนันเดินหมากกับเจ้าเด็กเง็กเซียน เจ้านั่นตั้งเงื่อนไขให้ข้าลงไปเผชิญด่านเคราะห์จากรักที่ไม่สมหวัง" ผู้พูดเอ่ยจบก็เดินจากไป
ทว่าเหยียนหลัวหวางนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ ผ่านไปสักพักหนึ่งถ้อยคำก่นด่าสารพัดจึงถูกพ่นออกมาแทบไม่หยุดหายใจ ทำเอาองค์เง็กเซียนที่กำลังประชุมชาวสวรรค์อยู่ถึงกับไอสำลักไม่หยุดเช่นกัน
“เง็กเซียนบ้านั่นต้องการหาเรื่องไล่เจ้าเทพอันธพาลลงไปโลกมนุษย์ก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่ต้องเสียอิ๋งอิ๋งน้อยไปด้วยเล่า ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด”
หลังจากยืนขุดบรรพชนเง็กเซียนขึ้นมาสวดถึงสามรุ่นจนเป็นที่พอใจ เหยียนหลัวหวางจึงประคองก้อนเเสงในมือออกจากห้อง ไอ้อาลัยมันก็อาลัยอยู่หรอกนะ แต่ถ้าเขาส่งอิ๋งอิ๋งน้อยไปเกิดช้า ทางโน้นเกิดหงุดหงิดขึ้นมาจะลำบากตนเองเอาได้
‘อิ๋งอิ๋ง ข้าขอโทษด้วย เพื่อความสงบของแดนสวรรค์และยมโลก จำเป็นต้องให้เจ้าเสียสละเเล้ว’
''ไม่รู้ว่าเป็นบุญหรือกรรม ที่เจ้าต้องไปเป็นคู่วาสนาให้เจ้าเทพจอมวายร้ายนั่นแบบนี้ เอาเถอะอิ๋งอิ๋ง...สู้ๆ นะ"